ราชันเร้นลับ 560 : แฮงแมนถูกรีดไถ
ณ ห้วงมิติเหนือสายหมอก ไคลน์ในท่านั่ง ทำการดึงไพ่จักรพรรดิมืดออกจากร่างวิญญาณจนรูปลักษณ์กลับคืนสู่ความปรกติระบบสลับไอเท็มในเกมด้วยปุ่มเดียว…ชายหนุ่มรำพันติดตลก พลางเพ่งสมาธิวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไคลน์มั่นใจมาก ชายร่างยักษ์ที่สวมมงกุฎยอดแหลมยาว ไม่ใช่ใครนอกจากนาสต์ ราชาห้าห้วงสมุทร และเรือผีสิงที่แล่นบนโลกวิญญาณ ก็คงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก ‘เรือจักรพรรดิมืด’ สมบัติโบราณจากจักรวรรดิโซโลมอน“เราเคยคิดมาตลอด ว่าเรือผีสิงคงมีความเพียงแล่นได้เองและไม่มีวันจม คล้ายกับสัตว์วิเศษตัวหนึ่ง คาดไม่ถึงเลยว่า เรือผีสิงที่ทรงพลังเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก จะมีร่างวิญญาณและสามารถแล่นไปในโลกวิญญาณได้ ฟังดูเหมือนกับครึ่งเทพ… สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิมืดอันโด่งดังแห่งห้าห้วงสมุทร… อา… บางที อาจมีการสังเวย ‘นักท่องเที่ยว’ ไปสักคนสองคนระหว่างกระบวนการสร้างเรือ หรือว่า… เรือผีสิงที่อยู่ในตำนานขุมทรัพย์อันโด่งดัง ‘จักรวรรดิผีสิง’ มรดกของจักรวรรดิทรันซอสต์ในอดีต ก็มีพลังในลักษณะเดียวกัน เป็นเหตุให้ยังหาไม่พบจนกระทั่งทุกวันนี้…?”ไคลน์นั่งครุ่นคิดสักพัก โดยไม่เคลือบแคลงเลยสักนิดว่า เพราะเหตุใด ตนถึงบังเอิญได้พบกับราชาห้าห้วงสมุทร นาสต์ ในโลกวิญญาณคำตอบเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากกฎการดึงดูดระหว่างพลังพิเศษในเส้นทางเดียวกัน!แม้ว่าไพ่จักรพรรดิมืดจะมิได้ฝังตะกอนพลังของเส้นทางไว้ข้างใน แต่ไคลน์ก็ยังไม่ทราบว่า โรซายล์ใช้วิธีใดหรือฝังสิ่งใดลงไปบ้าง จึงทำให้ไพ่เย้ยเทพมีคุณสมบัติการ ‘หยั่งถึง’ ตะกอนพลังของลำดับสูงในเส้นทางเดียวกันได้ง่ายขึ้นมีคำกล่าวไว้ว่า เมื่อผู้ใช้งานไพ่เย้ยเทพกลายเป็นลำดับครึ่งเทพ พวกเขาสามารถใช้ไพ่เย้ยเทพเพื่อหยั่งถึงตะกอนของลำดับถัดไปได้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปฏิกิริยาเช่นนี้เกิดกับขึ้นทั้งสองฝั่ง หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มสัมผัสถึงก่อน อีกฝั่งก็จะสัมผัสกลับมาได้เช่นกันโดยในส่วนของผู้ที่ยังไม่เป็นครึ่งเทพ ไพ่เย้ยเทพจะช่วยบิดเบือนโชคชะตาเล็กน้อยให้กลายเป็นครึ่งเทพได้เร็วกว่าคนปรกติกล่าวถึงเรื่องกฎการดึงดูด ไคลน์ค่อนข้างมีประสบการณ์ เพราะมันนึกสงสัยมาตลอดว่า ห้วงมิติสายหมอกพยายามชักนำให้เหตุการณ์ใหญ่มาเกิดขึ้นรอบตัวบ่อยครั้ง“การพกไพ่จักรพรรดิมืดติดตัวและท่องไปตามโลกวิญญาณ จะทำให้เราเผชิญเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ง่ายกว่าบนโลกความจริง เนื่องจากโลกความจริงมีขีดกำจัดที่มิอาจฝ่าฝืนหลายข้อ รวมไปถึงพลังด้านโชคชะตาของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่างเช่น ถึงเราจะควักไพ่เย้ยเทพออกมาขณะอยู่ในกรุงเบ็คลันด์ แต่นาสต์กับเรือก็ไม่มีทางบังเอิญแล่นมาโผล่ตรงหน้าแน่นอน หรือต่อให้อีกฝ่ายสัมผัสตัวตนของไพ่จักรพรรดิมืดบนโลกความจริงได้ แต่กว่าจะระบุพิกัดจนพบ กว่าจะเดินทางข้ามโลกวิญญาณมาถึงตัว ก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง หรือไม่ก็นานเป็นวัน ยิ่งถ้าเกิดนาสต์สัมผัสถึงตัวตนไพ่เย้ยเทพไม่ได้ โอกาสได้พบกันก็ยิ่งน้อยลง เพราะกว่าจะบังเอิญแล่นเรือเข้าเขตทะเลโซเนีย กว่าจะบังเอิญแล่นเข้าใกล้อาณาจักรโลเอ็น ก็คงกินเวลาไม่ต่ำกว่าหลายเดือนหรือครึ่งปี นั่นคือขีดจำกัดของความบังเอิญบนโลกความจริง แต่ถ้าเป็นในโลกวิญญาณ กฎภายในนั้นผิดแผกไปจากทุกสามัญสำนึก ทิศทางทั้งหมดล้วนใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะซ้าย ขวา หน้า หลัง บน ล่าง สูง ต่ำ หรือจำพวกระยะทาง สรุปก็คือ มีโอกาสเป็นไปได้ที่ความบังเอิญจะชักนำให้คนสองคนมาพบกันบนโลกวิญญาณ บางที นาสต์อาจแค่ต้องการเข้ามาในโลกวิญญาณตามประสา แต่บังเอิญโผล่ตรงหน้าเราที่กำลังอยู่ในร่างจักรพรรดิมืดเข้าพอดี สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ เพราะโลกวิญญาณไม่แบ่งแยกภูมิประเทศ ไม่สนว่าจะอยู่ห่างกันสักเพียงใดบนโลกความจริง”ไคลน์ครุ่นคิด พลางเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย และใช้ปลายนิ้วเคาะขอบโต๊ะทองแดงยาวเป็นจังหวะมีอยู่หนึ่งสิ่งที่มันมั่นใจ การที่ร่างกายของตนลอยไปหาอีกฝ่ายเองโดยมิอาจควบคุมหรือยับยั้ง ไม่ได้เป็นผลมาจากกฎการดึงถูกระหว่างพลังพิเศษแน่นอน เพราะอำนาจของกฎการดึงดูดคงไม่ส่งผลในเชิงกายที่เป็นรูปธรรมขนาดนี้ อย่างมากก็แค่บิดเบือนโชคชะตา เพิ่มพลังการหยั่งถึง เพิ่มความปรารถนาและแรงกระหาย ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้เพราะหากไม่แล้ว ผู้วิเศษลำดับสูงทุกคนคงถูกดูดเข้าหา ‘เอกลักษณ์’ ของเส้นทางตัวเองและเสียชีวิตกันทั้งหมดไคลน์มั่นใจว่าสิ่งนั้นคือพลังพิเศษ อาจเป็นพลังในการเพิ่ม ‘เจตนา’ ที่จะพุ่งตัวไปด้านหน้าของเรา ให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ร่างกายจึงเอาแต่ลอยตรงไปโดยมิอาจขัดขืนเรามั่นใจมากว่า ในตอนนั้น ต่อให้ถอดไพ่จักรพรรดิมืดออกจากร่างวิญญาณ แต่แรงดูดก็จะไม่หยุดลงแน่นอน…พลัง ‘นักกฎหมาย’ ในเส้นทางจักรพรรดิมืด?