ราชันเร้นลับ 591 : ใช้ประโยชน์จากสิ่งของ
เกี่ยวกับนกกระเรียนกระดาษ ไคลน์ยังคงจดจำรายละเอียดได้แม่นยำ เนื่องจากครั้งหนึ่งในอดีต อสรพิษปรอทเคยอาศัยสิ่งนี้ระบุตำแหน่งวิญญาณดาราของศัลยแพทย์อลัน และเมื่ออลันล่องลอยไปในโลกวิญญาณขณะนอนหลับฝัน อสรพิษปรอททำการฉีด ‘ฝันเทียม’ เข้าไปจนอีกฝ่ายฝันร้ายในเรื่องที่ตนต้องการจากนั้น ไคลน์สับเปลี่ยนนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินด้วยของปลอมที่ตัวเองพับ และเอานกกระดาษต้นตำรับมาทำนายหาเบาะแสบนห้วงมิติเหนือสายหมอก แต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากนักจนกระทั่งภรรยาของนายแพทย์อลันตั้งครรภ์ ไคลน์จึงเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับวัฏจักรของลำดับ 1 และลำดับ 0 ของเส้นทางสัตว์ประหลาด โดยวัฏจักรจะเริ่มต้นใหม่เมื่ออสรพิษกินหางตัวเองชายหนุ่มยังคาดเดาอีกว่า อสรพิษปรอททั้งสามกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งลำดับ 0 โดยฝันร้ายเทียมที่วิล·อัสตินสร้างแก่นายแพทย์อลันเป็นแค่ประเด็นรอง จุดประสงค์หลักคือการระบุพิกัดและเข้าไปเกิดใหม่ในครรภ์ของภรรยาอลันระหว่างเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องน่าขันก็คือ นกกระดาษที่ไคลน์พับขึ้นเอง ถูกเหยี่ยวราตรีกรุงเบ็คลันด์เข้าใจผิดว่าเป็นของจริง และสับเปลี่ยนด้วยนกกระดาษที่พับได้ห่วยยิ่งกว่าของไคลน์ส่วนนกกระดาษของวิล… เราเก็บไว้ในมิติหมอกจนเกือบลืมไปแล้ว… การใช้มันเป็นสื่อกลางเพื่อทำนายคงไม่เกิดประโยชน์มากนัก ระดับตัวตนของอีกฝ่ายสูงเกินไป ผลลัพธ์การทำนายคงออกมาคลุมเครือจนคล้ายกับล้มเหลว ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ทารกในครรภ์ภรรยาศัลยแพทย์อลันคือวิล·อัสตินตัวจริงหรือไม่…แต่ในทางกลับกัน วิล·อัสตินสามารถใช้นกกระดาษระบุพิกัดปัจจุบันของเราได้… เหมือนที่เคยทำกับอลันในอดีต และเหมือนกับที่อาโรเดสใช้ออร่าสายหมอกระบุตำแหน่งเรา จากนั้นก็ติดต่อกับเครื่องรับโทรเลขผ่านโลกวิญญาณ…จริงสิ… ยังมีวิธีนั้นอยู่!ไคลน์เหยียดหลังตั้งตรง สมองผุดแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจมันวางแผนจะใช้นกกระดาษตัวนี้ เป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับวิล·อัสตินผ่านความฝัน!