ราชันเร้นลับ 635 : พบหน้า
กลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋องสุดระยำสมชื่อ… ไม่เพียงจะเหม็นคาว แต่ยังน่ารังเกียจจนสรรหาคำมาอธิบายไม่ได้… มันคืออาวุธชีวภาพ!ไคลน์นั่งยองในมุมหนึ่งของซอยเปลี่ยว ต้องใช้เวลาหลายสิบวินาทีกว่าจะกลับเป็นปรกติมันตระหนักว่าตนประมาทกลิ่นของปลาหมาป่ากระป๋องเกินไป จึงตอบสนองต่อหายนะได้ไม่ทันท่วงที ไม่มีการงัดกระดาษคนตัวแทนหรือท่อหายใจล่องหนออกมาใช้ในวินาทีนี้ ไคลน์ขอชื่นชมคนออกกฎห้ามเปิดปลาหมาป่ากระป๋องในที่สาธารณะ!ฟู่ว… ชายหนุ่มหายใจเข้าพร้อมกับลุกยืนอย่างระมัดระวัง ยกกระเป๋าสัมภาระและย่างกรายออกไปยังเขตท่าเรือภาพจำแรกเกี่ยวกับเมืองนาสคือ อาคารบ้านเรือนเต็มไปด้วยสีขาวละลานตา เกือบทั้งหมดสร้างจากอิฐขาวโพลน ภาพจำที่สอง ถึงแม้เกาะจะตั้งเยื้องขึ้นไปทางทิศเหนือแค่เล็กน้อย แต่อากาศกลับหนาวเย็นจนสั่นสะท้าน กระทั่งเดือนเมษายนก็ยังมีอุณหภูมิหลักหน่วยเฉียดติดลบและภาพจำที่สาม เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยโรงเชือดวาฬเรียงติดกันเป็นทิวแถว โดยวาฬขาวตัวใหญ่จะถูกแบ่งชำแหละออกเป็นหนัง เนื้อสด ไขมัน กระดูก และ ‘อำพันเทา’สองอย่างหลังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย กระดูกใช้สร้างเป็นโครงกระโปรงสำหรับงานเลี้ยง ส่วนอำพันเทาสามารถนำไปเป็นเครื่องเทศชั้นหนึ่ง เครื่องหอม หรือแม้กระทั่งน้ำหอม โดยทั้งหมดล้วนเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความบันเทิงของชนชั้นสูงในส่วนของหนัง เนื้อสด และไขมันของวาฬขาวก็ยังมีประโยชน์หลากหลาย เช่นนำไปสร้างเป็นเสื้อหนัง แปรรูปเป็นอาหาร หรือแม้กระทั่งการกลั่นน้ำมัน สำหรับเมืองนาส อาหารจากวาฬขาวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและการดำรงชีพ ภัตตาคารมากมายพัฒนาเมนูเกี่ยวกับวาฬชนิดนี้จนมีรสชาติยอดเยี่ยมไคลน์เดินผ่านโรงเชือดวาฬและเห็นไขมันถูกลอกออกจากซาก โดยคนงานแบกจะขึ้นรถขนส่งและขับไปยังโรงงานควันดำที่อยู่ไม่ห่างออกไปตัวตนแท้จริงของโรงงานควันดำคือโรงกลั่นน้ำมันการ์กัส ไขมันจากวาฬขาวทั้งหมดจะถูกนำมากลั่นเป็นน้ำมันวาฬ กลายเป็นน้ำมันคุณภาพสูงที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเฉพาะทางไม่เหมือนกับเมืองไหนที่เคยไปเยือนเลยแฮะ…ไคลน์ถอนหายใจผ่อนคลาย หยุดยืนชมทัศนียภาพรอบเมืองสักพักเมื่อเดินออกจากท่าเรือและเข้าไปในเขตอยู่อาศัยของชาวเมือง เสียงภาษาฟุซัคดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทไคลน์ซึ่งเชี่ยวชาญภาษาฟุซัคโบราณอันเป็นรากภาษาของทวีปเหนือทั้งหมด ย่อมสามารถถอดความภาษาคนเถื่อนแดนเหนือได้ไม่ยากนัก ชายหนุ่มหันข้างไปมองอย่างสนใจ และได้เห็นกลุ่มคนผมทองที่ค่อนข้างสูง กำลังชูป้ายพร้อมกับเดินขบวนไปตามถนนป้ายด้านหน้าสุดเขียนเจตจำนงไว้ว่า :“ขอคัดค้านการล่าวาฬขาวอย่างผิดกฎหมาย! เราต้องพัฒนาธรรมชาติอย่างยั่งยืน!”