ราชันเร้นลับ 652 : เบาะแสของนางเงือก
นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด… ไคลน์พลันผงะกับฉายาของอีกฝ่าย แต่หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ไม่พบว่าแอนเดอร์สันมีค่าหัวหมายความว่า สิ่งที่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าในความฝันคือเรื่องจริง มันสนใจการล่าสมบัติมากกว่า!น่าเสียดายที่เกอร์มัน·สแปร์โรว์ยังไม่เคยสังหารนายพลโจรสลัด ไม่อย่างนั้น ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงไม่หนีไปไหน… ไคลน์ไม่ประมาท เพียงจ้องไปทางอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาหากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่นตุกติกแม้เพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มจะโยนแผ่นยันต์โลหะในมือเข้าใส่ทันที คาถากระตุ้นของยันต์ทุกใบล้วนเหมือนกันหมด และด้วยลำดับในปัจจุบัน ไคลน์สามารถท่องคาถาไปพร้อมกับโอนถ่ายพลังวิญญาณได้เมื่อได้ยินคำบรรยายของพลเรือเอกดวงดาว แอนเดอร์สันส่ายหน้าหนักแน่น“ผิดแล้ว ฉันไม่ใช่นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุด”หืม… อย่างน้อยก็ยังรู้จักถ่อมตัว… ไคลน์ถอนหายใจเงียบแอนเดอร์สันหัวเราะในลำคอพร้อมกับแสยะยิ้ม“พลเรือเอกดวงดาว เธอควรเพิ่มคำขยายเข้าไปด้วย… ในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ! ใช่แล้ว! นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับต่ำกว่าครึ่งเทพ!”“…”ขอถอนคำพูด… มุมปากไคลน์กระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวไม่ตอบโต้ แอนเดอร์สันลดมือลงอย่างเป็นธรรมชาติ“แม้ทะเลในแถบนี้จะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็มีสมบัติมากมายซุกซ่อนเช่นกัน ฉันเชื่อว่าพวกนายคงทราบดีอยู่แล้ว… ในอดีต เคยมีนักผจญภัยจำนวนมาก ไม่สิ ต้องเรียกว่านักล่าสมบัติ พวกมันพยายามเข้ามาแสวงหาโชคลาภ แต่เกือบทั้งหมดมักไม่รอดชีวิตกลับไป… หึหึ ฉันกำลังพูดถึงคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีส่วนน้อยที่โชคดีและกอบโกยได้อย่างมหาศาล… หนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักล่าสมบัติที่มีผู้นำเป็นยอดฝีมือจำนวนสองคน พวกเขาอ้างตัวว่าเชี่ยวชาญเกี่ยวกับทะเลแถบนี้มาก รู้ว่าซากปรักหักพังใดไม่ควรสำรวจ รู้ว่าซากปรักหักพังใดสามารถสำรวจได้ รู้ว่าเส้นทางปลอดภัยเป็นเช่นไร รู้จักวิธีล่าสัตว์ประหลาดหลายชนิด และรู้ว่าควรหลีกเลี่ยงสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่คลุ้มคลั่งด้วยวิธีใด… ฉันนึกสงสัยมาตลอดว่าเก่งสมคำร่ำลือหรือไม่ จนในที่สุดก็ชักชวนมาทำงานด้วยกันสำเร็จ”“แล้วไงต่อ?” กระจกตาสีม่วงของพลเรือเอกดวงดาว แคทลียา กำลังสะท้อนภาพใบหน้าอีกฝ่ายแอนเดอร์สันถอนหายใจ“พวกเราเริ่มต้นอย่างราบรื่น สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายและเก็บเกี่ยวสิ่งของมีค่าที่นักล่าสมบัติรุ่นก่อนเหลือทิ้งไว้ได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังออกล่าสัตว์ประหลาดและรวบรวมวัตถุดิบโอสถได้หลายชนิด… แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อพวกเราพบวิหารประหลาดบนเกาะน้ำท่วมแห่งหนึ่ง ด้านในมีจิตรกรรมฝาผนังสภาพดี เป็นภาพเดียวกับที่สุภาพบุรุษท่านนี้เห็นในความฝัน”มันใช้ปลายคางชี้มาทางไคลน์“เข้าเรื่องสักที” ชายหนุ่มตอบสุขุมแอนเดอร์สันส่ายหน้าพลางยิ้มขื่นขม“จิตรกรรมฝาผนังดังกล่าวเต็มไปด้วยความพิสดาร เป็นภาพวาดเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลที่ถูกแยกออกเป็นสองซีก… ผู้นำคณะเดินทางถูกวาดให้มีลักษณะคล้ายคลึงเทวทูต เส้นผมสีเงินยาวถึงแผ่นหลัง ใบหน้าอ่อนโยนนุ่มนวล… ฉันคือคนแรกที่ไปถึงจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว และสิ่งที่ทำมีเพียงการเหยียดแขนขวาออกไปวาดอากาศตามความเคยชิน ฉันพูดความจริง มิได้สัมผัสกับผิวภาพแม้แต่น้อย ระยะห่างเกินกว่าห้าเซนติเมตรอย่างแน่นอน แต่เรื่องน่าตกตะลึงได้เกิดขึ้น ดวงตาของเทวทูตลืมขึ้นอย่างกะทันหัน”“…”ฉายานักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดคงได้มาเพราะนิสัยชอบหาเรื่องใส่ตัว… ไคลน์ยิ้มเย็น ๆ โดยปราศจากความเห็นใจ“เทวทูตผมสีเงิน?” แคทลียาย้อนถาม“ถูกต้อง แต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเทวทูตตนใด อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นในจิตรกรรมฝาผนังของเจ็ดโบสถ์หลักมาก่อน หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ จิตรกรอาจวาดขึ้นมาเองจากจินตนาการโดยมิได้อ้างอิงจากความเป็นจริง” แอนเดอร์สันยกมือลูบไล้เส้นผม พลางพบว่าสุภาพบุรุษผู้สวมเสื้อคอกลม แจ็คเก็ตสีน้ำตาล กางเกงขาบาน และหมวกแก็ป กำลังจ้องมาทางตนด้วยสายตาเย็นชา คล้ายกับพร้อมโจมตีทุกเมื่อหากพบความไม่ชอบมาพากลแม้เพียงเล็กน้อยขณะเดียวกัน ไคลน์กำลังสนใจประเด็นอื่นเขาเชี่ยวชาญภาพจิตรกรรมมาก อย่างน้อยก็เหนือกว่าคนคนส่วนใหญ่ ที่มิอาจแปลความหมายของจิตรกรรมฝาผนังทางศาสนาได้แตกฉาน…แคทลียาผู้คิดไม่ตก หันไปจ้องไคลน์ด้วยดวงตาแฝงความสงสัยเมื่อครู่แอนเดอร์สัน·ฮู้ดระบุว่า เกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็ได้เห็นภาพดังกล่าวเช่นกันบางที หากเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ได้รับพรจากท่าน เขาอาจทราบว่าเป็นภาพของเทวทูตตนใด… พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา แอบเชื่อว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มีคำตอบในใจแล้วสำหรับไคลน์ เมื่อมันพิจารณาว่า ถึงจะยังไม่บอกคำตอบเธอในตอนนี้ แต่มาดามเฮอร์มิทคงหาโอกาสถามตนในชุมนุมทาโรต์อยู่ดี จึงตัดสินใจไม่ปิดบังเป็นความลับ เพียงมอบคำตอบอย่างเรียบง่าย“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส”ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส? เทวทูตโชคชะตา? ราชาเทวทูต? แคทลียาเม้มริมฝีปากแน่น แสงสีม่วงในดวงตาทวีความเข้มข้นโดยไม่รู้ตัวต้องขอบคุณคำแนะนำจากมิสจัสติส เธอได้ยินชื่อดังกล่าวครั้งล่าสุดจากชุมนุมทาโรต์และนั่นยังเป็นหนแรกที่แคทลียาตระหนักถึงการมีอยู่ของราชาเทวทูต โดยหลังจากผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน เธอก็มีโอกาสได้พบเบาะแสบนโลกความจริง!