ราชันเร้นลับ 629 : นิกายกายาสวรรค์
ท่ามกลางลำแสงศักดิ์สิทธิ์ กองเลือดเนื้อและตุ้มต้นไม้อันปราศจากการค้ำจุนจากพลังภายนอก เริ่มสลายตัวไปอย่างรวดเร็วประหนึ่งหิมะถูกเผาด้วยลูกเหล็กร้อนสีแดงขณะที่เสียงอันยากอธิบายกำลังดังกังวาน ใบหน้าของซินเธียเริ่มบิดเบี้ยว เผยให้เห็นความเจ็บปวดชัดเจนเธอพยายามดิ้นรน สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสับสนและหวาดกลัว คล้ายกับเพิ่งตระหนักว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่ปรกติ“ท่านนายพล…” หญิงสาวกล่าวเสียงสั่น มองตรงด้วยสายตาสิ้นหวัง แต่ก็พบเพียงใบหน้าอันแปลกตาของคนที่ตนไม่รู้จักในความเป็นจริง ไคลน์สามารถใช้เศษเนื้อและวิญญาณซินเธียป้อนเป็นอาหารให้ยุบพองหิวโหยได้ทันที แต่ท้ายที่สุด ชายหนุ่มทำเพียงถอนหายใจยาว กล่าวอย่างสุขุม“ในอนาคต อย่าได้สัมผัสกับวัตถุประหลาดหรือไปเข้าศาสนานอกรีตอีก”ตามความคิดของไคลน์ ซินเธียคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวัตถุแปลกปลอม หรือไม่ก็เป็นสมาชิกของศาสนาอันตราย แต่ไม่ว่าจะทางใดก็ล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตัวตนที่ห้ามจ้องมอง’ ทั้งสิ้น เป็นเหตุผลว่าทำไมไคลน์ถึงพูดออกไปเช่นนั้นซินเธียเข้าใจในบางสิ่งทันที ด้วยร่างที่เหลือเพียงศีรษะกับเศษเลือด หญิงสาวกล่าวพร้อมกับระเบิดน้ำตา“ฮึก… มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย… นิกายกายาสวรรค์… ท่านนายพล ท่านนายพล! ฉันไม่อยากตาย ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากตาย… ช่วยด้วย…”มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย…นิกายกายาสวรรค์… ไม่เคยมีอยู่ในสารบบความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับของเรา…ขณะสติซินเธียกำลังกระเจิดกระเจิงและเอาแต่ร้องขอความช่วยเหลือ ไคลน์ไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงจ้องเธอด้วยสายตาเวทนาจากนั้น ชายหนุ่มอ้าแขนกว้าง กล่าวด้วยท่วงทำนองลุ่มลึก“ความตายมิใช่จุดจบ คุณจะถูกโอบกอดโดยเหล่าทวยเทพ”ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์สาดลงมาอีกระลอก ศีรษะและใบหน้าของซินเธียหยุดการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์ดวงตาของเธอเผยความหดหู่ในวาระสุดท้าย แต่ก็ยังเจือความหวังที่จะได้เข้าสู่ดินแดนของเหล่าทวยเทพหลังความตายภายใต้แสงอาทิตย์อันร้อนแรง อวัยวะสุดท้ายของหญิงสาวถูกแผดเผาด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า จนกระทั่งหายไปโดยสมบูรณ์ เป็นการชำระล้างที่ไม่เหลือร่องรอยไคลน์ยืนจ้องด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่แปรเปลี่ยนอากัปกิริยาเป็นเวลานานเมื่อทุกสิ่งจบลง ชายหนุ่มยกมุมปากเล็กน้อย เผยรอยยิ้มขื่นขม“เป็นโลกที่บ้าคลั่งและวุ่นวายอะไรเช่นนี้”ประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้ไคลน์ไม่กล้าสื่อวิญญาณโดยตรง ไม่แม้แต่จะนำซินเธียเข้ามิติหมอกเพื่อ ‘สอบสวน’ ด้วยเกรงว่าออร่าความชั่วร้ายและกัดกร่อนที่ยังหลงเหลือจะก่อปัญหา ไคลน์ทำได้เพียงชำระล้าง ให้ซินเธียได้พบกับสันติสุขครั้งสุดท้ายของชีวิต มันเชื่อว่าโลกนี้มีทวยเทพ และดินแดนหลังความตายมีจริงในส่วนของผลข้างเคียงจากยุบพองหิวโหย ชายหนุ่มไม่เป็นกังวลนัก หลังจากอยู่ร่วมกันมานาน ไคลน์เริ่มจับทางได้แล้วว่า สมบัติวิเศษที่สมควรเรียกว่าสมบัติผนึกชิ้นนี้ เริ่มผ่อนปรนให้ตนพอสมควร ไม่เคร่งครัดว่าต้องกินอาหารทันทีหลังจากใช้พลัง แต่จะขยายกรอบเวลาไปเป็นยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากนั้น และจะใช้พลังสักกี่ครั้งก็ได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว โดยไม่ต้องมีการกินชดเชยส่งผลให้ไคลน์มีเวลาในการหา ‘อาหาร’ อย่างเหลือเฟือ โดยไม่ต้องทำร้ายคนบริสุทธิ์หรือต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน เราก็แค่โยนมันเข้ามิติหมอก…ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าเหล่าบอดี้การ์ดของนายพล บุรุษรับใช้ และสาวใช้ ล้วนหลุดพ้นจากอำนาจของแรงกระหายอย่างสมบูรณ์แล้ว เพียงหมดสติหลับไปถ้วนหน้า รวมถึงสาวใช้ที่บีบคอเพื่อนร่วมงานและอยากได้คำชมเชยด้านนอก กับลัวอาน เลขานุการผมทอง“คิดไว้ไม่มีผิด เมื่อขจัดต้นตอได้ ปัญหาทั้งหมดก็จบลง จากข้อมูลของนายพลอมิรุส ลัวอานอยู่ในลำดับ 6 เป็นอย่างน้อย โดยคาดว่าน่าจะเป็น ‘บารอนแห่งการเน่าเปื่อย’ แต่บางที เขาอาจแอบเลื่อนเป็นลำดับ 5 โดยไม่แจ้งกองทัพ… ลัวอานถูก ‘ขยาย’ แรงกระหายเหมือนกับคนอื่นในคฤหาสน์ แปลว่าพลังของซินเธียในร่างสัตว์ประหลาดต้องมีระดับสูงมาก แต่ทำไมในกรณีของเราถึงเป็นแค่ภาวะ ‘ฝันเปียก’ ธรรมดา หากไม่นับสมบัติวิเศษ เราและลัวอานควรจะมีระดับตัวตนเท่ากัน หรืออีกฝ่ายอาจสูงกว่า เพราะพลังกีดขวางของมิติหมอก? เพราะกฎจากพันธสัญญาที่อมิรุสตั้งขึ้น? หรือเพราะทั้งคู่ช่วยส่งเสริม? ไม่ผิดแน่ หากไม่มีสิ่งเหล่านั้น ตัวเราที่เป็นเป้าหมายหลักในการกระตุ้นของซินเธีย คงถูกขยายแรงกระหายออกมาถึงขีดสุด ไม่จบลงแค่ฝันเปียกแน่นอน”ไคลน์ยกมือขวาขึ้นมาลูบหน้า เปลี่ยนกลับไปเป็นอมิรุส·รีเวลต์เนื่องจากทุกคนในคฤหาสน์รอดพ้นจากวิกฤติแน่นอนแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่รีบร้อนปลุกให้ตื่น