ราชันเร้นลับ 661 : เข้าใกล้
แฟรงค์·ลีมิได้สังเกตเห็นความผิดปรกติของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงยิ้มและพูดต่อ“อันที่จริง ฉันมีแผนจะช่วยนายโดยการโยนเมล็ดพันธุ์ข้ามไป แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแรงขว้างได้ไกลขนาดนั้น”โยนเมล็ดพันธุ์ไปยังทิวลิปดำเนี่ยนะ? น่านน้ำแถบนี้ยังมีเศษเสี้ยวออร่าพระแม่ธรณีหลงเหลืออยู่ หากมีการกระตุ้นพลังในขอบเขตธรณี พลังจะกลายพันธุ์และอาละวาดไม่เลือกมิตรศัตรู… ดังนั้น ตัวฉันที่อยู่บนทิวลิปดำก็จะ… โชคดีมากที่นายไม่ได้ขว้างไป… ไคลน์พลันนึกถึงโศกนาฏกรรมสุดโกลาหลบนอนาคตกาลเมื่อไม่กี่นาทีก่อน รวมไปถึงเหตุการณ์ที่โจรสลัดคนหนึ่งบีบแตงโมที่งอกขึ้นจากศีรษะของตนและเสียชีวิตขณะเตรียมคิดคำตอบให้สอดคล้องกับบุคลิกของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์บังเอิญเหลือบเห็นฮีธ·ดอยล์ที่อยู่ในเงามืดไม่ห่างออกไป โน้มตัวมาด้านหน้าพร้อมกับอาเจียน‘ผู้ไร้เลือด’ สำรอกหนึ่งคำพลางคุกเข่าลงบนดาดฟ้าโอ้ก! โอ้ก!มันพ่นของเหลวสีเขียวแกมเหลืองออกจากปาก หนึ่งในนั้นเป็นเศษชิ้นเนื้อสีเทาดำซึ่งกำลังดีดดิ้นแผ่วเบาไปบนพื้นแค่ก! โอ้ก! อ่อก!ฮีธ·ดอยล์ยังคงพ่นในสิ่งที่คล้ายเดิมออกมาไม่หยุดได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์มิได้นึกรังเกียจ แต่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เพราะเคยกังวลว่า ‘บิชอปกุหลาบ’ ฮีธ·ดอยล์ จะถูกกัดกร่อนหลังจาก ‘กิน’ หลายสิ่งเข้าไปอย่างส่งเดช แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเก็บของเสียแยกไว้ต่างหากโดยไม่ได้ย่อยและดูดซึมเข้าร่างกายสมกับเป็นบิชอปกุหลาบผู้ยังครองสติไว้ได้… ไคลน์ถอนหายใจแผ่วขณะเตรียมเบือนหน้าออกจากกองอ้วก ชายหนุ่มพลันฉุกคิดถึงบางสิ่งในเมื่อตนกระตุ้นยุบพองหิวโหยขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรีบ ‘ป้อนอาหาร’ ภายในหนึ่งวัน แต่ปัจจุบันกลับไม่มีคนชั่วในละแวกใกล้เคียงเลย… โจรสลัดที่เพิ่งตายไปคงใช้การไม่ได้… มิใช่เพราะพรรคพวกหวงแหนศพ แต่สิ่งที่ยุบพองหิวโหย ‘กิน’ คือดวงวิญญาณ…ถ้าอย่างนั้น เศษเนื้อสีเทาดำเหล่านี้จะใช้เป็น ‘อาหาร’ ได้ไหม? อย่างน้อยก็เป็นซากศพจากสัตว์ประหลาดที่มีระดับพลังชีวิตมหาศาล เป็นผลพวงจากเศษเสี้ยวออร่าของพระแม่ธรณี…คิดได้เช่นนั้น