ราชันเร้นลับ 549 : เอลฟ์ครึ่งเทพ
เสียงสวดวิงวอนจำนวนมากกำลังซ้อนทับก้องกังวาน ไคลน์รู้สึกราวกับร่างกายจองตนถูกสิงสู่ ศีรษะปวดแปลบเหนือคำบรรยาย จนต้องการเอาหัวโขกกำแพงเต็มแรง เพื่อข่มความเจ็บด้วยความเจ็บที่มากกว่าฉากการสวดวิงวอนจากหลากหลายบุคคลกำลังทำให้หัวสมองของมันวิงเวียนหนักหน่วง คล้ายกับตนกำลังเดินบนขอบเหว พร้อมจะตกลงไปด้านล่างได้ทุกเมื่อต้องขอบคุณไพ่จักรพรรดิมืดและนกหวีดทองแดงอะซิกที่ช่วยเสริมความแกร่งให้ร่างวิญญาณ ผนวกกับการที่เราเคยชินกับเสียงสวดวิงวอนของสมาชิกชุมนุม…แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาที่มีลำดับต่ำกว่าครึ่งเทพ ป่านนี้คงเข้าสู่ภาวะคลุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์ ความเจ็บปวดจะถาโถมจากทุกทิศ กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดก่อนเนื้อ…อา…ละอองพลังงานทั้งหมดในโบราณสถานได้ควบแน่นจนกลายเป็นสมบัติปิดผนึกชิ้นใหม่ โดยมีเขี้ยวของคาเวทูว่าเป็นแกนกลาง ดูเหมือนผลข้างเคียงจะรุนแรงยิ่งกว่าสมบัติปิดผนึกระดับ 2 เสียอีก…ไคลน์ไม่กล้าเดินเข้าไปส่งเดช ตัดสินใจถอยหลังกลับจนกระทั่งห่างจากจุดที่ได้ยินเสียงสวดวิงวอนของสาวก ความเจ็บปวดเริ่มบรรเทาลง อาการวิงเวียนที่สามารถทำให้ร่างวิญญาณแตกสลายเริ่มจางหายชายหนุ่มยืนข้างก้อนเนื้อศพคาเวทูว่า จ้องมองคทาสั้นสีขาวนมสดเสียบคาในซากเสาหิน สมองกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการนำมันออกมาขณะเดียวกัน ไคลน์ทำการตั้งชื่อสมบัติชิ้นดังกล่าวให้เสร็จสรรพ :“คทาเทพสมุทร!”อา…จากสัมผัสและปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อครู่ เรายังพอใช้มือจับโดยตรงไหว แต่แช่ค้างไว้ได้เพียงไม่กี่วินาที ลืมเรื่องการทดลองกวัดแกว่งไปได้เลย…แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงคว้าไว้ในมือสำเร็จ เราจะสิ้นสุดพิธีกรรมอัญเชิญและส่งตัวเองกลับสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกทันที…หากเป็นที่นั่น เสียงสวดวิงวอนนับพันจากสาวกจะถูกขัดขวาง รวมถึงผลข้างเคียงที่เรายังไม่ทราบ…จากนั้นค่อยนั่งศึกษาข้อมูลอย่างใจเย็น…ไคลน์วางแผนเสร็จสรรพมันไม่จำเป็นต้องดีดเหรียญ ด้วยความพิเศษของร่างวิญญาณ ชายหนุ่มสามารถรับคำทำนายได้ในรูปแบบ ‘สัญชาตญาณ’โดยผลลัพธ์ออกมาเป็น : ไม่อันตรายมากเมื่อตัดสินใจได้ ไคลน์เริ่มสำรวจบริเวณโดยรอบจนทั่ว ระหว่างนั้นก็มองหาจิตรกรรมฝาผนังของเอลฟ์ไปพลางก่อนอื่น ไคลน์เดินไปที่มุมห้อง หยิบขวดพิษชีวภาพสีน้ำตาลขึ้นมาปิดฝา