“ผู้กลืนหาง โอโรเลอุส?” แอนเดอร์สันเคี้ยวคำด้วยสีหน้าเหม่อลอยไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ คล้ายกับไม่ต้องการเปลืองแรงอธิบายเมื่อเห็นพลเรือเอกดวงดาวเงียบงัน แอนเดอร์สันไม่ถามซักไซ้ เพียงหัวเราะและเล่าต่อ“ในตอนนั้น ฉันคิดว่าตัวเองคงตาฝาดไป เพราะนอกเหนือจากการลืมตา ภาพจิตรกรรมฝาผนังก็ไม่มีความผิดปรกติอื่นใดอีก… หลังจากนั้น ทีมสำรวจของเราแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ส่วนใหญ่ตกใจมากกับเรื่องที่ฉันเล่า จึงตัดสินใจไม่สำรวจวิหารต่อ ส่วนอีกฝ่ายซึ่งมีจำนวนราวหนึ่งในสาม ต้องการสำรวจลึกเข้าไปในวิหาร ทางกลุ่มใหญ่จึงตัดสินใจรอในจุดเดิมตลอดทั้งวัน แต่แม้จะผ่านไปแล้วสามวันคืนเต็ม พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา… เราทุกคนต่างเป็นนักล่าสมบัติมากฝีมือ ย่อมตระหนักได้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น หลังจากรออีกสักพักจนแน่ใจ ไม่มีใครกล้าสำรวจหรือรออยู่ในวิหารต่อ ทุกคนรีบเผ่นหนีและแล่นเรือย้อนกลับทางเดิม เมื่อพิจารณาว่าแต่ละคนสามารถกอบโกยสมบัติได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ จึงไม่มีใครคิดเอาตัวเองกลับไปเสี่ยงอันตรายอีก”เดี๋ยวนะ… นายไม่มีแผนจะช่วยพวกพ้องออกมาเลยหรือ? หืม… นี่คงเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มที่รวมตัวกันเฉพาะกิจ อย่างมากก็คงเป็นห่วงเพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คน… จากประสบการณ์ของเรา ป่านนี้พวกพ้องที่หายเข้าไปในวิหาร คงกำลังกินนิ้วของศพเพื่อประทังชีวิต… ไคลน์ครุ่นคิดเงียบงันโดยมิได้สนทนากับแอนเดอร์สันแอนเดอร์สันถอนหายใจและเล่าต่อ“ทว่านับตั้งแต่ออกจากวิหาร เราเริ่มพบความผิดปรกติเกี่ยวกับตัวเองสองเรื่อง เรื่องแรก พวกเราทุกคนประสบความโชคร้ายอย่างรุนแรง ทุกการกระทำล้วนนำไปสู่เรื่องเลวร้ายเสมอ ตัวอย่างเช่น หลังจากดื่มเบียร์เข้าไปสองถึงสามจิบ จะบังเอิญได้ทราบในภายหลังว่า ถังเก็บเบียร์ดังกล่าวถูกใครบางคนใช้เป็นโถฉี่… เอ่อ นั่นไม่ใช่ประสบการณ์ของฉัน เป็นของพวกพ้องคนหนึ่งน่ะ… เรื่องที่สอง พวกเราสามารถครองสติได้อย่างแจ่มชัดบนโลกความฝัน มิได้เหม่อลอยและรับรู้เพียงบางสิ่งโดยที่มิอาจควบคุมร่างกาย ส่งผลให้สมาชิกราวหนึ่งในสามของจำนวนเริ่มต้น เกิดความอยากรู้อยากเห็นและเริ่มสำรวจความฝัน… ฮะฮะ จนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่กลับออกมา”แคทลียาที่รับฟังอย่างเงียบงันมาสักพัก เปิดปากถาม“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบนโลกความจริง?”“กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาด สังหารพวกพ้องที่เหลือไปเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงลูกเรืออีกเกือบทั้งหมด” แอนเดอร์สันหายใจเข้าสุดปอด “ถึงพวกเราจะฆ่าสัตว์ประหลาดได้ แต่เนื่องจากขาดแคลนลูกเรือ เหตุการณ์โชคร้ายจึงประดังเข้าใส่อย่างไม่หยุดพัก เรือของเราเทียบท่าไม่ทันก่อนพายุก่อตัว จึงอับปางไปพร้อมกับสมบัติที่รวบรวมมาได้ พรรคพวกส่วนใหญ่หากไม่จมน้ำก็จะถูกสัตว์ทะเลกิน แต่ฉันก็ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง… อย่างไรก็ตาม ฝีมือของฉันเหนือกว่าพรรคพวกคนอื่นเล็กน้อย แม้จะถูกคลื่นใหญ่พัดพา แต่สุดท้ายก็มาเกยตื้นบนเกาะแห่งนี้สำเร็จ จากนั้นก็พยายามต่อเรือบดด้วยตัวเอง ทว่าด้วยผลของความโชคร้าย ขวานเล่มสุดท้ายจึงหักไปแล้ว ฉากดังกล่าวถูกฉายภายในโลกความฝันตามที่นายได้เห็น”ประโยคสุดท้ายของแอนเดอร์สันหมายถึงไคลน์แปลว่าเขาไม่ได้โกหก… เป็นกลุ่มโจรสลัดที่ถูกสาปให้พบเจอแต่ความซวย… ไคลน์แอบวาดจันทร์แดงในใจเพื่อแผ่เมตตาชายหนุ่มเชื่อว่า คำบอกเล่าของแอนเดอร์สันมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องจริง