ราชันเร้นลับ 650 : แอนเดอร์สันผู้โชคร้าย
หลังจากจำได้ว่าผู้นำของคณะจารึกแสวงบุญบนจิตรกรรมฝาผนังเป็นใคร สัญชาตญาณไคลน์พลันร้องเตือนว่า ภาพดังกล่าวอาจมาจาก ‘ส่วนหนึ่ง’ ของความฝันตนแต่เพียงไม่นาน มันสลัดความคิดดังกล่าวทิ้ง เหตุเพราะไคลน์ไม่รู้จักแอนเดอร์สันผู้โชคร้าย และไม่เคยรู้จักใครที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ความฝันในปัจจุบันจึงไม่น่าจะมาจากส่วนที่เป็นของตนอีกทั้ง แอนเดอร์สันระบุอย่างชัดเจนว่า มันถูกสาปให้โชคร้ายหลังจากได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้มาก ว่าภาพนี้คือส่วนหนึ่งของ ‘ความฝัน’ แอนเดอร์สัน!เมื่อรวบรวมสมาธิกลับมาอีกครั้ง ไคลน์เริ่มตระหนักว่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับทะเลเพลิง มีความแตกต่างจากภาพที่ ‘เดอะซัน’ เคยเห็นในซากวิหารของพระผู้สร้างแท้จริงหลายจุดจุดแรก ฉากหลังของภาพวาดในโลกความฝันเป็นทะเลเพลิงสีทองอร่าม แต่ภาพที่เดอะซันเห็นเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าจุดที่สอง ปลายทางของภาพวาดในความฝันคือส่วนลึกของทะเลเพลิง แต่ภาพที่เดอะซันเห็นมีปลายทางเป็นจุดสูงสุดของภูเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีกางเขนยักษ์และชายห้อยศีรษะถูกแขวนอยู่จุดที่สาม เทวทูตโชคชะตา โอโรเลอุส ของที่นี่กำลังยืนบนโคลนดำโดยมีปลาจำนวนมากเรียงรายในสภาพหัวปักดิน แต่โอโรเลอุสที่เดอะซันเห็นกำลังยืนบนแม่น้ำคดเคี้ยวเป็นคนละภาพโดยสิ้นเชิง อาจสื่อถึงคณะจารึกแสวงบุญในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน… ไคลน์พยักหน้ากับตัวเองพลางตั้งสมมติฐานทันใดนั้น ฉากหนึ่งผุดขึ้นในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ณ ช่วงเวลาหนึ่งในยุคสมัยที่สี่ โอโรเลอุสผู้กลืนหาง ได้นำเหล่านักแสวงบุญ หรือที่เรียกว่า สาวกกลุ่มสุดท้ายของพระผู้สร้างแท้จริง หลบหนีจากการไล่ล่าของศัตรูที่แข็งแกร่งมายังทะเลแถบนี้ด้วยเรือด้วยสาเหตุบางอย่าง ‘ท่าน’ ตัดสินใจลงจากเรือ และอาศัยความช่วยเหลือจากพระผู้สร้างแท้จริงหรือไม่ก็พลังของตน แบ่งแย่งทะเลออกเป็นสองซีกและเดินนำหน้าคณะจาริกแสวงบุญผ่านไปยังดินแดนเทพทอดทิ้ง เพื่อรักษาเมล็ดพันธุ์สุดท้ายของกุหลาบไถ่บาปและชุมนุมแสงเหนือหลังจากนั้น ณ ดินแดนเทพทอดทิ้ง พวกมันเดินทางผ่านเขตรกร้างว่างเปล่าพร้อมกับสร้างวิหารไปตลอดทาง จนกระทั่งถูกทีมสำรวจของเดอะซันค้นพบในภายหลังเมื่อคำนึงถึงเรื่องที่วิล·อัสติน ‘อสรพิษปรอท’ ถูกใครบางคนบังคับให้ต้องเริ่มต้นวงจรชีวิตใหม่ในร่างทารก หมายความว่า