เพียงเดินสำรวจรอบห้องนอนใหญ่อย่างระมัดระวัง จนกระทั่งสัมผัสวิญญาณถูกกระตุ้นเดินหนึ่งก้าว ไคลน์เข้าใกล้จุดเดิมที่ซินเธียถูกแสงชำระล้าง ก้มลงหยิบสร้อยคอจากกองเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงเป็นจี้ห้อยคอที่ยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้ว เชื่อมติดกับสร้อย ผิวสีดำด้าน ลักษณะทางกายภาพคล้ายนอแรด มีรอยแตกร้าวหลายจุด นอกจากกลิ่นอายความชั่วร้ายเจือจาง ไคลน์ไม่พบพลังวิญญาณด้านใน“นี่คือวัตถุอันตรายที่ทำให้ซินเธียกลายเป็นสัตว์ประหลาด? มันเชื่อมต่อกับตัวตนภายนอก และถ่ายพลังของอีกฝ่ายเข้ามาในร่างซินเธีย?”ไคลน์คาดเดาเบื้องต้นจากสถานการณ์และประสบการณ์ส่วนตัวมันตรวจสอบสักพัก เมื่อไม่พบสิ่งใดจึงหยิบกระดาษคนตัวแทนออกมาสะบัด ลบร่องรอยและฉากเหตุการณ์ตกค้าง จากนั้นก็เผาทิ้งถัดมา ไคลน์เดินไปทางเลขาลัวอาน ผู้ถูกดอกไม้เขมือบไปพักใหญ่และยังหลงเหลือร่องรอยการถูกกัดกร่อน ก่อนจะงอเข่า ใช้ปลายเท้าเตะเพื่อปลุกตามนิสัยของอมิรุส เขาคงไม่โน้มตัวลงไปปลุกเลขาที่นอนหมดสติแน่… จะว่าไป… สีหน้าโอหังของหมอนี่ ดูแล้วก็น่าหมั่นไส้เอาเรื่องเหมือนกัน อยากจะลองหวดเต็มแรงดูสักที…ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไคลน์หยุดเท้า พลางยืนจ้องลัวอาน ผู้กำลังฟื้นคืนสติกลับมาทีละนิด“ท่านนายพล…” ลัวอานเผยสีหน้าสับสนอยู่พักหนึ่ง คล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันหรือความจริงในฐานะผู้บังคับบัญชา เราไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายเรื่องราว…ไคลน์เพียงก้มหน้าจ้อง กล่าวเสียงแผ่ว“ไปปลุกคนอื่นขึ้นมา แบ่งกำลังคนส่วนหนึ่งไปช่วยปลุกคนอื่น และให้ส่วนที่เหลือออกไปสืบสวนหาเบาะแสของนิกายกายาสวรรค์บนเกาะโอลาวีเป็นการเร่งด่วน พวกมันนับถือเทพมารนามมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย อา… เริ่มจากจนใกล้ตัวซินเธียก่อน ผมจะรอรายงานที่ห้องอ่านหนังสือ”เมื่อกล่าวจบ ชายหนุ่มเดินถือจี้รูปนอแรดออกจากห้องนอนใหญ่ กลับไปยังห้องอ่านหนังสือซึ่งไม่ได้รับผลกระทบใดเลยถึงอมิรุสจะกำลังเผชิญแรงกดดันจากคนใหญ่คนโตของรัฐบาล เช่นการปลดน้องชายออกจากเทศมนตรีโดยไม่แจ้งให้ทราบ และยังหยามหน้าด้วยการส่งนายกเทศมนตรีคนใหม่มาในวันเดียวกันทันทีแต่ในฐานะนายพลแห่งกองทัพเรือซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองเรือโซเนียกลาง อมิรุส·รีเวลต์ยังคงมีอำนาจเต็มบนเกาะโอลาวี มีสิทธิ์ออกคำสั่งกับลัวอาน กรมตำรวจ และฐานทัพเรือ จึงไม่จำเป็นต้องออกไปสืบสวนด้วยตัวเองหน้าที่ของครึ่งเทพมีเพียง คอยระวังอันตรายที่คาดไม่ถึง และรอฟังรายงานจากลูกน้อง!