จริงอยู่ การติดต่อกับอสรพิษปรอท อาจยังไม่เกิดประโยชน์อันใดกับตัวเราในปัจจุบัน อีกทั้งยังถือเป็นการเสี่ยงอันตราย… แต่ถ้าวิล·อัสตินเป็นอสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง เรามั่นใจมาก ว่าการแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ในวันนี้ จะทำให้อีกฝ่ายตระหนักถึงบุญคุณ และตอบแทนกลับคืนมาหลายเท่าในอนาคต…ในเมื่อวิล·อัสตินคือตัวตนระดับเดียวกับราชาเทวทูต การลงทุนหว่านเมล็ดพันธุ์ล่วงหน้าเพื่อรอเก็บเกี่ยวคือสิ่งจำเป็น ไว้อสรพิษปรอทคลอดจากครรภ์มารดาเมื่อไร เราคงได้รับการช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง… เหนือสิ่งอื่นใด การเสี่ยงติดต่อในคราวนี้ก็ไม่ทำให้เราถึงตาย… หรือถ้าเกิดถึงตาย ก็น่าจะยังคืนชีพกลับมาได้…ไคลน์ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ถึงขั้นกลับขึ้นห้วงมิติเหนือหมอกเทาเพื่อทำนายยืนยันว่า การเสี่ยงติดต่อกับวิล·อัสตินมีอันตรายหรือไม่ จึงค่อยวางแผนตามผลลัพธ์ดังกล่าวหลังจากจัดการตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มยืนยันว่าระดับอันตรายอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ จึงรีบประกอบพิธีกรรมเพื่อนำนกกระดาษออกจากห้วงมิติเหนือสายหมอกบางที อาจเพราะว่ามันคือนกกระดาษที่พับโดยลำดับ 1 อสรพิษปรอท จึงไม่ถูกออร่าของมิติปนเปื้อนเหมือนกับวัตถุชนิดอื่น ยังคงเป็นเพียงนกกระดาษแสนธรรมดาหวังว่าออร่าของมิติหมอก จะไม่สลายความพิเศษของมันไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นวิล·อัสตินคงระบุตำแหน่งเราไม่ได้… หืม… ถ้าจำไม่ผิด ลำดับก่อนหน้าอสรพิษปรอทมีชื่อว่า ‘นักพยากรณ์’ หรือวิล·อัสตินมองเห็นอนาคตในวันนี้ล่วงหน้า?หรือที่เขาเลือกอลันเป็นบิดา เพราะอลันเป็นเพื่อนกับเรา จะได้ติดต่อเราสะดวก?เราคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปไหม…ไม่เลย… ประเด็นนี้มีน้ำหนักพอให้วิเคราะห์! เมื่อพิจารณาจากการกระทำของวิล·อัสติน มีบางจุดไม่สมเหตุสมผล เช่น ในเมื่อระบุตำแหน่งของศัลยแพทย์อลันได้แล้ว ก็น่าจะเข้าไปเกิดในครรภ์มารดาได้เลยไม่ใช่หรือ ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างฝันร้ายเลยสักนิด และเนื้อหาของฝันร้ายก็ยังค่อนข้างซับซ้อน เป็นการบอกใบ้ว่าอสรพิษปรอทสองตนกำลังต่อสู้กัน ไม่มีทางที่คนธรรมดาอย่างอลันจะเข้าใจความนัยแฝง และไม่มีทางมอบความช่วยเหลือใดได้ ไม่ต่างอะไรกับการโยนแว่นขยายให้คนตาบอด…หมายความว่า ฝันร้ายของวิล·อัสติน มีเจตนาเพื่อแจ้งข่าวกับเราตั้งแต่แรก?