โอโรเลอุสน่าจะยังมีชีวิตอยู่… หรือก็คือ เทวทูตโชคชะตาสามารถนำทางเหล่าสาวกกลุ่มสุดท้ายไปถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริงสำเร็จ… หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ แดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริงตั้งอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้ง… เมื่อตระหนักถึงจุดนี้ ไคลน์พลันเกิดความวิตกจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกหากการคาดเดาของเราถูกต้อง ไม่ว่าเมืองเงินพิสุทธิ์จะดิ้นรนเอาตัวรอดสักเพียงใด สืบทอดอารยธรรมไปอีกกี่รุ่น แต่ในที่สุดแล้ว เมื่อพระผู้สร้างแท้จริงลืมตาตื่น ชะตากรรมของพวกเขาทั้งหมดก็จะจบลงทันที!ในวินาทีที่อาณาจักรเทพใกล้ชิดกับมนุษย์ ความอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็จะไม่ถูกกำหนดโดยมนุษย์อีกต่อไป!เฉกเช่นฟองน้ำที่ผุดขึ้นริมหาด หากวันใดมีคลื่นซัดสาด ฟองน้ำย่อมพลันอันตรธานหายภายใต้การเฝ้ามองจากสายตาของเทพมาร ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออารยธรรมมนุษย์ ทุกสรรพสิ่งล้วนเปราะบางจนน่าสังเวชไม่สิ เราอาจมองโลกในแง่ร้ายเกินไป… การเริ่มต้นวงจรชีวิตใหม่ของวิล·อัสตินอาจมิได้เป็นเพราะถูกโอโรเลอุสบังคับ และพระผู้สร้างแท้จริงก็ยังไม่ใกล้คืนชีพ บางที ‘ท่าน’ คงกำลังถูกเจ็ดเทพจารีตผนึกไว้อย่างแน่นหนา…หรือก็คือ เมืองเงินพิสุทธิ์ยังพอมีโอกาสรอด ก่อนที่เทพมารจะเป็นอิสระจากผนึกโดยสมบูรณ์ พวกเขาต้องหาเส้นทางอพยพออกมาจากดินแดนเทพทอดทิ้งให้ได้! นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ตัดสินใจปล่อยตัวอาวุโส ‘คนเลี้ยงแกะ’ จากคุก เป็นกลยุทธ์ในการหยิบยืมพลังจากทุกฝ่าย… ไคลน์พยายามเค้นสมองวิเคราะห์จากนั้น มันพลันกังวลว่า ตนอาจตกกำลังอยู่ใน ‘วังวนโชคชะตา’ ที่ ‘ผู้กลืนหาง’ สร้างขึ้นสัญชาตญาณไคลน์รีบร้องเตือนให้ชายหนุ่มเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าวและส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก เพื่อดึงความทรงจำที่อาจถูกลบล้างระหว่างวังวนกลับมา แต่สุดท้าย ไคลน์ยังคงตรึกตรองอย่างใจเย็น เพียงเพ่งสมาธิสังเกตรอบตัวอย่างสุขุมหากมองตามหลักการตีความเชิงสัญลักษณ์ เมื่อภาพวาดปราศจากแม่น้ำคดเคี้ยว มีเพียงทางตรงที่เต็มไปด้วยโคลนดำและซากปลา หมายความว่า ภาพนี้มิได้สื่อถึงวังวนโชคชะตา หากแต่เป็นการเข้าไปพัวพันกับโชคร้าย!ตรงตามคำพูดของแอนเดอร์สันทุกประการ!