ประสบการณ์ที่ละเอียดและพิสดารเช่นนี้ คงเป็นการยากหากจะสร้างมโนภาพขึ้นมาเองแต่บางที แอนเดอร์สันอาจเผลอเข้าไปข้างในวิหาร กินนิ้วของศพประทังชีวิต ก่อนจะกลับออกมาโดยเข้าใจว่าไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นกับตน หรือบางที เขาอาจสำรวจโลกความฝันไปแล้วหลายจุด และถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับลอบกัดกร่อนโดยไม่รู้ตัว…หลังจากแอนเดอร์สัน·ฮู้ดเล่าจบ มันหันไปยิ้มให้พลเรือเอกดวงดาวและชายที่ตนยังไม่ทราบชื่อ ก่อนจะฉีกยิ้มพร้อมกับกล่าว“ไม่ทราบว่า ให้ฉันได้เป็นเกียรติร่วมโดยสารอนาคตกาลด้วยได้ไหม? แน่นอน ฉันจะจ่ายเงิน”สีหน้าของมันกำลังบ่งบอกว่า เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่แคทลียาขยับศีรษะอีกครั้ง เป็นการหันมาทางไคลน์ คล้ายกับถามหาความยินยอมอย่าบอกนะว่า… เธอเอนเอียงไปทางอนุญาต? ไม่คิดทบทวนสักหน่อยหรือ ขนาดเรายังต้องเข้าห้วงมิติเหนือหมอกเพื่อทำนายยืนยัน แล้วเธอเป็นใครถึงมั่นใจขนาดนี้? อาศัยพลังพิเศษของลำดับ 5 แห่งเส้นทางผู้ส่องความลับ? ไคลน์วิเคราะห์ข้อมูลจากสีหน้าที่แคทลียากำลังแสดงขณะชายหนุ่มลังเล แอนเดอร์สันกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล“ฉันชำนาญเส้นทางในจุดถัดไป! ต้องช่วยพวกนายเลี่ยงอันตรายที่อาจซ่อนอยู่ตามเส้นทางเดินเรือปลอดภัยได้แน่ ฉันสามารถระบุได้ว่าซากปรักหักพังใดอันตราย และยังจะช่วยให้พวกนายรอดจากเสียงเพลงของนางเงือกได้ทันเวลา!”“เสียงเพลงของนางเงือก?” ดวงตาไคลน์พลันแวววาวจนเกือบหลุดมาดของเกอร์มัน·สแปร์โรว์“ถูกต้อง ห่างไปราวหนึ่งวันจากที่นี่ด้วยการแล่นเรือ… ฉันหมายถึงหนึ่งวันของโลกภายนอก ถ้าอ้อมแนวซากปรักหักพังและหักหัวเรือไปทาง…” กล่าวถึงจุดนี้ คล้ายกับแอนเดอร์สันฉุกคิดบางสิ่งได้ มันปิดปากเงียบโดยไม่เล่าต่อไคลน์ใคร่ครวญสักพัก ก่อนจะหยิบเหรียญทองออกมาต่อหน้าแอนเดอร์สันและกล่าวเสียงแผ่ว“แอนเดอร์สัน·ฮู้ดไม่ปรกติ”…แม้ชายหนุ่มจะพึมพำเจ็ดครั้งตามหลักการทำนาย แต่ภายในใจมิได้คาดหวังอะไรนักการดีดเหรียญทำไปเพื่อทดสอบอีกฝ่ายหากแอนเดอร์สันผิดปรกติจริง ก็ต้องท่าทางน่าสงสัยให้เห็น เพราะไม่มีทางที่มันจะทราบถึงระดับพลังทำนายของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ จึงไม่น่าจะมั่นใจในพลังแทรกแซงการทำนายของตนกิ๊ง!เหรียญทองกระเด็นขึ้นไปในอากาศและร่วงหล่น ไคลน์ชำเลืองผลลัพธ์เล็กน้อยก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเสื้อทันที“ไม่ผิดปรกติ”แต่ต้องยืนยันบนมิติหมอกเทาอีกครั้ง… ไคลน์เสริมในใจแคทลียาจ้องแอนเดอร์สันพลางพยักหน้ารับ“ฉันรับข้อเสนอ… แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าออกจากทะเลแห่งนี้เมื่อไร นายต้องมอบทรัพย์สินติดตัวครึ่งหนึ่งให้ฉัน หากไม่มีก็ไม่ต้องจ่าย”แอนเดอร์สันเงียบงันสักพัก ก่อนจะยิ้มตอบ“ตกลง!” เมื่อพบทางรอด มันเผยความผ่อนคลายบนใบหน้า“อย่างไรก็ตาม ขอเตือนไว้ก่อนว่า ถึงความโชคร้ายจะส่งผลกับฉันคนเดียว แต่ก็อาจดึงดูดสัตว์ประหลาดดุร้ายมาทำอันตรายพวกนายได้เช่นกัน… แต่ถ้าเธอ สุภาพบุรุษท่านนี้ และฉันร่วมมือกัน เราสามคนคงเอาตัวรอดจากอันตรายได้ไม่ยากเย็น”เมื่อสิ้นสุดคำสุดท้าย เกาะทั้งเกาะพลันสั่นไหว ฝุ่นควันคละคลุ้งฟุ้งเต็มป่า“อย่าบอกนะว่า… เป็นพวกสัตว์ประหลาด?” แอนเดอร์สันอ้าปากค้าง………………………………………………
คอมเม้นต์