ไคลน์ขมวดคิ้วชนกัน ในหัวกำลังผุดสมมติฐานมากมายจนกระทั่ง ชายหนุ่มสลัดความคาใจ หยิบปากกาหมึกซึมขึ้นมาใส่หมึก ครุ่นคิดหาข้อความที่จะเขียนลงบนนกกระเรียนกระดาษ เพื่อดึงดูดความสนใจของอสรพิษปรอทเขียนว่าอะไรดี…ไคลน์พิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากข้อมูลที่อาโรเดสมอบให้ จนกระทั่งนึกออกหนึ่งประโยคที่สั้นกระชับ และสามารถสรุปทุกสิ่งอย่างรวบรัดชัดถ้อยชัดคำ ความหมายตรงประเด็น อัดแน่นด้วยความรู้สึก และเนื้อหาครอบคลุมประโยคดังกล่าวก็คือ :“บ้านเอ็งบึ้มแล้ว!”แต่ความหมายออกจะห่ามและขาดความยำเกรงไปสักหน่อย อีกฝ่ายเป็นถึงลำดับ 1… และถ้าวิล·อัสตินเกิดไม่ใช่คนของโรงเรียนชีวิต เราก็จะหน้าแตกทันที…ไคลน์ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเขียนตัวอักษรลงบนนกกระดาษจำนวนหนึ่ง ประกอบกันเป็นประโยคสั้นใจความว่า“รอย·คิงถูกจับ”เมื่อจัดการเสร็จ ไคลน์เก็บปากกา พับนกกระดาษใส่กระเป๋าสตางค์ แบบเดียวกับที่นายแพทย์อลันเคยทำ…ณ เขตรอบนอกหมู่เกาะรอสต์ บนเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีหมอกหนาปกคลุม อยู่ห่างจากเส้นทางเดินเรือหลักค่อนข้างมากท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน เหยี่ยวสีฟ้ากำลังร่วงหล่นจากผืนนภาอย่างรวดเร็วจนเห็นเพียงเส้นเงาดำ ร่างตกกระแทกพื้นหนักหน่วง ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย โลหิตสาดกระเซ็นอัลเจอร์·วิลสันไม่ประมาท ยืนรักษาระยะห่างพลางยกมือซ้าย เผยให้เห็นแหวนเหล็กสีดำบนนิ้วหัวแม่มือ โดยใช้มันเล็งเป้าไปยังสิ่งชีวิตอันน่าสะพรึง—เหยี่ยวเงาฟ้าบนแหวนมีหนามแหลมงอกยาว เกรอะกรังไปด้วยคราบเลือดแห้ง แผ่กลิ่นอายโบราณแฝงความชั่วร้ายนี่คือสมบัติวิเศษที่อัลเจอร์ใช้เงินค่าหัวของเหล็กกล้า·แม็ควิตี้ซื้อจากช่างฝีมือ มันบอกกับทุกคนว่าสิ่งนี้มีราคาห้าพันสองร้อยปอนด์ ทั้งที่ราคาจริงเพียงสามพันหนึ่งร้อยปอนด์เท่านั้นชื่อของแหวนคือ ‘แส้จิต’ มีสรรพคุณในการสร้างความเสียหายทางจิตแก่เป้าหมาย นอกจากนั้นยังช่วยให้ผู้สวมชำนาญอาวุธทุกชนิด และเหนือสิ่งอื่นใด ราคาของมันไม่แพงย้อนกลับไปในตอนนั้น ช่างฝีมือยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกนอกจาก ‘แส้จิต’ (แหวน) ให้อัลเจอร์ สิ่งนั้นคือ ‘แหวนมนตร์คาถา’ โดยอย่างหลังมีความสามารถหลากหลายกว่า แถมยังเป็นพลังที่มีประโยชน์ และมีราคาต่างกันไม่มาก ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ อัลเจอร์กลับเลือกแส้จิต โดยเชื่อว่าหากไม่มีเจ้าสิ่งนี้ การล่าวัตถุดิบโอสถอย่าง ‘เหยี่ยวเงาฟ้า’ จะยากขึ้นจากเดิมหลายเท่า เพราะการโจมตีสัตว์วิเศษประเภทบิน ต้องอาศัยท่าเกี่ยวกับจิตใจเป็นหลัก และผลลัพธ์ก็พิสูจน์แล้วว่าอัลเจอร์คิดถูกลงเอยด้วย อัลเจอร์ต้องยอมทนกับผลข้างเคียงที่เป็นอาการปวดหัวรุนแรง