สอดเข้าไปในร่างกาย และเมื่อหันหลังกลับ ชายหนุ่มพบกล่องบุหรี่โลหะ กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ใต้ก้อนเนื้อศพคาเวทูว่า ในลักษณะโผล่ออกมาเพียงครึ่งเดียวนี่มัน… เรานึกว่ากล่องบุหรี่สลายไปแล้วหลังจากถูกคาเวทูว่ากลืนลงท้อง…ไคลน์เผยสีหน้าประหลาดใจ พลางเร่งฝีเท้าเดินไปยังจุดดังกล่าวแต่เนื่องจากร่างกายยังมีอาการชาด้วยผลของกระแสไฟฟ้านักบวชเฒ่า แขนขวาไคลน์จึงอยู่ในสภาพอ่อนแรง และเผลอทำกล่องหลุดมือไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังคว้าไว้ได้ทันก่อนจะร่วงหล่นหลังจากชำเลืองมองหนึ่งครั้ง ไคลน์พบว่าผิวของกล่องบุหรี่โลหะมีร่องรอยการถูกกัดกร่อน แต่ยังพอใช้การได้ แต่งวัตถุชิ้นอื่น ๆ ที่ถูกคาเวทูว่าดูดเข้าปากไปพร้อมกันด้วยวังวนน้ำทะเล กลับไม่พบร่องรอยใดเลย“หืม…ออร่าสายหมอกทำให้คาเวทูว่าระคายเคือง ก็เลยพ่นออกมา หรือเป็นเพราะคุณสมบัติของกล่องบุหรี่โลหะเปลี่ยนไป จึงถูกกัดกร่อนได้ช้ากว่าวัตถุชิ้นอื่น ทำให้ยังคงรูปร่างไว้ได้จนกระทั่งคาเวทูว่าร่วงหล่น?”ขณะไคลน์ตั้งคำถาม กล่องบุหรี่โลหะถูกสอดเก็บเข้าไปในลำตัว ชายหนุ่มเตรียมลงมือสำรวจหาร่องรอยอื่นๆ อย่างตั้งใจภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไลน์ต้องเร่งมือแข่งกับเวลา จะมัวชักช้าไม่ได้ เพราะมิอาจทราบได้ว่า คนของโบสถ์วายุสลาตันและกองทัพจะหาที่นี่พบเมื่อไร!ชายหนุ่มเดินวนรอบเสาหินกึ่งกลางโดยรักษาระยะห่างพอสมควร อ้อมไปยังส่วนลึกสุดของห้องโถงใหญ่ที่พังพินาศจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมบางที ที่นี่อาจเคยมีจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมากมาก่อน แต่ด้วยการพังถล่มของกำแพง ทุกสิ่งจึงสูญหายไปถาวร…ไคลน์เหาะไปจนสุดขอบห้องโถง และพบบัลลังก์อันงดงามถูกฝังใต้ซากเสาหิน เผยให้เห็นเพียงหนึ่งส่วนสามฝั่งซ้ายของบัลลังก์มีจิตรกรรมฝาผนังที่ยังคงสภาพไว้ได้ราวครึ่งหนึ่ง เนื้อหาเกี่ยวกับการเผชิญหน้าระหว่างสองบุคคลผู้หนึ่งกำลังมองเหยียดยามศัตรูขณะตนยืนเหยียบคลื่นทะเล เหนือศีรษะมีเมฆดำ รอบกายมีพายุรายล้อม ใบหน้าอ่อนโยน เค้าโครงคล้ายชาวเอเชียจากโลกเก่าของไคลน์ ถือหอกที่ทำจากสายฟ้าบริสุทธิ์ พื้นหลังเป็นคลื่นทะเลที่พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่งด้านล่างเป็นบุรุษสวมชุดคลุมทรงโบราณสีขาวสว่าง ใบหน้าอึมครึม ไม่ทราบอายุ ยืนยันได้เพียงว่าเป็นเพศชายบริเวณศีรษะของชายสวมชุดคลุมขาวแผ่แสงทรงกลดสีทอง ส่องสว่างอย่างเงียบงัน