ไคลน์เอนหลังครุ่นคิด พร้อมกับตัดสินใจว่าตนจะไม่นำไพ่จักรพรรดิมืดออกมาใช้ในช่วงนี้หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ แผนการท่องโลกวิญญาณเพื่อค้นหาผู้ส่งสารต้องถูกพับเก็บไปโดยปริยายและหากไม่มีไพ่จักรพรรดิมืดคอยช่วยกีดกัน ‘การถูกทำนายถึง’ เราคงมิอาจถือคทาเทพสมุทรท่องไปทั่วโลกวิญญาณที่อัดแน่นด้วยข้อมูลและวิวรณ์มหาศาลได้ หากยังฝืนกระทำเช่นนั้น ร่องรอยจำนวนมากจะถูกทิ้งไว้ตามทาง และสามารถใช้เป็นเบาะแสในการทำนายถึงตัวเราได้ทุกเมื่อจริงอยู่ นกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกอาจมีอำนาจพอสมควร แต่ถ้าเป็นในด้านการต่อต้านพลังทำนาย จะไม่มีสิ่งใดเข้มแข็งไปกว่าไพ่จักรพรรดิมืดอีกแล้ว…หากยังฝืนสำรวจโลกวิญญาณ บางที ขณะกำลังเดินไปสั่งเบียร์ในผับสักแก้ว อาจมีชายกำยำนับสิบคนเดินเข้ามาทักและถามว่า ‘นายเอาคทาเทพสมุทรไปไว้ที่ไหน?’ ก็เป็นได้…หืม… แต่ผลการทำนายของพวกมันคงเห็นเพียงไคลน์·โมเร็ตติจากทิงเก็น ไม่เกี่ยวอะไรกับเกอร์มัน·สแปร์โรว์สักหน่อย หึหึ…ไคลน์หัวเราะในลำคอพร้อมกับส่ายหน้า และตัดสินใจไม่เสี่ยงสำรวจโลกวิญญาณ เตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญผู้ส่งสารออกมาคัดเลือกจนพึงพอใจ จากนั้นก็ทำพันธสัญญาชายหนุ่มคว่ำไพ่จักรพรรดิมืดลงบนโต๊ะ ก่อนที่ร่างของมันจะหายไปจากมิติลึกลับเหนือสายหมอกสีเทาอย่างไร้ร่องรอย…ช่วงเช้าตรู่ เมืองบายัมอัลเจอร์เตรียมเดินทางออกจากตัวเมืองด้วยรถม้าเช่า จากนั้นก็อ้อมไปยังท่าเรือส่วนตัวด้านหลังหน้าผา ก็จะถึงจุดจอด ‘โทสะสีคราม’ ซึ่งพร้อมแล่นออกทุกเมื่อแม้จะเป็นกัปตันเรือโจรสลัดที่เป็นสายข่าวของทางการ แต่อัลเจอร์ก็ไม่กล้าจอดในท่าเรือหลักของบายัมอย่างเปิดเผย เพราะนั่นจะทำให้ตัวมันถูกสงสัยว่ามีเส้นสายกับทางการบนเกาะโจรสลัดกลุ่มอื่นก็ล้วนทำแบบเดียวกัน ต้องคิดหาท่าจอดเรือก่อนจะขึ้นมาเทียบท่าและปล่อยของที่ปล้นมาได้ ตัวเลือกสำหรับจอดเรือมีมากมาย ทั้งท่าเรือขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่รอบเกาะ หรือไม่ก็ท่าเรือลับที่ควบคุมโดยกลุ่มต่อต้านและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นไม่มีภารกิจเพิ่มเติม เราสามารถออกทะเลได้ทุกเมื่อ… ก่อนอื่น ต้องหาซื้อสมบัติวิเศษที่ช่วยเสริมความสามารถ พร้อมกับปรับบัญชีธนาคารให้กลับมาแนบเนียน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังเกาะนอกอาณานิคมเพื่อล่าเหยี่ยวเงาฟ้ามาปรุงเป็นโอสถลำดับ 6…ขณะอัลเจอร์เตรียมเดินเข้าไปในห้องโดยสารรถม้า มุมสายตาบังเอิญเหลือบเห็นคนคุ้นเคยราล์ฟ อดีตโจรสลัด ปัจจุบันเป็นพ่อค้าราล์ฟเดินลงจากรถม้าโดยเอาแต่มองไปทางสภาเทศบาลเมืองซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป สีหน้าและแววตากำลังตื่นเต้นผิดจนวิสัยเกิดอะไรขึ้นกับหมอนั่น…อัลเจอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปทักทายในสายตาของมัน ราล์ฟคือหนึ่งในพวกเดียวกัน เพราะตนกับอีกฝ่ายต่างก็เป็นบริวารของมิสเตอร์ฟูลทั้งคู่เพียงแต่คนหนึ่งเป็นสมาชิกหลักในรุ่นก่อตั้ง