ภายในห้องอ่านหนังสือ ไคลน์นั่งฟังเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนโหวกเหวกจากด้านนอก รวมถึงเสียงการสนทนาและสอบปากคำมันกำลังใคร่ครวญฉากดวงดาวมายาส่องสว่างที่ปรากฏขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง“ฉากนั้นหมายถึงอะไร…” ไคลน์ขมวดคิ้ว เอนหลังพิงกับเก้าอี้หน้าโต๊ะอ่านหนังสือ ร่างกายถูกความมืดจากม่านที่ถูกขึงมิดชิดบดบังเพียงไม่นาน มันเริ่มผุดสมมติฐาน อ้างอิงจากตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์และคำนิยามของผีดูดเลือดจากปากเอ็มลิน·ไวท์ ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่าเส้นทาง ‘จันทรา’ มีหนึ่งในลักษณะเฉพาะตัวเป็นการ ‘สืบพันธุ์’ ซึ่งค่อนข้างสอดคล้องกับความปรารถนาและพฤติกรรมของซินเธีย“ดวงดาวส่องแสง… มิสเตอร์ประตูเคยกล่าวกับโรซายล์มหาราชว่า หากให้จับคู่เทพธิดารัตติกาลกับไพ่ทาโรต์ มันจะเลือก ‘เดอะสตาร์’ มิใช่ ‘เดอะมูน’ หรือว่า… ผืนนภามายาตอนนั้นจะหมายถึงพระองค์? หืม… ‘ดวงจันทร์บรรพกาล’ ถูกสงสัยว่าจะเป็นเทพสักตนสวมรอย หรือไม่ก็เทวทูตและปีศาจลำดับสูง… เทพธิดารัตติกาลยังมีอีกหนึ่งสมญานามคือ ‘จันทราสีชาด’ บางที พระองค์อาจกำลังสวมรอยเป็นดวงจันทร์บรรพกาลเนื่องจากมีอำนาจในขอบเขตดังกล่าว ซึ่งครอบครองด้วยเหตุผลบางประการ…”แม้ไคลน์จะทราบว่า ความคิดเช่นนี้ถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นเทพ แต่จากข้อมูลแวดล้อม มันก็อดสงสัยในตัวเทพธิดาไม่ได้อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีดังกล่าวถูกปัดตกในเวลาไม่นาน เพราะไม่ว่าจะเป็นแวมไพร์ต้นตระกูลอย่างลิลิธ หรือดวงจันทร์บรรพกาล พลังในขอบเขตทั้งสองมีเพียง ‘สืบพันธุ์’ ไม่เกี่ยวข้องกับความอยากอาหาร เย่อหยิ่งจองหอง และต้องการได้รับคำชม ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ อีกทั้ง พระนามเต็มอื่นของเทพธิดารัตติกาลก็ยังไม่อยู่ในขอบเขตดังกล่าว“จะว่าไป คุณสมบัติดังกล่าวฟังดูคล้ายคลึงกับ ‘ผู้ปลดปล่อยแรงกระหาย’ แห่งเส้นทางปีศาจมากทีเดียว… แต่ยังขาดอำนาจด้านสืบพันธุ์… หรือปีศาจระดับสูงสักตนจะกำลังสวมรอยเป็นดวงจันทร์บรรพกาล? หรือจะเป็นราชาปีศาจ ผู้ถูกเรียกขานว่า ‘ด้านมืดเอกภพ’ ลำดับ 0 แห่งเส้นทางนรก? ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ปัญหาคือ ไม่ว่าจะเส้นทาง ‘จันทรา’ หรือ ‘นรก’ ก็ล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวข้องกับ ‘ดวงดาว’ จึงไม่ควรปรากฏตัวในเชิงสัญลักษณ์เป็นภาพของดวงดาวมายาจรัสแสง…”ยิ่งไคลน์ครุ่นคิด คำถามก็ยิ่งเกิดระหว่างนั้น มันผุดแนวคิดใหม่เป็นหนึ่งในความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับที่มันเคยฟังผ่าน ๆ มาตลอด แต่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ และไม่มีโอกาสได้ศึกษาเพิ่มเติมโลกดารา!