ไคลน์ก้าวไปข้างหน้าและหยุดใกล้กับฮีธ·ดอยล์มันไม่ฝืนจ้องมองกองอ้วกโดยตรง สายตาเบือนไปยังอีกฝั่งตามสัญชาตญาณ พยายามจ้องทะเลที่งดงามพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเที่ยงเฉิดฉายจากนั้น ชายหนุ่มยื่นมือซ้ายไปยังตำแหน่งของเศษเนื้อสีเทาดำยุบพองหิวโหยไม่ตอบสนอง มิได้อ้าปากกึ่งกลางถุงมือออกเช่นทุกทีดูท่าจะไม่อยากกิน… ช่วยไม่ได้ หลังจากนี้คงนำออกมาใช้ในเหตุจำเป็นเท่านั้น และถ้าหาอาหารมาป้อนไม่ได้ภายในหนึ่งวัน ก็คงต้องจับมันโยนเข้าไปในมิติหมอกเทา… ไคลน์ดึงมือกลับอย่างไม่เต็มใจ พลางแหงนหน้ามองไปยังห้องกัปตันเข็มกลัดสีทองที่ติดบนเสื้อคลุมแคทลียาส่องสว่างขึ้นอีกหน ‘วิญญาณอาฆาตสุริยัน’ ถือกำเนิดขึ้นและลงมือแผดเผาเศษเนื้อสีเทาดำที่ฮีธ·ดอยล์อาเจียนออกมาสีหน้าแววตาของพลเรือโจรสลัดมิได้เปลี่ยนไปมากนัก เพียงแฝงความเอ่อนเพลียเล็กน้อย รวมไปถึงแสงสีม่วงในดวงตาที่คมชัดยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเรือเริ่มแล่น ไคลน์ไม่ยืนอยู่นาน เตรียมกลับห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกปอนแอนเดอร์สันชำเลืองตาม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้และเตรียมซักถาม“หุบปาก!” ไคลน์ชิงตัดบทความโกลาหลเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มสูญเสียกระดุมข้อมือเมอร์ล็อค จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ‘บุรุษผู้ถูกสาปด้วยโชคร้าย’ ถึงกลายเป็นสิ่งขวางหูขวางตา ดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ถูกนำไปป้อนเป็นอาหารให้ยุบพองหิวโหย“…ตกลง” แอนเดอร์สันยกมือขึ้น “ฉันจะดื่มเงียบๆ ก็ได้”ไคลน์มิได้แยแส เพียงเดินกลับเข้าเขตโดยสารและตรงไปยังห้องพักส่วนตัวในห้องน้ำ ชายหนุ่มหยิบ ‘ยันต์สร้างน้ำ’ พร้อมกับสวดคาถาเฮอร์มิสโบราณ เมื่อได้อ่างอาบน้ำตามที่ต้องการ จึงถอดเสื้อผ้าออกและทิ้งตัวลงไปนอนแช่ความเย็นของน้ำและความอบอุ่นจากแสงแดดยามเที่ยงทำให้ไคลน์รู้สึกผ่อนคลาย มันถือกระดาษและปากกาที่นำมาจากโต๊ะด้านนอก พลางเขียนประโยคทำนายลงไป“ตำแหน่งของกระดุมข้อมือเมอร์ล็อค”หลังจากพึมพำเงียบงันครบเจ็ดครั้ง ไคลน์นอนแผ่ลงบนอ่างโดยใช้ขอบแทนหมอน จากนั้นก็สะกดจิตตัวเองให้นอนหลับท่ามกลางโลกมายาสีเทาที่ไม่ปะติดปะต่อ ชายหนุ่มมองเห็นดาดฟ้าเรือและซอมบี้ร่างกายเน่าเปื่อยเดินเตร็ดเตร่ และเห็นกระดุมข้อมือเมอร์ล็อคฝังอยู่ในเอวข้างซ้ายของซอมบี้ตนหนึ่งนอกจากความเป็นดาดฟ้า