ส่วนอีกคนเป็นสายข่าวจากองค์กรภายนอก…อัลเจอร์แบ่งลำดับบริหารในใจ“มีเรื่องน่ายินดีงั้นหรือ”หลังจากทักทายสภาพอากาศตามมารยาท มันเข้าประเด็นทันทีราล์ฟฉีกยิ้มกว้าง พลางตอบด้วยดวงตาเปล่งประกาย“ถ้าฉันบอกว่าตัวเองได้รับความรักจากพระองค์ นายจะยอมเชื่อไหม”เชื่อสิ… อัลเจอร์ตอบในใจโดยไม่ลังเลมันพยายามระงับความสงสัย ก่อนจะถามเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน“แล้วมาทำอะไรแถวนี้”ขณะราล์ฟกำลังจะตอบ มันหรี่ตาลงกะทันหันและมองไปรอบตัว เมื่อยืนยันว่าไม่มีใครได้ยิน จึงมอบคำตอบด้วยเสียงแผ่วเบา“นายก็เป็นผู้เชื่อในพระองค์ใช่ไหม”แต่ไหนแต่ไร เพื่อที่จะตีสนิทอีกฝ่าย อัลเจอร์จึงหลอกราล์ฟว่าตนนับถือศาสนาเทพสมุทร สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับโจรสลัด เพราะถ้าเป็นการล่องเรือ สภาพอากาศอันเลวร้ายจะน่ากลัวยิ่งกว่าศัตรูแข็งแกร่งหลายเท่านัก ส่งผลให้โจรสลัด นักผจญภัย และลูกเรือส่วนใหญ่ มอบความศรัทธาแก่เทพในขอบเขตพลังดังกล่าวไม่มากก็น้อย“ใช่” คำตอบของอัลเจอร์ในหนนี้ หนักแน่นกว่าที่เคยตอบในอดีตหลายเท่าเพราะมันทราบเป็นอย่างดีว่า ‘พระองค์’ ในความหมายของราล์ฟ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากร่างจำแลงของเดอะฟูลราล์ฟพยักหน้าพึงพอใจ ก่อนจะกระซิบ“ฉันได้รับพระวิวรณ์มาเมื่อวาน พระองค์บอกให้คอยดูแลเหล่าลูกแกะน้อย ดังนั้น ฉันมีความคิดที่จะตั้งองค์กรการกุศลเพื่อคอยช่วยเหลือเด็กยากไร้โดยเฉพาะ นี่คือพระประสงค์ของท่าน ในฐานะผู้เชื่อ นายก็ควรร่วมบริจาคอย่างเบิกบานใจ”ราล์ฟแบมือขวาและเหยียดออกมา รอเงินบริจาคของอัลเจอร์อัลเจอร์ทำหน้าเครียด ไม่แน่ใจว่าควรตอบสนองเช่นไรปัจจุบัน มันมีเงินออมทั้งสิ้น 3,245 ปอนด์ แต่ส่วนนี้กันไว้สำหรับซื้อสมบัติวิเศษ มิอาจนำไปใช้ฟุ่มเฟือยอย่างการบริจาคจริงอยู่ ถ้าบริจาคในจำนวนน้อย อาจยังพอรักษาสภาพคล่องไว้ได้หากเทพสมุทรยังเป็นคาเวทูว่า สาวกกำมะลออย่างอัลเจอร์คงหาข้ออ้างปฏิเสธในทันที แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคือมิสเตอร์ฟูล มันจำเป็นต้องคิดหนัก เพราะไม่ทราบว่าเทพของตนวางแผนอะไรไว้เมื่อเห็นสีหน้าลังเลจากอีกฝ่าย แววตาของราล์ฟเปลี่ยนไปเล็กน้อย“เงินบริจาคในส่วนนี้จะนำไปช่วยเหลือเด็กที่ถูกเลือกปฏิบัติเพียงเพราะเกิดมาในครอบครัวชนพื้นเมืองหรือลูกผสม ให้เด็กเหล่านั้นได้มีชีวิตและการศึกษาที่ดีขึ้น”อัลเจอร์ยังคงเงียบอีกหลายวินาที ก่อนจะล้วงหยิบธนบัตรปึกหนึ่งให้อีกฝ่าย“หนึ่งร้อยปอนด์”ราล์ฟรับไว้ด้วยรอยยิ้ม“ความใจบุญของในวันนี้ จะย้อนกลับมาตอบแทนนายนับร้อยเท่าพันเท่าแน่นอน พระองค์จะต้องคุ้มครองนาย”…ณ โกดังร้างหลังหนึ่ง ประตูทางเข้าปิดสนิทปัจจุบัน ไคลน์พร้อมแล้วที่จะประกอบพิธีกรรมอัญเชิญสิ่งมีชีวิตจากโลกวิญญาณ บรรยากาศรอบตัวคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพรและน้ำมันสกัดชายหนุ่มกังวลว่า หากประกอบพิธีกรรมภายในโรงแรม อาจก่อให้เกิดความโกลาหลวุ่นวาย มันมิได้กลัวตัวเองได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ต้องการให้คนบริสุทธิ์โดนลูกหลง จึงเลือกประกอบพิธีกรรมในโกดังร้างที่เคยใช้สังเวยกล่องบุหรี่ให้คาเวทูว่าในส่วนของเดนิส หลังจากค่าหัวเพิ่มขึ้นเป็นห้าพันห้าร้อยปอนด์ มันเป็นฝ่ายอาสาเฝ้าเครื่องรับโทรเลขอยู่ภายในห้องขั้นต่อไปก็คือ จุดเทียนแทนตัวเอง และอัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณด้วยคาถาที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย…สมองไคลน์กำลังนึกทบทวนคาถาสามบรรทัดเพื่ออัญเชิญสิ่งมีชีวิตวิญญาณของมาดามดาลีย์ รวมถึงคาถาที่มิสเตอร์อะซิกยืนยันแล้วว่าไม่เป็นอันตรายการจะเอ่ยคาถาเพื่อนิยามถึงลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิตวิญญาณ บรรทัดแรกต้องเริ่มต้นด้วย ‘ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า’ หรือไม่ก็ ‘ผู้เตร็ดเตร่ในดินแดนเบื้องบน’ เพราะสองนิยามนี้หมายถึงโลกวิญญาณ โดยเสริมคำขยายเพิ่มเติมต่อท้ายว่า ต้องการอัญเชิญสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณ หรือสิ่งมีชีวิตประเภทมีเลือดเนื้อ สำหรับบรรทัดที่สองและสามจะเป็นการกำหนดให้ผู้ส่งสารมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ แต่เนื่องด้วยข้อจำกัดของรูปแบบ จึงไม่สามารถกำหนดนิยามได้ยาวเกินไป ต้องเป็นประโยคสั้นกระชับ ส่งผลให้ผู้ประกอบพิธีกรรมมิอาจคาดเดาผลลัพธ์ของการอัญเชิญล่วงหน้าในกรณีปรกติ การใช้นิยามที่ยืนยันแล้วว่าปลอดภัย จะเสี่ยงอันตรายน้อยกว่าหลังจากทำพันธสัญญาต่อกันเสร็จ บรรทัดที่สามจะถูกเพิ่มต่อท้ายไปว่า ‘ผู้เป็นบริวารของ…’ หรือไม่ก็ ‘ผู้อยู่ในพันธสัญญากับ…’ เพื่อใช้อัญเชิญในครั้งถัดไปและด้วยสามบรรทัดที่เสร็จสมบูรณ์ การอัญเชิญผู้ส่งสารก็จะราบรื่นไร้ปัญหา“หืม… ผู้ส่งสารของเราต้องวิ่งเร็วมาก ไม่อย่างนั้นคงถูกวิญญาณมารชั่วร้ายฆ่าตายกลางทาง ส่งผลให้จดหมายสำคัญไม่ถึงมือ สิ่งนี้ถือเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะขาดไม่ได้”ชายหนุ่มก้าวถอยหลัง เปล่งคาถาด้วยภาษาเฮอร์มิสโบราณ“ตัวข้า! ขออัญเชิญด้วยนามของข้า… ผู้เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นมิตรและสามารถรับคำสั่ง สิ่งมีชีวิตที่รวดเร็วเหนือจินตนาการ!”ฟ้าว!สายลมรุนแรงพลันพัดผ่าน เทียนไขถูกย้อมด้วยแสงสีเขียวอ่อน มาพร้อมกับบรรยากาศเย็นยะเยือกรอบตัวไคลน์พบว่ามีบางสิ่งพุ่งออกมาจากเปลวเทียนไข แต่อีกฝ่ายว่องไวจนมองไม่ทันว่ามีหน้าตาเป็นเช่นไรและหลังจากนั้น ไคลน์ก็ไม่ได้พบมันอีกเลย……………………
คอมเม้นต์