ราชันเร้นลับ 612 : อยู่ในมือ
เสาโคมไฟแก๊สบนสองฝั่งสะพานกำลังสาดแสงเหลืองนวลไปโดยรอบ แต่ก็ยังมิอาจสลายความมืดมิดภายในโพรงมืดด้านล่าง มีเพียงแสงจันทร์แดงสลัวจากด้านบนเท่านั้นที่พอจะช่วยมอบแสงสลัว‘สภาแห่งชะตา’ ริคคาร์ดที่ซ่อนตัวอยู่ในโพรงใต้สะพาน มิได้ส่งเสียงใดกลับมาเป็นเวลานาน จนไคลน์อดคิดไม่ได้ว่า อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสจนขาดใจตายไปแล้ว และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ตนล้มเหลวในการพนันขณะไคลน์เตรียมซักถามเพื่อยืนยันให้แน่ชัด ริคคาร์ดกระแอมค่อยสองหน กล่าวด้วยเนื้อเสียงแหบพร่า“สมแล้วที่เป็นนักผจญภัยทรงพลังผู้สามารถผนึกลูกเต๋าได้ในระยะเวลาหนึ่ง สถานการณ์ค่อนข้างผิดไปจากความคาดหมายของผม แค่ก! ผมกำลังนึกสงสัยว่า เหตุใดพลังแห่งโชคถึงไม่ยอมทำงาน… ค่อนข้างน่าเสียดายที่ผมกำลังบาดเจ็บหนัก ไม่อย่างนั้นคงจะออกไปดูด้วยตาตนเอง ว่าสิ่งใดกันที่ผู้วิเศษเส้นทางอื่นยากจะมองเห็น แม้จะใช้เนตรวิญญาณระดับสูงตรวจสอบแล้วก็ตาม หึหึ… นี่คือลักษณะพิเศษที่มีเพียงผู้ครอบครอง ‘โชคชะตา’ เท่านั้นจึงจะมองเห็น”นายกำลังจะบอกว่า ปัญหาอยู่ที่ตัวฉัน? แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย สาระสำคัญอยู่ที่ พวกนายยังติดเงินอยู่เจ็ดร้อยปอนด์… ไม่สิ เจ็ดร้อยสามสิบ…ไคลน์บ่นอย่างหัวเสีย แต่ก็อดหวนนึกถึงเด็กชาย ‘อาเดมิทอร์’ ในตลาดมืดค้าของวิเศษประจำเมืองทิงเก็นไม่ได้ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อเด็กหนุ่มที่เกิดมาพร้อมลำดับ 9 ครึ่งจ้องไคลน์ด้วยตาเปล่า อาการแรกคือแหกปากร้องลั่น อาการที่สองคือเลือดออกจากดวงตา ลงไปนอนเกลือกกลิ้งชักดิ้นชักงอบนพื้นเป็นเพราะเด็กคนนั้นมีลักษณะพิเศษของเส้นทางโชคชะตา จึงมองเห็นที่เกี่ยวกับสายหมอกในตัวเรา? น่าเสียดาย สภาแห่งชะตาคนนี้กำลังพักรักษาตัว ทำได้เพียงแผ่ออร่าความโชคร้ายออกมาโดยรอบ ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องดังกล่าวให้กับเราได้… คงต้องกลับไปถามอสรพิษปรอท วิล·อัสติน รายนั้นอาจมีข้อมูลในเชิงลึก… แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโชคชะตา เขาอาจไม่ยอมบอกเราตามตรง มีโอกาสที่จะอธิบายแบบคลุมเครือเหมือนกับพวกนักต้มตุ๋น…ไคลน์ครุ่นคิดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า“แล้วคุณจะทำยังไงต่อ”ริคคาร์ดถอนหายใจ“ช่วยตามดัควีลล์มาที ผมจะทำการอวยพรโชคแก่เขา ให้ไปพนันแทนคุณ”จากชื่อโรงแรมที่ริคคาร์ดมอบให้ ไคลน์ตามหาตัวดัควีลล์ได้ไม่ยาก จากนั้นก็พานักปรุงยาอ้วนเดินไปยังบ่อนพนันพร้อมกับกระเป๋าเดินทางและไม้ค้ำการพนันเกมแล้วเกมเล่าผ่านไป จนกระทั่งเปลี่ยนบ่อนสี่ครั้ง ดัควีลล์สามารถทำเงินครบเจ็ดร้อยห้าสิบปอนด์ได้ตั้งแต่ในช่วงเช้าหลังจากรับเงินสดจำนวนเจ็ดร้อยสามสิบปอนด์มาถือ ชายหนุ่มเริ่มพบต้นตอของปัญหาเป็นไปตามคำกล่าวของริคคาร์ด ตนมิได้แพ้พนันเพราะพลังของอีกฝ่ายอ่อนแอ ปัญหาอยู่ที่ความไม่ปรกติของตัวเอง!