มันไม่ทราบตำแหน่งที่ชัดเจนกว่านั้นเนื่องจากบรรยากาศมืดเกินไปอยู่บนทิวลิปดำจริงด้วย… ไคลน์ลืมตาขึ้นและสรุปผลหวังว่าพลเรือเอกขุมนรกจะไม่พบมันเข้าเสียก่อน… หากเป็นเช่นนั้นได้ เราสามารถใช้กระดุมข้อมือเม็ดนี้ช่วยระบุตำแหน่งทิวลิปดำในอนาคต…ไม่สนว่าลูเธอร์ไวล์จะหาพบหรือไม่ ขอเพียงไม่โยนลงจากเรือและไม่ทิ้งช่วงนานเกินไป เราก็จะทำนายหาพิกัดของทิวลิปดำได้ตลอดเวลา… แต่ต้องทำบนมิติหมอกเท่านั้น…นอกจากนั้น เรายังต้องต่อต้านการทำนายถึงตัว เพื่อป้องกันมิให้พลเรือเอกขุมนรกใช้กระดุมข้อมือระบุตำแหน่งหรือใช้พลังสาปแช่งกลับมา…แหวนของหมอนั่นเหมือนกับมรดกจากเทพมรณาบรรพกาล… ดีละ เราจะเขียนจดหมายแจ้งเรื่องนี้ให้มิสเตอร์อะซิกทราบ ไคลน์รีบชำระร่างกายและลุกออกจากอ่างหลังจากล้างมือจนสะอาด ชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสุภาพบุรุษชาวโลเอ็น จัดแจงซักทำความสะอาดคราบเปื้อนบนชุดเก่า จึงค่อยหยิบกระดาษออกมาคลี่ และนำนกหวีดทองแดงออกมาวางขณะยืนข้างโต๊ะอ่านหนังสือ ไคลน์จ้องวัตถุบนโต๊ะพลางเหยียดแขนขวาออก แต่ทันใดนั้นพลันต้องชะงักมันกะพริบตาราวสองสามหน ก่อนจะหยิบนกหวีดทองแดงอะซิกเก็บกลับเข้าไปในกล่องเหล็กและใช้กำแพงวิญญาณผนึกออร่าไว้จนกว่าจะออกจากน่านน้ำแห่งนี้ จนกว่าจะออกจากอนาคตกาล ไคลน์จะไม่เป่านกหวีดเรียกผู้ส่งสารออกมาอย่างเด็ดขาด!จากศึกครั้งล่าสุด เราสูญเสียไปไม่น้อย แต่โชคยังดีที่สามารถย่อยโอสถผู้ไร้หน้าได้สมบูรณ์ เหลือแค่การเฝ้ารอให้นางเงือกปรากฏตัว…แล้วก็… สถานการณ์บนน่านน้ำแห่งนี้ผิดไปจากที่คิดพอสมควร มีแม้กระทั่งเศษเสี้ยวออร่าของพระแม่ธรณี…ออร่าในแถบนี้ไม่น่าจะเป็นของใหม่ เพราะหากไม่แล้ว ตัวตนระดับเทพย่อมต้องควบคุมออร่าของตัวเองได้อย่างอิสระ…จากบรรดาแปดเทพบรรพกาล ไม่มีตนใดอยู่ในขอบเขตอำนาจธรณีเลย…ถ้าพิจารณาจาก ‘เทพรับใช้’ ยังพอมีตัวตนที่เข้าข่ายอยู่บ้าง เช่นราชินีคนยักษ์ ‘เทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว’ โอมีเบล่า หรือ ‘เทพธิดาแห่งชีวิต’ ที่เป็นเทพรับใช้ของต้นตระกูลแวมไพร์ ลิลิธ…แต่ได้นึกสงสัยว่า นี่คือสงครามแห่งเทพที่มีเทพรับใช้เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องราวจากยุคสมัยที่สองกันแน่… ไคลน์ไม่มีข้อมูลของมหาศึกแห่งเทพมากนัก ทำได้เพียงคาดเดาและจินตนาการชายหนุ่มรวบรวมสมาธิ ตัดกระดาษรูปคนและวาดสัญลักษณ์ของ ‘เดอะฟูล’ ที่หมายถึงความลับและการเปลี่ยนแปลงลงไปฟุ่บ!