ในฐานะราชาเทวทูต โอโรเลอุสต้องมีวังวนอื่นนอกเหนือจากโชคชะตาแน่ ยิ่งเมื่อเป็นคนละภาพวาด แถมยังอยู่ต่างวิหาร ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเลือกใช้พลังต่างกัน… และเหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่คือโลกแห่งความฝัน!ไม่เพียงเท่านั้น ถึงเราจะไม่ได้แก้ปัญหาในทันที ปล่อยให้เหตุการณ์ที่คุยกับพลเรือเอกดวงดาวเกิดขึ้นซ้ำไปมา แต่เมื่อวันจันทร์ถัดไปมาถึง ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกคลี่คลาย เพราะถ้าสมาชิกชุมนุมทาโรต์พบว่าเดอะฟูลไม่ดึงตัวทุกคน คนอย่างมิสจัสติสจะเริ่มเอะใจและทำการสวดวิงวอนถึงเรา นั่นจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากวังวนกระแสเวลาทันที…มองตรงไปข้างหน้า ชายหนุ่มพบว่าห้องโถงมีลักษณะลึกจนมองไม่เห็นด้านในสุด ยิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งมืด มีเพียงแสงสว่างเล็ดลอดออกจากประตูที่ปิดสนิท ไม่มีใครทราบว่าหลังประตูมีสิ่งใดรออยู่เมื่อได้เห็นความมืดและเงียบงันอันน่าขนลุกตรงหน้า ไคลน์ตัดสินใจลดขอบเขตการสำรวจลงจนถึงระดับต่ำสุดเพียงโถงแรกก็ได้เจอจิตรกรรมฝาผนังของเทวทูตเข้าแล้ว เดาไม่ได้เลยว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากเราเดินสุ่มเข้าไปในห้องอื่นส่งเดช…ความกลัวในสิ่งลึกลับ ถือเป็นความรู้สึกที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ เพราะถึงแม้นจะทราบว่าตรงหน้ามีอันตราย แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นอันตรายจากสิ่งใด ความรู้สึกเช่นนี้นำมาซึ่งความหวาดผวาจากก้นบึ้ง ไคลน์กวาดตาสำรวจราวสองสามวินาที ก่อนจะตัดสินใจไม่เดินเข้าไปชายหนุ่มหันไปทางแอนเดอร์สันที่กำลังใช้ขวานสับต้นไม้ใหญ่“…นายมาอยู่ในทะเลแห่งนี้ได้ยังไง”แอนเดอร์สันเงยหน้าขึ้นพลางฉีกยิ้มเหยียดหยัน“ฉันเป็นนักล่าสมบัติ… คิดว่านักล่าสมบัติมาทำอะไร”นักล่าสมบัติ… ไคลน์ถามต่อด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง“แถวนี้มีสมบัติ?”แอนเดอร์สันที่กลับไปมีสมาธิกับการสร้างเรือบด ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วลง“ทะเลที่นี่เต็มไปด้วยขุมทรัพย์… ถ้านำออกไปได้แบบมีชีวิตล่ะนะ”จริงเสียยิ่งกว่าจริง… แต่ปัญหาคือ ทะเลบัดซบนี่จะอันตรายอย่างมากหากคนสำรวจไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่จะอันตรายยิ่งกว่า ถ้าคนสำรวจเป็นครึ่งเทพ… ไคลน์จ้องเข้าไปในประตูห้องโถงและถาม“รู้ไหมว่าข้างในมีอะไร”แอนเดอร์สันมองตามมือ“ไม่รู้… พรรคพวกของฉันกว่าหนึ่งในสาม เข้าไปสำรวจข้างในและไม่กลับออกมาอีกเลย”“หมายถึงโลกจริงหรือในความฝัน” ไคลน์ถามหลังจากใคร่ครวญปึก!เมื่อคมขวานสับกระแทก แอนเดอร์สันกล่าวด้วยรอยยิ้ม“ต้องโลกความจริงอยู่แล้ว… นอกจากนั้น พรรคพวกอีกหนึ่งในสามได้ตั้งทีมสำรวจภายในดินแดนความฝัน แต่พวกเขาก็ไม่กลับมาเหมือนกัน”“…” ไคลน์สูดลมหายใจยาวก่อนจะถาม“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายบนโลกจริง?”“กลายเป็นสัตว์ประหลาดและสังหารพวกพ้องไปหลายคน” แอนเดอร์สันยกขวานขึ้นสุดเหยียดและสับลงเต็มแรงเปรี้ยง!ท่ามกลางเสียงกังวาน ขวานหักออกเป็นสองส่วนและกระเด็นใส่ร่างกายน้ำพุโลหิตพลันพวยพุ่งออกจากหน้าอกและช่องท้องของแอนเดอร์สันมันรีบนำมือซ้ายกดปากแผล ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นและมองไคลน์ด้วยรอยยิ้มจืดชืด“เคยบอกไปแล้วใช่ไหม นับตั้งแต่ได้เห็นภาพวาดนั่น ชีวิตของฉันก็เต็มไปด้วยความโชคร้าย… แต่ยังดีที่เมื่อครู่ไม่ได้ซวยมาก อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของฉันเสียโฉม”เอามารวมอยู่ในประโยคเดียวกันได้ยังไง… ไคลน์จ้องแอนเดอร์สันผู้กำลังดึงเศษไม้ออกจากตัวเพื่อทำแผล หลังจากสำรวจสักพัก มันพบว่าอีกฝ่ายสุขุมจนน่าเหลือเชื่อ แถมยังทำแผลอย่างช่ำชองราวกับเป็นเหตุการณ์ปรกติไคลน์สอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วควงเหรียญพลางซักถาม“ในตอนที่พรรคพวกเข้าไปสำรวจ นายอยู่กลุ่มวิเคราะห์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง?”แอนเดอร์สันที่ชะงักมือเล็กน้อย เก็บถุงยาเข้าไปในเข็มขัด ก่อนจะเช็ดปากและเล่าต่อ“เปล่า… ฉันอยู่ในกลุ่มที่เข้าไปสำรวจ”ขณะตอบ มันยกมุมปากขึ้นพร้อมกับเผยสีหน้าแสนอบอุ่นอะไรนะ… รูม่านตาไคลน์พลันหดลีบ หลังงอลงเล็กน้อยพร้อมกับยกแขนซ้ายขึ้นทันใดนั้น แสงจ้าที่มีเพียงความขาวโพลน พลันโอบกอดทุกสรรพสิ่งรอบตัว ความฝันของไคลน์เลือนหายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่าชายหนุ่มลืมตาตื่นตามธรรมชาติ และพบว่าบรรยากาศรอบข้างกำลังสว่างคล้ายเที่ยงวันมันหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบผ่านไปครึ่งชั่วโมง… กลางคืนที่นี่สั้นชะมัด…มองจากภายนอก แอนเดอร์สันผู้โชคร้ายคนนั้นดูปรกติมาก… คิดไม่ถึงว่าจะน่ากลัวขนาดนี้!หลังจากพลิกตัวลุกจากเตียง ไคลน์ฉุกคิดเรื่องสำคัญได้ นั่นก็คือ ‘อสรพิษแห่งชะตา’ วิล·อัสติน ยังไม่ได้มอบคำตอบกลับมา!