แล้วเป็นเพราะอะไรกัน…ไคลน์ครุ่นคิดพลางจับกระเป๋าสตางค์ที่บวมพองขึ้นจากตอนแรก ปากพึมพำจากนั้น มันฉุกคิดถึงสายหมอกล่องหนรอบตัว และเริ่มเข้าใจถึงสาเหตุอย่างรวดเร็วหลังจากกลายเป็นผู้ไร้หน้า หมอกเทาเริ่มมีบทบาทกับโลกความจริงมากขึ้น ไม่เพียงจะช่วยสกัดกั้นมลทินน่ารังเกียจในบางเรื่องโดยอัตโนมัติ แต่ยังกีดขวางการบิดเบือนโชคชะตาจากผู้อื่นได้ประมาณหนึ่ง ส่งผลให้สภาแห่งชะตาอวยพรโชคไม่สำเร็จตามตรรกะดังกล่าว โชคร้ายก็จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเราเช่นกัน…ตลกร้ายชะมัด… เราไม่มีทางเป็นคนดวงซวยบัดซบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีวันได้เป็นคนดวงดีถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง…ไคลน์ส่ายหน้าแผ่วเบา เดินตามดัควีลล์และนกฮูกแฮร์รี่กลับไปยังสะพานหิน แจ้งวิธีอัญเชิญผู้ส่งสารของตนให้ริคคาร์ดทราบ กำชับว่าหากอีกฝ่ายพบสมบัติวิเศษเกี่ยวกับการโจมตีเมื่อใด ให้รีบส่งข่าวมาทันทีเมื่อเรื่องราวอันวุ่นวายจบลง ไคลน์เช็กอินเปิดห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองท่าโอลาวี…กรุงเบ็คลันด์ ช่วงเช้าท่ามกลางหมอกหนาที่ไม่มากเท่าเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมเมื่อปีก่อน เอ็มลินเดินเตร็ดเตร่ภายใต้ท้องฟ้าสลัวที่มันชื่นชอบจนมาถึงหน้าบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์สั่นกริ่งบ้านเสร็จ ผีดูดเลือดหนุ่มยืนรอด้วยมาดสง่างาม แผ่นหลังตั้งตรง ปลายคางเชิดขึ้นเลียวนาร์ดเปิดประตูบ้าน สำรวจใบหน้าอันหล่อเหลาแต่โอหังเสียเต็มประดาสักพัก ก่อนจะส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้าไปข้างในมันยังคงสวมเชิ้ตขาวและกางเกงขายาวสีดำคล้ายเมื่อวาน แต่คราวนี้สวมเสื้อกั๊กสีเข้มซึ่งไม่ติดกระดุมทับไว้“ข้อสรุปของคุณคือ?” เลียวนาร์ดยิ้มถาม“ไม่มีปัญหา”เนื่องจากไม่ใช่เงินของตัวเอง เอ็มลิน·ไวท์ไม่คิดจะต่อรองแม้แต่หนึ่งเพนนีส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันกังวลว่า จากท่าทีของอีกฝ่ายในคราวก่อน การต่อรองอาจให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม ราคาสมบัติวิเศษอาจสูงขึ้นกว่าเดิมเนื่องจากอีกฝ่ายเกิดความหงุดหงิดรำคาญเลียวนาร์ดพยักหน้ารับ อมยิ้มเล็กน้อย“ร่ำรวยทีเดียว”ชมเชยตามมารยาทสินะ…เอ็มลินรำพัน เปิดปากโต้ตอบ“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ”กล่าวจบ มันเปิดกระเป๋าเดินทางที่มีธนบัตรเงินสดจำนวนเจ็ดพันปอนด์อัดแน่นเลียวนาร์ดหยิบปึกแล้วปึกเล่าออกมาตรวจสอบอย่างใจเย็น ขั้นตอนนี้ใช้เวลาสักพักเมื่อพึงพอใจ มันถอดถุงมือสีแดงข้างซ้ายออก และยื่นส่งมาทางเอ็มลินพร้อมกับอธิบาย“นี่คือสมบัติวิเศษที่คุณต้องการ มันสามารถเปลี่ยนสีเพื่ออำพรางได้อย่างอิสระ”“สิ่งนี้ชื่อว่า ‘อินธน์’ (เชื้อไฟ) มีสรรพคุณในการเพิ่มเสน่ห์ของผู้สวม เปลี่ยนให้คำพูดน่าเชื่อถือขึ้นเล็กน้อย นอกจากนั้นยังมีความสามารถในการขโมยพลังพิเศษของเป้าหมายภายในระยะห้าสิบเมตร ยิ่งมีข้อมูลและรู้จักกับเป้าหมายมากเพียงใด โอกาสขโมยพลังที่ต้องการก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน หากไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลย พลังที่ได้รับก็ยิ่งเป็นแบบสุ่ม ขึ้นอยู่กับดวง หากเป้าหมายมีลำดับสูงกว่า 6 โอกาสสำเร็จจะไม่ใช่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งลำดับสูงมากเท่าไร โอกาสล้มเหลวก็ยิ่งมากตาม หากขโมยสำเร็จ เป้าหมายจะสูญเสียพลังดังกล่าวทันที และต้องอยู่ห่างจากอินธน์อย่างน้อยสิบสองชั่วโมงเพื่อให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง โดยทางฝั่งผู้สวมอินธน์จะใช้พลังดังกล่าวได้อย่างอิสระเป็นเวลาสิบนาที เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่ำ ราคาของมันจึงสูงกว่าสมบัติวิเศษในระดับเดียวกัน”หลังจากนั่งฟังอย่างเงียบงัน เอ็มลินเริ่มให้ความสนใจกับพลังของอินธน์ จึงซักถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น“ผลข้างเคียงคืออะไร”เลียวนาร์ดใช้มือสางผม ฉีกยิ้มและตอบ“ข้อแรก มีโอกาสสูงที่ผู้สวมอินธน์จะทำสิ่งของติดตัวสูญหายหนึ่งชิ้น ข้อสอง พลังพิเศษหนึ่งชนิดของผู้สวมจะสูญหายเป็นเวลาสิบสองชั่วโมง แต่ก็แค่หนึ่งชนิด ไม่มากไปกว่านั้น หมายความว่าภายในช่วงเวลาดังกล่าว คุณจะขโมยพลังคนอื่นอีกกี่ครั้งก็ได้”“แฮ่ม เทียบกับสมบัติวิเศษที่ผมรู้จัก ผลข้างเคียงนับว่าค่อนข้างต่ำ” เอ็มลินกระแอมล้างคอพลางพยักหน้ารับผีดูดเลือดหนุ่มหยิบถุงมืออินธน์ขึ้นมาตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง เมื่อยืนยันจนแน่ใจ มันบรรจงหยิบปึกธนบัตรในกระเป๋าออกมาวางบนโต๊ะทีละกองจากนั้น เอ็มลินเก็บถุงมือสีแดงเข้าไปในกระเป๋าเดินทาง จะได้ไม่ถือเป็นการพกพาหรือสวมใส่โดยตรงเฉกเช่นคราวก่อน