ประหนึ่งดวงอาทิตย์ยามเช้าแสนอ่อนโยนใต้ฝ่าเท้ามีวงกลมมายาถูกแบ่งออกเป็นสิบสองส่วน แต่ละส่วนมีลักษณะของช่วงเวลาด้านหลังมีบางสิ่งที่คล้ายกับม่านเงาสีดำ คล้ายกับภายในม่านเงามีดวงตาขนาดใหญ่กำลังจ้องมองออกไปอย่างเงียบงันไคลน์อาศัยความชำนาญและประสบการณ์ในด้านศาสตร์เร้นลับ มอบคำตอบให้ตัวเอง :คลื่นทะเล พายุ เมฆดำ สายฟ้า…คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหนึ่งในแปดเทพบรรพกาล ‘ราชเอลฟ์’ ซอนญาธริม…หืม…ใบหน้าของราชาเอลฟ์ดูเป็นมิตรและสง่างามกว่าในตำนานจริงค่อนข้างมาก มิได้บิดเบี้ยวหรือมีกลิ่นอายของความชั่วร้าย…หึหึ…ที่นี่เป็นโบราณสภาพเอลฟ์ พวกมันย่อมเทิดทูนเทพของตนให้สง่างามอยู่แล้ว…แสงทรงกลดคล้ายดวงอาทิตย์ วงแหวนสัญลักษณ์แทนกาลเวลา นี่มัน…บิดาแห่งอามุนด์และอาดัมไม่ใช่หรือ? ผู้ที่เคยถูกเรียกขานว่าเทพสุริยันบรรพกาล…พระผู้สร้างที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เทิดทูนบูชา…ด้านหลังมีม่านเงาดำ ละดวงตาภายใน…หืม…ถ้าจำไม่ผิด ‘พระผู้สร้างแท้จริง’ แห่งชุมนุมแสงเหนือเองก็ใช้สัญลักษณ์ม่านเงาและดวงตาในบางครั้งไม่ผิดแน่ นี่คงเป็นศึกที่พระผู้สร้างไล่ทวงคืน ‘อำนาจ’ จากเหล่าเทพบรรพกาลตนอื่น… ชักอยากรู้แล้วว่า เหล่าแปดราชาเทวทูตได้ติดตามไปต่อสู้ด้วยหรือไม่…และผลการต่อสู้ระหว่างราชาเอลฟ์ ซอนญาธริม กับพระผู้สร้างจะออกมาเป็นเช่นไร…ไคลน์ก้าวถอยหลัง พยายามมองหาสิ่งมีค่าชิ้นอื่นๆ รอบตัวอาศัยการนำทางของสัมผัสวิญญาณ มันเดินกลับมาที่บัลลังก์ โน้มตัวลงไปยังโคนต้นเสาที่พังถล่ม และหยิบวัตถุขึ้นมาหนึ่งชิ้นแก้วโลหะ ลักษณะคดงอผิวแก้วสลักลวดลายซับซ้อนและประณีต ขาแก้วที่เคยเรียวยาวมีสภาพบิดงอเล็กน้อย ข้อความภาษาเอลฟ์เขียนไว้ว่า :“ภัยธรรมชาติ โคฮีเน็ม”หมายความว่า เจ้าของโบราณสถานแห่งนี้คือเอลฟ์ครึ่งเทพนามว่าโคฮีเน็ม? เขา…หรือที่เราควรเรียกว่าท่าน คือผู้ครองสมญานาม ‘ภัยธรรมชาติ’ …อา…สิ่งนี้สอดคล้องกับหนังสือแห่งภัยธรรมชาติที่เลติเซียหาพบ ถ้าทั้งสองสิ่งเป็นของเอลฟ์ครึ่งเทพจริง เรื่องราวทั้งหมดก็จะลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์…แต่น่าเสียดาย แก้วทองคำใบนี้ไม่มีความพิเศษใดเลย แค่สลักชื่อของเอลฟ์ครึ่งเทพ จึงมีละอองวิญญาณเจือปนเล็กน้อย…แต่หากโคฮีเน็มยังไม่ร่วงหล่น แม้จะสลักเพียงชื่อ แก้วใบนี้จะต้องมีความพิเศษแน่นอน เฮ่อ…ไคลน์สันนิษฐานเบื้องต้นว่าโคฮีเน็มน่าจะตายไปแล้ว เพราะเทพสมุทร·คาเวทูว่าคือผู้สืบทอดพลังและอำนาจคนถัดไปอย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน เพราะหลังจากผ่านมาราวหนึ่งพันปี หนังสือแห่งภัยธรรมชาติกลับยังมีอำนาจสามารถกัดกร่อนเลติเซีย ผู้วิเศษลำดับค่อนข้างสูงจนเสื่อมทรามและประสบภาวะคลุ้มคลั่ง“จุดจบของเลติเซียไม่น่าจะเป็นฝีมือของคาเวทูว่า… หืม… เอลฟ์ครึ่งเทพมีเทคนิคในการแบ่งตะกอนพลังออกเป็นสองส่วน? …คาเวทูว่าสืบทอดไปเพียงหนึ่งส่วน? และตะกอนพลังส่วนใหญ่ถูกฝังอยู่ในหนังสือแห่งภัยธรรมชาติ? หรือโคฮีเน็มยังร่วงหล่นไม่สมบูรณ์? อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ ด้วยความที่คาเวทูว่าเคยเป็นเพียงสัตว์ทะเลสติปัญญาต่ำ มันจึงกินตะกอนพลังของโคฮีเน็มเข้าไปไม่หมด ส่วนที่เหลือได้ควบแน่นกลายเป็นสมบัติปิดผนึกสักชิ้น แต่ถูกโบสถ์วายุสลาตันช่วงชิงไปแล้วเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน หลังจากคาเวทูว่าพ่ายแพ้ให้กับพระคาร์ดินัลสองคน… อา… ในชุมนุมทาโรต์คราวหน้า เราจะให้เดอะเวิร์ลถามเดอะซันน้อย เด็กคนนั้นน่าจะทราบว่าโคฮีเน็มเป็นใคร หรือบางที อาจไม่จำเป็นต้องถาม เพราะเขายังติดค้างตำนานโบราณกับเราอีกสองหน้า เนื้อหาในแผ่นถัดไปอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอลฟ์…”ไคลน์ครุ่นคิด ตามด้วยการยัดแก้วทองคำเข้าไปในตัว เหนือสิ่งอื่นใด วัตถุชิ้นนี้ทำจากโลหะทองไม่เพียงเท่านั้น หากเอลฟ์ครึ่งเทพ โคฮีเน็ม ยังร่วงหล่นไม่สมบูรณ์ เราอาจเชื่อมต่อกับอีกฝ่ายผ่านแก้วไวน์ใบนี้ได้ แน่นอน ต้องกระทำบนมิติสายหมอกเพื่อปิดกั้นผลข้างเคียง…เมื่อกวาดตามองรอบตัวและไม่พบสิ่งใดอีก ไคลน์บินกลับไปหยิบไม้ค้ำสีดำ และทำการลบร่องรอยการต่อสู้เมื่อครู่จากนั้น มันล้วงหยิบกระดาษคนตัวแทน สะบัดข้อมือและโยนออกไป ปล่อยให้น้ำทะเลกัดกร่อนจนกลายเป็นเพียงเศษผงเราสามารถ ‘ลบ’ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ก็จริง แต่เหตุการณ์หลังจากนี้ เราไม่มีเวลามากพอให้จัดการ…แต่ไม่น่ากังวลสักเท่าไร ปัจจุบันเราคือจักรพรรดิมืด…อา…สำหรับศพของคาเวทูว่า เศษเนื้อของมันไม่มีมูลค่าอันใด และกระดูกก็หนักเกินไป อาจส่งผลให้เราไม่สามารถถือ ‘คทาเทพสมุทร’ …ไคลน์เริ่มเข้าฌาน เพ่งสมาธิแน่วแน่ ก่อนจะพุ่งตัวไปทางคทาสั้นสีขาวที่ฝังท่ามกลางซากเสาหินถล่มเหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำสอง เสียงสวดวิงวอนของสาวกเสียดแทงโสตประสาท ภาพของผู้คนกำลังหมอบกราบ ร่ำไห้ คลั่งไคล้ และเหม่อลอย กำลังปรากฏในหัวสมองอย่างพร่ามัว ความเจ็บปวดและวิงเวียนเริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะไคลน์อาศัยประสบการณ์ รวมถึงความแกร่งของร่างวิญญาณที่ถูกเสริมด้วยไพ่จักรพรรดิมือและนกหวีดทองแดง กัดฟันเสียงดังกรอด พุ่งตัวเข้าไปจนกระทั่งคทาเทพสมุทรอยู่แค่เอื้อมชายหนุ่มเหยียดแขนขวายืดตรง จับคว้ากึ่งกลางด้ามคทาสีนมสดแน่นกระชับเพียงปลายนิ้วสัมผัส ภาพอันพร่ามัวทั้งหมดพลันคมชัดเสมือนจริง เสียงวิงวอนจากดังแว่วกลายเป็นกึกก้องไคลน์เห็นไครัท สมาชิกกลุ่มต่อต้านหัวล้านที่เคยนั่งวีลแชร์ ล้มลงไปนอนกับพื้น พยายามตะเกียกตะกายตัวเองให้ไปถึงเทวรูปขนาดเล็กของคาเวทูว่าที่แตกหัก ปากขยับพึมพำนามเต็มอันสูงส่ง ดวงตาเผยความสิ้นหวังไคลน์เห็นเอ็ดมันตัน เจ้าของรอยสักงูทะเลสีฟ้าน่าเกรงขาม กำลังหมอบกราบหน้าอีกหนึ่งเทวรูปขนาดย่อมคาเวทูว่าที่แตกหัก พลางนำศีรษะโขกพื้นหนแล้วหนเล่าจนกระทั่งชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดไคลน์เห็นบรรยากาศภายในชุมชนแออัด สาวกจำนวนมากกำลังซ่อนตัวอยู่ในบ้านของตน พร้อมกับสวดวิงวอนทั้งน้ำตา…ชุดเกราะสีดำเต็มอัตราศึกมิอาจทนรับแรงปะทะทางใจอันหนักหน่วง จึงสลายตัวไปอย่างรวดเร็วขณะเดียวกัน ‘กล้ามเนื้อ’ มัดใหญ่บนท่อนแขนไคลน์กำลังสั่นกระตุก ฝ่ามือข้างขวาเริ่มชักเกร็งท่ามกลางฉากนิมิตอันคมชัด ไคลน์กัดฟันดึงคทาสั้นสีขาว สิ่งแทนพลังเทพสมุทร ออกจากซากกองปรักหักพังในคราวเดียวซ่า!น้ำทะเลทั่วโบราณสถานเริ่มหมุนวนอย่างเกรี้ยวกราด หรือหากจะอธิบายให้เห็นภาพ สามารถพูดได้ว่า พวกมันกำลังก่อตัวเป็นพายุเกลียวคลื่นไคลน์ในสภาพสวมมงกุฎสีดำ เพ่งสมาธิกำคทาเทพสมุทรอย่างใจเย็น จนกระทั่งร่างวิญญาณเลือนหายจากจุดเดิมโดยสมบูรณ์แผ่นหลังกลับมาแนบอิงที่นั่งเดอะฟูลบนห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอีกครั้งเมื่อทัศนวิสัยของวังโบราณสง่างามปรากฏในการมองเห็น เสียงสวดวิงวอนภายในโสตประสาท รวมถึงนิมิตของสมาชิกกลุ่มต่อต้านและชาวบ้าน เลือนหายไปราวกับเป็นเพียงเรื่องโกหกไคลน์ ผู้กำลังนั่งบนเก้าอี้พนักสูงประจำตัวเดอะฟูล เลื่อนฝ่ามือขวาขึ้น จ้องมองเข้าไปในคทาที่ส่วนหัวเลี่ยมด้วย ‘อัญมณี’ สีฟ้าจำนวนมาก บ้างสีฟ้าเข้ม บ้างสีฟ้าสว่างคทาเทพสมุทรรอบสมบัติปิดผนึกชิ้นใหม่มีละอองแสงจำนวนมากกำลังห้อมล้อมระยิบระยับ คล้ายกับทุกจุดแสงแทนการสวดวิงวอนของสาวกหนึ่งคน บรรยากาศข้างต้นให้ด้ามคทาสว่างไสว แฝงกลิ่นอายความงดงามและศักดิ์สิทธิ์ไว้เต็มเปี่ยมในวินาทีนี้ ไคลน์สัมผัสได้ว่า คทาสั้นในมือของตน สามารถทำให้ใครก็ตามที่ใช้มัน กลายเป็นเทพสมุทรตัวจริง!……………………
คอมเม้นต์