ชนิดอยากจะโขกกำแพงให้รู้แล้วรู้รอดยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นจุดแสงลอยขึ้นจากเหยี่ยวเงาฟ้า เป็นผลึกขนนกจำนวนหกเส้นที่ควบแน่นตรงตำแหน่งปีก อัลเจอร์เริ่มหายใจทั่วท้อง ย่างกรายเข้าไปหยิบตั้งแต่ก่อนเริ่มออกล่า มันใช้ผ้าลินินผืนหนึ่งผูกอัญมณีเม็ดสีแดงสดไว้กึ่งกลางหน้าผาก ส่องแสงคล้ายกับคืนจันทร์สีแดงนวลสิ่งนี้คือตะกอนพลังแวมไพร์บารอนที่เป็นสินค้าของเอ็มลิน·ไวท์ แต่อัลเจอร์ยังไม่รีบส่งมอบสินค้าทันทีที่ได้รับ เนื่องจากต้องการยืมใช้พลังบางส่วนจากผลึกตะกอนโดยตรง เพื่อเป็นหลักประกันว่า การล่าเหยี่ยวเงาฟ้าจะผ่านไปอย่างราบรื่นเป็นคนกลางมีแต่กำไร… อัลเจอร์เก็บผลึกปีกนกเข้ากระเป๋าเสื้อ พึมพำภายในใจมันเหยียดตัวยืนตรง จ้องไปทางยอดเขาสูงตระหง่าน ณ ใจกลางเกาะลึกลับที่อยู่ไกลออกไป รอบภูเขาเต็มไปด้วยผืนป่าเขียวขจี หนาทึบจนยากจะมองเข้าไป ไม่ต้องบอกก็ทราบว่า ภายในนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมากเพียงใดเรายังไม่แข็งแกร่งพอจะสำรวจที่นั่น…อัลเจอร์เบือนหน้ากลับ เดินไปยังขอบเกาะพลางระมัดระวังตัวจาก ‘นักล่า’ โดยรอบถัดมา มันกระโดดลงทะเล อาศัยพลังของ ‘กะลาสี’ ว่ายน้ำเป็นระยะทางไกล จนกระทั่งถึงเรือผีสิงที่จอดแอบไว้ ลูกเรือทุกคนด้านในกำลังหลับสนิทเนื่องจากถูกวางยาสลบของผีดูดเลือดการจะมาถึงเกาะลึกลับแห่งนี้ได้ ต้องเดินเรือออกจากร่องน้ำหลักเป็นระยะทางไกลโข ผ่านฝูงมอนสเตอร์ดุร้ายและพายุสายฟ้าเกรี้ยวกราดนานกว่าหกชั่วโมง ตลอดทางเต็มไปด้วยอันตรายที่มากพอจะจมเรือ มีเพียงนักเดินเรือมือฉมังเท่านั้นจึงจะมาจอดในจุดเดียวกับอัลเจอร์สำเร็จ…กลางดึกสงัด หลังจากหมดไปหนึ่งวันโดยแทบไม่ได้ทำอะไร ไคลน์วางหนังสือพิมพ์ลง มุดผ้าห่มบนเตียงเพื่อเตรียมนอนขณะใกล้หลับสนิท คำถามหนึ่งผุดขึ้นในหัวในเมื่อเดนิสกลับฝันทองคำไปแล้ว การเช่าห้องหรูหราขนาดนี้อยู่คนเดียว ไม่เป็นการสิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ…ไคลน์พยักหน้าตอบตัวเอง เตรียมเช็กเอาต์พรุ่งนี้เช้าและเปลี่ยนโรงแรมเมื่อตัดสินใจได้ ชายหนุ่มหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน จนกระทั่งผ่านไปอีกสักพัก มันเริ่มได้สติท่ามกลางความฝันของตัวเองมีใครบางคนบุกรุกความฝัน!แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึง ‘อสรพิษแห่งชะตา’ แต่เรากลับยังมีสติคมชัดเหมือนทุกที ทางนี้เองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน… ไม่สิ ที่ต้องชมคืออำนาจของห้วงมิติเหนือสายหมอกต่างหาก…ไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าตนกำลังยืนท่ามกลางทุ่งโล่งกว้างบรรยากาศมืดสลัว ถัดไปไม่ไกลมีหอคอยสีดำสูงเด่นสง่าเป็นฉากเดียวกับที่ไคลน์เคยเห็นในความฝันของศัลยแพทย์อลัน เพียงแต่คราวนี้ไม่มีอสรพิษสีเงินเลื้อยพันรอบหอคอยไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เร่งฝีเท้าเดินเข้าไป และพบว่าสภาพภายในหอคอยยังคงผุพังและทรุดโทรมเช่นเดิม การตกแต่งไม่เป็นระเบียบ ขั้นบันไดวกวนและสับสน เดี๋ยวม้วนขึ้นบน เดี๋ยวม้วนคดลงด้านล่าง บางห้องปรกติ บางห้องกลับหัวกลับหาง บางห้องซ้อนทับอยู่ในอีกห้องเดินผ่านประตูบ้านแล้วบานเล่า กำแพงผืนแล้วผืนเล่า จนกระทั่งไคลน์มาถึงส่วนลึกสุดของหอคอยสีดำภายในห้องเต็มไปด้วยไพ่ทาโรต์วางกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ส่วนใหญ่ถูกกองสุมรอบพื้นยกระดับใจกลางห้องจุดดังกล่าวมีข้อความสีเงินเขียนไว้หนึ่งบรรทัด พร้อมกับภาพเหมือนอีกหนึ่งใบเป็นภาพของนักปรุงยาร่างท้วมตัวอักษรสีเงินมีใจความว่า :“นำไปบอกดัควีลล์”นักปรุงยาร่างท้วมชื่อดัควีลล์… วิล·อัสตินคืออสรพิษแห่งชะตาจากโรงเรียนชีวิตจริง! และเราสามารถใช้นกกระดาษติดต่อสื่อสารกับเขาได้..ไคลน์หยุดรออีกสักพัก จนกระทั่งพบว่าไม่ได้รับข้อมูลใดเพิ่มเติม ชายหนุ่มรีบออกจากความฝันและเข้าสู่ภาวะหลับสนิทอีกครั้ง…หลังจากรุ่งเช้า ไคลน์ลงไปยืนยันกับทางโรงแรมแล้วว่า การเช็กเอาต์ช่วงเที่ยงจะไม่ทำให้เสียเงินเพิ่มจากปรกติ มันจึงสวมหมวกและเดินไปขึ้นรถม้า จุดมุ่งหมายคือโรงละครแดงซ่องชื่อก้องของทะเลโซเนียกำลังอยู่ในช่วงซบเซาที่สุดของวัน เรียกได้ว่า เงียบงันราวกับบ้านผีสิงไคลน์ชำเลืองเล็กน้อย ก่อนจะเดินตรงไปยังตรอกที่อยู่เยื้องออกไป และเตรียมเข้าไปในร้านขายสมุนไพรของดัควีลล์ทันใดนั้น สัมผัสวิญญาณของชายหนุ่มพลันตื่นตัว จึงแหงนมองไปบนหลังคา และพบนกฮูกตัวอ้วนกำลังยืนจ้องลงมาถ้าจำไม่ผิด ในคณะละครสัตว์ นักปรุงยาร่างท้วมพยายามใช้พลังพิเศษทำให้สัตว์เชื่อง คงเป็นเส้นทางที่เกี่ยวกับการฝึกสัตว์วิเศษ…ไคลน์เบือนหน้ากลับ ลงมือเคาะประตูก๊อก! ก๊อก! ก๊อก… ก๊อก! ก๊อก!มันยืนรอสักพัก จนกระทั่งเห็นนักปรุงยาร่างท้วม ดัควีลล์ เปิดประตูด้วยสีหน้าง่วงเหงาหาวนอน“นาย… ไม่ได้ป่วย…” ดัควีลล์เพ่งมองพลางวินิจฉัยอาการไคลน์สวมสีหน้าเย็นชาของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพ“อรุณสวัสดิ์ มิสเตอร์นักปรุงยา ฉันพบอาจารย์ของนายแล้ว”“จ…จริงหรือ…?” นักปรุงยาร่างท้วมย้อนถามด้วยสีหน้าเคลือบแคลงสุดขีด “แต่นายเพิ่งได้รับภารกิจไปเมื่อวานซืน…”……………………
คอมเม้นต์