ไคลน์ยกกระดาษรูปคนขึ้นมาสะบัดเปลวไฟลุกไหม้จากความว่างเปล่า แผดเผากระดาษให้กลายเป็นขี้เถ้าเพียงเท่านี้ก็ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แต่ถ้าหวังผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม ไคลน์ต้องเข้าไปในมิติหมอกเทาและทำการตอบสนองด้วยตัวเอง จากนั้นก็ใช้ไพ่จักรพรรดิมืดกระตุ้นพลังของมิติสายหมอก พร้อมกับใช้ ‘เทวทูตกระดาษ’ เพื่อมอบพรคุ้มกายอาศัยอำนาจของนกหวีดทองแดงอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินช่วยแทรกแซงการ ‘สอดส่อง’ จากบุคคลภายนอก ไคลน์กลับเข้าห้องน้ำอีกครั้ง จัดการขั้นตอนที่เหลือให้เสร็จสรรพเมื่อเก็บกวาดห้องเสร็จ ชายหนุ่มสวม ‘ยุบพองหิวโหย’ กับ ‘อินธน์’ และเดินออกมายังเขตดาดฟ้าเรือ เตรียมสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างรอบคอบ จะได้ไม่พลาดเบาะแสของนางเงือกขณะออกจากห้องโดยสาร มันพบแอนเดอร์สัน·ฮู้ดกำลังนั่งพิงถังเหล้าอยู่บนพื้น สีหน้าสุขุม ลมหายใจแผ่วเบา คล้ายกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งที่ละเอียดอ่อนเขารักษาสัญญาและดื่มอย่างสงบมาตลอดเลยหรือ? ไคลน์พึมพำพร้อมกับเดินผ่านแอนเดอร์สันแอนเดอร์สันเงยหน้ามองตาม ซักถามเสียงล่องลอย“เหล้าที่นี่… นายว่ามันแปลกๆ ไหม?”ไคลน์ชะงักเล็กน้อย ตอบกลับเสียงขรึม“ใช่”“…” แอนเดอร์สันพลันหมดคำจะกล่าวหมอนี่ซวยชะมัด… ถึงขั้นที่พลังพิเศษมิอาจจำแนกสิ่งแปลกปลอมในเหล้าแล้วหรือ… ไคลน์เดินต่อไปพลางยกมุมปากณ ดาดฟ้าหัวเรือ โจรสลัดจำนวนหนึ่งกำลังยืนรวมตัว เฝ้ามองนีน่ารับหน้าที่ ‘นักบวชวายุสลาตัน’ เพื่อจัดงานศพเล็กๆ ให้กับโจรสลัดที่เสียชีวิตหลังจากจบบทสวดอย่างง่าย นีน่ากวาดตามองและกล่าว“ความปรารถนาสุดท้ายของเรเวียร์ก็คือ ถูกฝังบนเนินเขาในเมืองท่าบ้านเกิด ที่นั่นมีฉากพระอาทิตย์ตกดินที่งดงามที่สุด… เขาปรารถนาจะถูกฌาปนกิจ จะได้ไม่ต้องถูกใครรบกวนหลังจากที่ตายไปแล้ว…”“ข้าแต่องค์วายุสลาตัน ได้โปรดประทานการหลับใหลอันสุขสงบแก่เขาด้วย” โจรสลัดส่วนใหญ่นับถือเทพวายุสลาตัน จึงใช้กำปั้นขวาทุนหน้าอกข้างซ้ายได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์ไม่กล้าเข้าใกล้ เพียงยืนมองจากจุดห่างไกลอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งงานศพจบลง