หากตัดองค์กรลับบางกลุ่ม เช่นโรงเรียนชีวิต ที่เชื่อใน ‘โลกแห่งเหตุและผลสัมบูรณ์’ ออกไป ตามหลักสากลของศาสตร์เร้นลับ โลกที่สมบูรณ์แบบจะต้องประกอบด้วย โลกความจริง โลกวิญญาณ และโลกดาราสำหรับโลกความจริง คำนี้คงไม่ต้องอธิบายให้เปลืองน้ำลาย ในส่วนของโลกวิญญาณ พลังพิเศษและพิธีกรรมส่วนใหญ่ล้วนอ้างอิงจากโลกแห่งนี้ แต่ในกรณีของโลกดารา ความรู้ของไคลน์แทบเป็นศูนย์“หมายความว่า ภาพดวงดาวมายาหมายถึงโลกดารา? และดวงดาวเจิดจรัสหมายถึงดินแดนดาราที่ใดสักแห่ง? เราเคยคิดมาตลอดเวลา โลกดาราคงเป็นดินแดนที่เหล่าเทพแท้จริงกำลังอาศัยอยู่ในปัจจุบัน… แต่บางที สัญลักษณ์ดังกล่าวอาจหมายถึงดวงจันทร์บรรพกาลก็เป็นได้ หากพยายามคิดให้เข้าข้างสักหน่อย…”ไคลน์ไม่มัวปวดหัวกับเรื่องที่ตนไม่มีทางข้อสรุปได้ในปัจจุบัน ขณะรอให้รายงานถูกส่งมาถึง มันย้อนกลับไปไตร่ตรองว่า ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา มีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง และมีรายละเอียดใดตกหล่นไปจากความทรงจำบ้างไหมจากวินาทีเป็นนาที ในที่สุด ไคลน์ได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังเข้ามาใกล้เลขานุการผมทอง ลัวอาน เคาะประตูและเดินเข้ามาหลังจากได้รับอนุญาตมันโค้งศีรษะอย่างเคารพ รายงานอย่างสุขุม“ท่านนายพล พวกเราพบนิกายกายาสวรรค์ตามที่ท่านต้องการ และควบคุมตัวผู้นำมาแล้ว เป็นเบาะแสจากพ่อและแม่มาดามซินเธีย นิกายดังกล่าวเพิ่งจะมีบทบาทบนเกาะในช่วงสองสามปีหลัง พวกมันไม่สวมเสื้อผ้า อ้างว่าเพื่อให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด และเชื่อว่าจิตวิญญาณมนุษย์จะได้รับการปลดปล่อยมากที่สุดในสภาพดังกล่าว ทายาทคือผลพลอยได้จากสวรรค์”ลัวอานเว้นวรรค ก่อนจะเสริม“ผู้นำของพวกมันเป็นผู้วิเศษ ลำดับ 8 คนบ้า”คนบ้า? หมายถึงคนบ้าจากเส้นทางนักโทษ?เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับโรงเรียนกุหลาบ?จริงสิ… ชารอนกับมาริคเคยเล่าว่า โรงเรียนกุหลาบจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งที่ ‘ควบคุม’ แรงปรารถนา และฝั่งที่ ‘ปลดปล่อย’ มันออกมาตามใจต้องการ เมื่อลองคิดดูให้ดี ฝ่ายหลังค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์…ไคลน์ค่อนข้างผิดคาด แต่ภายนอก มันหันไปกล่าวกับลัวอานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“พาตัวมาที่นี่”……………………
คอมเม้นต์