พรวด…!ไคลน์เกือบหลุดขำเสียงดัง ในใจเชื่อว่ากว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของวลี ‘พัฒนาอย่างยั่งยืน’ จะต้องถูก ‘คิดค้น’ โดยโรซายล์มหาราชแน่นอนชายหนุ่มมองไปรอบตัว เพ่งตาอ่านป้ายประท้วงเพื่อประเมินความต้องการของกลุ่มผู้ก่อความวุ่นวายบนถนน“ล่าวาฬเพื่ออยู่รอด มิใช่เพื่อความบันเทิง!”“มนุษย์มิได้สูงส่งกว่าวาฬขาว!”“พวกปีศาจหิวเงิน จงออกจากนาสไปซะ!”ทันใดนั้น หน่วยตำรวจปราบจลาจลในเครื่องแบบสีเทาปรากฏตัวพร้อมโล่ใหญ่ ส้อมยาวสำหรับควบคุมฝูงชน และไม้กระบอง ยืนตั้งแถวปิดทางเดินของกลุ่มผู้ประท้วงหลังจากการปะทะประปรายในช่วงต้น ความวุ่นวายเริ่มลุกลามและทวีความรุนแรงกลุ่มคนหนุ่มสาวเริ่มขว้างกระป๋องปลาหมาป่าและโยนไปทางตำรวจ บางส่วนโยนระเบิดเพลิงที่มาพร้อมกับเชื้อไฟ กลุ่มตำรวจเห็นดังนั้นก็ไม่นิ่งนอนใจ รีบเข้าปราบปรามด้วยมาตรการสูงสุดทันที โล่ใหญ่ถูกดันจนติดกลุ่มผู้ประท้วงและเริ่มต้นการตะลุมบอนไคลน์รีบอุดจมูกแน่น มองไปยังกลางถนนที่มีเปลวเพลิงลุกท่วม จากนั้นก็หันไปสำรวจอาการของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาวงนอก และพบว่าเกือบทั้งหมดล้วนเฉยชากับเหตุการณ์ตรงหน้า มีเพียงบางส่วนที่หันมาสนใจ แต่ส่วนใหญ่ยังคงก้มหน้าเดินไปตามเป้าหมายตัวเองคงเป็นเรื่องปรกติของนาส… การประท้วงคงถูกยกระดับกลายเป็นความชุลมุนบ่อยครั้งสินะ…สมกับที่เป็นพวกคนเถื่อนฟุซัค…ไคลน์พึมพำสองสามคำและเดินไปตามถนน เพียงไม่นานก็พบโรงแรมที่จะเข้าพักค้างคืนชายหนุ่มยังคงลงทะเบียนด้วยตัวตนเกอร์มัน·สแปร์โรว์ โดยไม่กังวลว่าข่าวลือที่พลเรือโทโรคภัยกระจายออกไป จะทำให้โบสถ์รัตติกาลระแคะระคายว่าตนคือผู้ไร้หน้า เพราะไคลน์ไม่คิดตามหานางเงือกด้วยวิธีโดยสารไปกับเรือประมงล่าวาฬ ซึ่งนั่นอาจมีคนของโบสถ์รัตติกาลคอยดักซุ่ม แต่เลือกเดินทางไปยังสุดเขตตะวันออกแสนอันตรายของทะเลโซเนียแทนในส่วนของความปลอดภัยภายในเมืองการ์กัส มันก็ไม่รู้สึกกังวลเช่นกัน เพราะที่นี่คืออาณานิคมของจักรวรรดิฟุซัค ศาสนาเดียวที่ถูกกฎหมายคือโบสถ์เทพสงคราม และพวกมันเป็นศัตรูอย่างรุนแรงกับโบสถ์รัตติกาลในตอนแรก ไคลน์กังวลว่าตนจะได้พบกับผู้ไร้หน้าคนอื่นที่นี่ และพบมีมากถึงเจ็ดแปดคนหากตนเดินเข้าไปในร้านอาหารขายเนื้อวาฬแต่หลังจากลองพิจารณาดูใหม่ มันพบว่าโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมีค่อนข้างต่ำสืบเนื่องจากความหายากของผู้วิเศษเส้นทางนักทำนาย ไคลน์จึงรู้จักคนที่มีลำดับสูงกว่า 8 เพียงสามคนเท่านั้น ประกอบด้วยตัวตลกสวมสูทที่พบในเมืองทิงเก็น โรซาโก้ และซาราธอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ผู้วิเศษลำดับ 6 ถือเป็นสิ่งมีชีวิตหายาก แม้แต่ดินแดนสวรรค์ของเหล่าโจรสลัดก็ยังมีบุคคลค่าหัวห้าพันปอนด์เพียงหยิบมือเดียว และเหตุผลสุดท้าย ชะตากรรมของผู้ไร้หน้าส่วนใหญ่มีแค่ไม่กี่รูปแบบ หากไม่นับถือศาสนารัตติกาลมาตั้งแต่แรก ก็ต้องเดินทางไปพร้อมกับเรือประมงของชาวการ์กัสและถูกโบสถ์รัตติกาลจับโยนลงทะเล หรือไม่ก็ถูกจับไปเป็นหนูลองยาให้กับสมบัติปิดผนึก มีเพียงกลุ่มน้อยที่พอจะฉลาดสักหน่อย และหาโอกาสเลื่อนลำดับอย่างราบรื่น เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่น่าจะมีผู้ไร้หน้าบนเกาะการ์กัสมากนักทั่วทั้งเมืองนาส หากไม่นับเรา ปัจจุบันคงมีผู้ไร้หน้าอาศัยอยู่ไม่เกินสองคน…ไคลน์จัดระเบียบเครื่องแต่งกาย ไม่รีบร้อนหาทางติดต่อกับพลเรือเอกดวงดาว เพียงเดินไปตามถนนด้วยอารมณ์สุนทรีย์ กวาดตามองหาอาหารข้างทางเหมือนกับนักท่องเที่ยวตามปรกติซาซิมิวาฬขาวดิบ สเต๊กวาฬขาวทอด น้ำมันวาฬบำรุงผิว เนื้อวาฬขาวย่าง…ไคลน์สวมบทบาทเป็นนักท่องเที่ยวตัวจริงด้วยการเดินเข้าร้านอาหารสามแห่ง จุดประสงค์เพื่อลิ้มรสความแตกต่างของรสชาติและประเภทอาหารไม่เลวทีเดียว มีเอกลักษณ์โดดเด่น กลิ่นวาฬไม่หนักเกินไป ชวนให้เจริญอาหารมาก…ไคลน์ปิดปากขณะเดินไปตามถนน พลันพบว่าโคมไฟบนถนนค่อนข้างอับแสง แต่ความสว่างจากบ้านเรือกลับมากพอจะขจัดบรรยากาศอันมืดโดยรอบเมื่อสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาจากทะเล ไคลน์อดไม่ได้ที่จะดึงปกเสื้อขึ้นมากลบเกลื่อนความหนาวเหน็บบริเวณซอกคอ เผยให้เห็นกระดุมข้อมือสีน้ำเงินแพรวพราวที่ฝังอยู่กับชายแขนเสื้อหากเทียบกับเครื่องประดับประเภทแหวน กระดุมข้อมือจะเข้ากับมาดแสนสง่างามของเกอร์มัน·สแปร์โรว์กว่ามาก ไคลน์จึงไม่ตำหนิช่างฝีมือที่เปลี่ยนแปลงข้อตกลงโดยพลการในส่วนของฮาร์โมนิก้าซึ่งบรรจุพิธีกรรมอัญเชิญสัตว์วิญญาณ สิ่งนี้นับว่าตรงตามความต้องการของมันทุกประการ อายุการใช้งานหนึ่งปีครึ่งและสร้างจากโลหะสีเงินล้วน แฝงกลิ่นอายความสุนทรีย์และงดงามอย่างเต็มเปี่ยมขณะได้เห็นฮาร์โมนิก้าเป็นครั้งแรก ไคลน์จินตนาการภาพของนักผจญภัยเสียสติและทรงพลังท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบเหงา ยืนบนหัวเรือพลางบรรเลงบทเพลงภายใต้แสงจันทร์แดงสลัวแต่น่าเสียดาย ฮาร์โมนิก้าชิ้นนี้ผลิตเสียงดนตรีไม่ได้ ประโยชน์เดียวของมันคือการอัญเชิญมาดามไรเนตต์·ไทน์เคอร์…ไคลน์ส่ายหัวเล็กน้อยและเร่งฝีเท้าเดินไปบนถนนบรรยากาศเย็นจัดของเมืองนาส รีบมุ่งหน้ากลับโรงแรมที่เช็กอินไว้มันจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและนอนหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน จนกระทั่งลืมตาตื่นขึ้นในเช้าของวันถัดมา และมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำแห่งหนึ่งนามว่า ‘ระบำวาฬคลั่ง’หลังจากยืนจ้องหน้าเจ้าของร้านผมสีเทาที่สูงกว่าตัวเองเล็กน้อย ไคลน์เอนตัวเคาะเคาน์เตอร์พร้อมกับพูดเป็นภาษาฟุซัค“ซื้อน้ำมันวาฬ”ใบหน้าเจ้าของร้านเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น สวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากหนังวาฬขาว มีลวดลายสีขาวแซมจนเกิดเป็นความงดงามแปลกตา“เอาเท่าไร” เจ้าของร้านอยู่ในสภาพเมามายหนักหน่วง ข้าวของภายในร้านระเกะระกะไม่เป็นระเบียบ“หนึ่งถังกับอีกหนึ่งส่วนสี่” ไคลน์ตอบห้วน ประโยคดังกล่าวคือสัญญาณนัดแนะพิเศษเจ้าของร้านดื่มช้าลงอย่างชัดเจน ก่อนจะกระแทกขวดเหล้าสีน้ำตาลเขียวลงบนเคาน์เตอร์“ลองสักจิบไหม? เนโพสบริสุทธิ์ เหล้าที่บุรุษชาวฟุซัคทุกคนโปรดปราน!”เนโพสคือเหล้าชื่อดังของฟุซัค กลั่นจากมันฝรั่งหรือธัญพืช โด่งดังในด้านความรู้สึกซาบซ่านขณะดื่ม เทียบกับไวน์เลือดแห่งโซเนียแล้ว ราคาของเนโพสจะถูกกว่าเล็กน้อย และเป็นที่นิยมในหมู่นักดื่มฟุซัคมากกว่า“ไม่” ไคลน์ส่ายหน้าเจ้าของร้านหัวเราะเหยียดหยันในลำคอ“เป็นบุรุษประสาอะไรถึงไม่ดื่มเนโพส ชาวโลเอ็นมีแต่สตรีหรือ?”มันกระดกดื่มพร้อมกับทำเสียงซาบซ่าน“แล้วใครแนะนำมา”“มาดามเกอต์มิวส์” ไคลน์ผสมคำขึ้นมาเองให้สอดคล้องกับธรรมชาติของภาษาเจ้าของร้านพ่นลมหายใจหนึ่งปอดใหญ่ ส่งผลให้อากาศรอบร้านคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้ามันลุกยืนด้วยท่าทางโซซัดโซเซ อากัปกิริยาคล้ายกับหมีขาวในคณะละครสัตว์หลังจากสั่งให้ผู้ช่วยมาดูแลร้านแทน มันเดินนำทางไคลน์ขึ้นไปยังห้องขนาดเล็กบนชั้นสองของโกดังหลังร้าน“ขอหาสักครู่…” เจ้าของร้านพึมพำขณะโน้มตัวลงไปควานหาบางสิ่งอย่างเมามายไคลน์ฝืนระงับมุมปากจากอาการสั่นกระตุก ในใจกำลังหวนนึกถึงมุกตลกหนึ่งที่แพร่หลายในหมู่ชาวโลเอ็น“คำถาม : ชายชาวฟุซัคไม่เมาตอนไหนบ้าง? คำตอบ : ตอนที่พวกมันอยู่ในท้องแม่!”