ผีดูดเลือดหนุ่มเดินทางกลับวิหารฤดูเก็บเกี่ยวพร้อมกับกระเป๋าหนึ่งใบ จากนั้นก็ตรงเข้าไปยังห้องพักของนักบวช ประกอบพิธีกรรมสังเวยถึงใครบางคนประตูเวทมนตร์มายาเริ่มเปิดออก ถุงมือสีแดงเตรียมถูกส่งผ่านห้วงมิติสายหมอกสีดำสนิททันใดนั้น ณ ผิวของถุงมือในจุดที่สัมผัสกับหมอกสีเทา ใบหน้ามายาเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับแสดงอาการเจ็บปวดมันดิ้นทุรนทุรายพลางระเหิดตัวเองทีละนิดได้เห็นฉากดังกล่าว ไคลน์มิได้แสดงท่าทีตื่นตระหนัก เพราะในเมื่อคุณปู่ของเลียวนาร์ดคือเทวทูตบนเส้นทาง ‘นักจารกรรม’ สิ่งที่อามุนด์สามารถทำได้ โซโรอาสเตอร์ก็อาจทำได้เช่นกันสำหรับเรื่องนี้ ไคลน์เตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ และเชื่อว่า ต่อให้อีกฝ่ายอยู่ในระดับเดียวกับอามุนด์ แต่ตนก็จะจำกัดสิ่งแปลกปลอมได้โดยไม่ทำให้ข้อมูลมิติหมอกรั่วไหล จึงไม่มีความจำเป็นต้องแจ้งให้เอ็มลินทราบล่วงหน้าไคลน์หยิบคทาเทพสมุทรที่วางเตรียมพร้อมไว้ตรงหน้า ถ่ายพลังวิญญาณจน ‘อัญมณี’ ตรงส่วนหัวส่องแสงสีน้ำเงินงดงามโดยทันทีทันใด แสงสีเงินสว่างเจิดจ้าไปทั่วห้วงมิติเหนือสายหมอกเทา พายุสายฟ้าก่อตัวขึ้นด้านบนอย่างน่าเกรงขาม กระหน่ำผ่าใส่ใบหน้าขนาดเล็กที่กำลังระเหิดหายใบหน้าลึกลับสลายไปในพริบตาโดยไม่มีโอกาสได้ส่งเสียงกรีดร้อง เหลือทิ้งไว้เพียงหนอนแมลงโปร่งแสงไร้ชีวิต รอบตัวหนอนมีวงแหวนมายาที่ถูกแบ่งเป็นสิบสองส่วนหมอนกาลเวลา… แต่อ่อนแอกว่าของอามุนด์..ไคลน์กระซิบ โบกมือเล็กน้อย สั่งให้ทั้งถุงมือสีแดงและหนอนลอยมาตกตรงหน้าพร้อมกันหลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด ชายหนุ่มมั่นใจว่าแมลงดังกล่าวมีลักษณะเหมือนกับหนอนกาลเวลาที่อามุนด์ทิ้งไว้“หืม… คุณปู่โซโรอาสเตอร์ในตัวสหายนักกวีเป็นถึงลำดับ 1 เทียบเท่าอามุนด์เลยหรือ… ไม่สิ ไม่จริงเสมอไป นี่อาจเป็นลักษณะเด่นของลำดับต่ำกว่านั้นลงมา แต่ถ้าคุณปู่เป็นลำดับ 1 จริง หมายความว่าอามุนด์ผู้เป็นบุตรแห่งพระผู้สร้างและได้รับฉายา ‘ราชาเทวทูต’ ต้องมีบางสิ่งที่พิเศษกว่าปู่… หรืออามุนด์จะหลอมรวมเข้ากับ ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางได้แล้ว? หรือได้ครอบครองความพิเศษอย่างอื่นบนเส้นทาง?”ไคลน์ผุดสมมติฐานที่ยังมิอาจหาข้อพิสูจน์ส่วนเรื่องที่ว่า หนอนกาลเวลาสามารถนำไปใช้ทำสิ่งใดได้บ้าง และพลังวิญญาณจะสลายไปตอนไหน ไคลน์ที่ปราศจากข้อมูลย่อมไม่ทราบ…กรุงเบ็คลันด์ บ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์เลียวนาร์ด·มิเชลกำลังนั่งเอนหลังพิงโซฟา ดวงตาปิดสนิท ปลายเท้าวางพาดบนโต๊ะกาแฟ อากัปกิริยาคล้ายกำลังนอนกลางวันเพื่อชดเชยความร่าเริงในยามกลางคืนผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งมันลืมตาขึ้นและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว“สรุปว่ายังไง ระบุตัวคนซื้ออินธน์ได้หรือยัง”เสียงชราดังขึ้นในใจ“ออร่าที่ข้าทิ้งไว้ถูกขจัดโดยสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือแม้แค่เศษเสี้ยว”“แล้วพบอะไรบ้างไหม”เลียวนาร์ดหดขากลับ ซักถามเสียงเบาชายชราถอนหายใจ“ไม่เลย ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ทุกอย่างก็จบลง หากอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด บางทีคงพอจะสืบจนพบเบาะแสได้บ้าง แต่น่าเสียดาย ตัวข้าอ่อนแอมานานหลายปี”เลียวนาร์ดเงียบงันราวสิบวิ ส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าว“คงต้องเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น”…เหนือมิติสายหมอก ไคลน์ฟังคำสวดวิงวอนจากเอ็มลิน จดบันทึกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสมบัติวิเศษชิ้นใหม่ พลางก้มหน้าตรวจสอบถุงมือสีแดงที่มีชื่อว่า ‘อินธน์’“หึหึ… หมายความว่า ตอนนี้เรามีถุงมือสำหรับสวมข้างขวาแล้ว”หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ไคลน์ตัดสินใจยังไม่ช่วงชิงจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วนในทันทีเพื่อความไม่ประมาท ชายหนุ่มวางแผนทำเรื่องดังกล่าวตอนที่คิดจะปรุงโอสถนักเชิดหุ่น เพราะจากเอกสารของเมืองเงินพิสุทธิ์ การช่วงชิงพลังสามารถทำได้ตามปรกติโดยไม่ต้องพึ่งพามิติสายหมอก ขอเพียงกะจังหวะและเวลาอย่างเหมาะสม ไม่สนว่าวัตถุเป้าหมายจะถูกกัดกร่อนโดยจิตชั่วร้ายของพระผู้สร้างแท้จริงโดยตรงแต่ถ้ายิ่งมีมิติหมอก อันตรายก็แทบเป็นศูนย์เราสามารถใช้อินธน์ได้ตามปรกติ แต่ก่อนใช้งานต้องเก็บสิ่งสำคัญไว้บนมิติหมอก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรสูญหาย… หึหึ ในความเป็นจริง ตัวเราที่เป็นนักทำนายแทบไม่ต้องกังวลเรื่องของหายเลยสักนิด แค่ทำนายหาก็พบแล้ว…ในการต่อสู้ปรกติ ด้วยมือซ้ายที่สวมยุบพองหิวโหยและมือขวาที่สวมอินธน์ แค่จินตนาการก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก…ไคลน์นั่งตรึกตรอง และพบว่าตนมีวัตถุสำหรับปรุงโอสถลำดับ 5 นักเชิดหุ่นพร้อมสรรพ ขาดเพียงวัตถุดิบเสริมอีกสองชนิดชายหนุ่มส่ายหน้า พึมพำกับตัวเองเหลือแค่รอให้โอสถถูกย่อยอย่างสมบูรณ์!จากนั้นก็ขึ้นเรือของพลเรือโทดวงดาวหรือไม่ก็เรือของแฮงแมน มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของทะเลโซเนียเพื่อตามหานางเงือก!……………………
คอมเม้นต์