เป็นเพราะความฝันของทุกคนถูกดึงให้เข้าไปยังโลกแห่งนั้น วิล·อัสตินจึงระบุพิกัดที่แน่ชัดของเราไม่ได้? หรือว่าเขาสัมผัสถึงกลิ่นอายของโอโรเลอุสผู้กลืนหาง จึงไม่กล้าเสี่ยงเข้าใกล้? หรือทะเลละแวกนี้มีความผิดปรกติ? ถึงจุดนี้ ไคลน์ตัดสินใจไม่ฟันธง รอยืนยันด้วยตัวเองให้แน่ชัดในภายหลังวิธีตรวจสอบไม่ซับซ้อน แค่นอนหลับไปอีกครั้งขณะที่ยังเป็นช่วงเวลา ‘กลางวัน’มันมิได้ใจร้อนสะกดจิตตัวเองนอนในทันที เนื่องจากยังไม่แน่ใจว่า มีข้อห้ามนอนหลับระหว่างช่วงเวลากลางวันหรือไม่ไคลน์ออกจากห้อง เดินไปยังห้องกัปตันและเคาะประตูด้วยนิ้วสิ้นเสียงสามครั้ง ชายหนุ่มชักมือกลับและยืนรออย่างอดทนเพียงไม่นาน พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา เปิดประตูใบหน้าของเธอมิได้ล่องลอยเหมือนกับในความฝัน และกำลังสวมแว่นตาหนาเตอะอันเดิม“นอนกลางวันได้ไหม” ไคลน์ถามห้วนแคทลียาพยักหน้า“ไม่มีปัญหา”จากนั้น หญิงสาวเผยความลังเล“ในความฝัน… ฉันเห็นคุณกระฉับกระเฉงมาก”เมื่อคำนึงถึงอันตรายบนท้องทะเลแห่งนี้ ไคลน์เชื่อว่าตนคงเลี่ยงการเปิดเผยพลังพิเศษต่อหน้าหญิงสาวไม่ได้ จึงตัดสินใจชิงบอกให้ทราบก่อนชายหนุ่มจ้องตาแคทลียาพร้อมกับเผยรอยยิ้มอ่อนโยน“ใช่… เป็นของขวัญจากพระองค์”พระองค์… ดวงตาของแคทลียาที่พร่ามัวเมื่อมองผ่านแว่น เริ่มเผยอาการสั่นเทาหญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยซึ่งทำไม่บ่อยนัก ก่อนจะคลายออกในทันทีโดยมิได้ซักถามเพิ่มเติมไคลน์ใคร่ครวญนานหลายอึดใจจึงค่อยกล่าวเสริม“ระวังฮีธ·ดอยล์ให้ดี”แคทลียาเข้าใจความหมาย เธอตอบกลับอย่างเถรตรง“ไม่ต้องห่วง เขาพกสมบัติวิเศษติดตัวตลอดเวลา ผลข้างเคียงของมันจะทำให้ได้ยินเสียงในระยะใกล้มากเท่านั้น”ฉวยโอกาสจากผลข้างเคียงได้อย่างชาญฉลาด… ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงถอดหมวกคำนับและเดินกลับห้องมันทิ้งตัวลงนอน ตามด้วยการเข้าฌานสะกดจิตตัวเองให้หลับท่ามกลางโลกความฝัน ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาพบกับดินแดนอันรกร้างว่างเปล่า รวมไปถึงอาคารยอดแหลมสีดำที่คุ้นเคยฟู่ว… อย่างน้อยก็ยังติดต่อได้… ไคลน์ถอนหายใจยาวราวกับยกภูเขาออกจากอก ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในหอคอย ณ จุดเดิม มันได้พบกับไพ่ทาโรต์กระจัดกระจายพร้อมกับข้อความใหม่“ที่นั่นเต็มไปด้วยอันตราย สิ่งที่อันตรายที่สุดคือโลกความฝันยามค่ำคืน… ไม่ได้สำคัญว่าเจ้าจะหายตัวไปหากไม่ได้นอนหลับในช่วงเวลาดังกล่าว แต่สิ่งที่ห้ามทำก็คือ… ห้ามเดินสำรวจดินแดนในความฝันโดยเด็ดขาด! ไม่ว่ายังไงก็ห้ามทำ!”“น่าเสียดาย… พื้นที่ตรงนี้ไม่กว้างพอให้ฉันเขียนอธิบายเหตุผล…”“ล้อเล่นน่ะ เหตุผลที่ห้ามสำรวจก็คือ บางส่วนในดินแดนดังกล่าว เป็นความฝันที่เทพบางตนเหลือทิ้งไว้”……………………………………..
คอมเม้นต์