ด้วยพลังของม้วนคาถา ร่างของโจรสลัดนามเรเวียร์ถูกเผาจนกลายเป็นกองขี้เถ้า ไคลน์ถอนหายใจยาวพร้อมกับวาดจันทร์แดงอยู่ภายในครึ่งวันถัดมา ดวงอาทิตย์ยังคงเจิดจ้าไม่แปรเปลี่ยน ท้องฟ้ามีเพียงแสงแดดยามเที่ยง อนาคตกาลแล่นผ่านซากปรักหักพังมากมาย ลึกเข้าไปในน่านน้ำพิเศษแอนเดอร์สันที่ไม่มีใครทราบว่ากลับเป็นปรกติตอนไหน เดินเข้ามาหาไคลน์มันชำเลืองเล็กน้อย ก่อนจะชี้นิ้วไปทางอาคารจมน้ำด้านหน้าและกล่าว“จากซากปรักหักพังตรงนี้ เลี้ยวซ้ายแล้วแล่นเรือไปประมาณสิบไมล์ทะเล ถ้าโชคดีนายอาจได้พบนางเงือก”ในที่สุด… ขณะไคลน์เตรียมตอบสนอง ทัศนียภาพพลันดำมืดกะทันหัน แสงอาทิตย์ยามเที่ยงเลือนหายในพริบตาค่ำคืนมาเยือนอีกครั้งโดยไม่กล่าวคำใด ไคลน์รีบกลับห้องพักและทิ้งตัวลงนอนเพียงไม่นานก็ลืมตาตื่นในความฝัน ตรงหน้าคือหน้าต่างฝรั่งเศสบานใส โต๊ะอ่านหนังสือที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ และชั้นหนังสือที่มีหนังสืออยู่เต็มในหนนี้ มันถูกส่งกลับมายังจุดที่ตนออกไปในคราวก่อน – หอสมุดแห่งหนึ่งแสงยามพลบค่ำสาดเข้ามาจากด้านนอกจนทุกสิ่งถูกเคลือบด้วยแสงสีทองอร่าม ไคลน์ขยับตัวโดยปราศจากความลังเล ตรงไปยังชั้นหนังสือล่าสุดที่ตนเคยสำรวจไม่ผิดไปจากที่คาด มันได้พบหนังสือแห่งยันต์และหนังสือศาสตร์เร้นลับเล่มอื่นขณะเตรียมหยิบหนังสือออกมาและรีบเปิดอ่าน สายตาไคลน์บังเอิญเหลือบผ่านแนวชั้นหนังสือ จนไปสะดุดตากับหนังสือปกดำเล่มหนึ่งเข้า“บันทึกเล่มที่สามของโรซายล์!”ไดอารีของจักรพรรดิ? ไดอารีทั้งเล่ม? ไคลน์เหยียดแขนออกไปตามสัญชาตญาณทันใดนั้น นิมิตลางสังหรณ์พลันผุดขึ้นในใจ เป็นภาพของดวงตาคู่หนึ่งที่เคยเพ่งมองตนบนดาดฟ้าเรืออนาคตกาล รวมไปถึงฉากในอดีตของบุคคลที่เปิดประตูโถงจิตรกรรมส่วนลึกซึ่งแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเคยเล่าให้ฟัง และสุดท้าย ฉากในอดีตที่ตนลืมตาตื่นขึ้นในจุดที่แตกต่างกันบนโลกความฝันไคลน์พลันเบือนสายตากลับและหันไปดึงหนังสือแห่งยันต์ออกมาชายหนุ่มเดินมายังโต๊ะอ่านหนังสือ นั่งลงและเริ่มพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็วทันใดนั้น มันได้ยินเสียง กึก กึก กึก คล้ายฝีเท้าของใครสักคนที่กำลังใกล้เข้ามาสติไคลน์พลันตึงเครียด มันค่อยๆ เงยหน้ามองอย่างเชื่องช้าสิ่งแรกที่ได้พบก็คือ รองเท้าบูตหนังสีดำคู่หนึ่ง…………………………………
คอมเม้นต์