หลังจากยืนรอสักพัก ไคลน์เห็นเจ้าของร้านเหยียดตัวตรงพร้อมกับถือลูกแก้วคริสตัลใสบริสุทธิ์ในมือถัดมา ‘หมีขาว’ ขี้เมาหันหน้าให้ไคลน์ สองมือลูบคลำลูกแก้วคริสตัลอย่างทะนุถนอม พร้อมกับพึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณที่ยากจะทำความเข้าใจทันใดนั้น บรรยากาศภายในห้องแคบพลันมืดครึ้มกะทันหัน ตามมุมห้องที่มืดมิดกำลังเกิดแรงดึงดูดแปลกประหลาดลูกบอลคริสตัลเริ่มส่องแสง เผยให้เห็นภาพของหญิงสาวสวมชุดคลุมโบราณใบหน้าทรงไข่ไก่ ผิวพรรณขาวละเอียด ดวงตาสีม่วงเข้มและเต็มไปด้วยปริศนาได้พบหน้าสมาชิกชุมนุมทาโรต์อีกแล้ว…ไคลน์เดินเข้าไปใกล้ ใช้มือรับบอลคริสตัลขณะเดียวกัน ‘เฮอร์มิท’ แคทลียาด้านหลังบอลคริสตัลก็มองเห็น ‘เดอะเวิร์ล’ อย่างชัดเจน หญิงสาวเพ่งพิจารณาชายผมดำ ใบหน้าผอมเพรียวชัดลึก ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังจากตรวจสอบสักพัก แคทลียาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเปิดปากหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วน“เกอร์มัน·สแปร์โรว์?”เธอพบว่าตัวตนที่แท้จริงและความแข็งแกร่งของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ อยู่นอกเหนือความคาดหมายของตนไปมาก ค่อนข้างผิดคาดเมื่อพบว่าเดอะเวิร์ลคือนักผจญภัยเสียสติผู้มีฝีมือทัดเทียมพลเรือโจรสลัด เกอร์มัน·สแปร์โรว์!อย่างไรก็ตาม การประเมินด้านอุปนิสัยของเราไม่มีข้อผิดพลาด… เป็นคนเก็บตัว สุขุมลุ่มลึก มากประสบการณ์ และค่อนข้างป่าเถื่อน…พลเรือเอกดวงดาวไม่เผยสีหน้าประหลาดใจ“ถูกต้อง มาดามแคทลียา” ไคลน์โบกมือส่งสัญญาณให้เจ้าของร้านออกจากห้องเมื่อบรรยากาศเริ่มเงียบ พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาเริ่มต้นบทสนทนาอีกครั้ง“ดิฉันนึกสงสัยมาตลอด เหตุใดคุณถึงระบุตัวจริงของฉันได้ถูกต้อง ทั้งที่คอยระมัดระวังเป็นอย่างดีตลอดการชุมนุม”ย้อนกลับไปเมื่อเดอะเวิร์ลขอสนทนาส่วนตัวกับเฮอร์มิท แคทลียาตกใจมากเมื่ออีกฝ่ายเริ่มต้นทักทายด้วยคำว่า ‘สวัสดี พลเรือเอกดวงดาว’และนั่นคือเหตุผลสำคัญที่เธอยอมรับงานจ้างจากเดอะเวิร์ล“ความลับ” ไคลน์ยิ้มอย่างสุภาพและเนื่องจากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายระแวงว่าตนมีความเกี่ยวข้องกับเดอะฟูล มันตัดสินใจเสริมไปอีกหนึ่งประโยค“ดวงตาของคุณพิเศษกว่าใคร”“นั่นเป็นคำชมใช่ไหม?” แคทลียายิ้มเธอเชื่อมาตลอดว่า ในตอนแรก เดอะเวิร์ลยังไม่มั่นใจว่าตนคือพลเรือเอกดวงดาว เพียงสงสัยอย่างคราวจากรายละเอียดเล็กน้อยเช่นดวงตาหรือเครื่องแต่งกาย ดังนั้น การทักทายขณะสนทนาส่วนตัวจึงเป็นการหยั่งเชิง และบังเอิญว่าคำตอบออกมาถูกต้องไคลน์ไม่ตอบ เพียงเปลี่ยนประเด็นถาม“จะเริ่มออกเดินทางเมื่อไร”……………………
คอมเม้นต์