ราชันเร้นลับ 508 : อย่าออกไป
แตกต่างจากเมืองบนผืนดินอย่างเบ็คลันด์ ทิงเก็น หรือท่าเรือพริสต์ หมู่เกาะอาณานิคมมักไม่มีแก๊สเพียงพอต่อการใช้งาน เสาโคมไฟริมถนนทั้งสองด้านจึงมีระยะห่างค่อนข้างมาก และมักอาศัยแสงสว่างจากเสาตะเกียงเทียนไขแทนน่าเสียดาย เนื่องจากสายลมกระโชกพัดผ่านมาเร็วเกินไป จึงไม่มีใครกล้าออกจากบ้านมาจุดตะเกียงเทียนหลังจากมืดค่ำ สองฝั่งทางเดินบนเกาะจึงมืดสนิท มีเพียงดวงจันทร์สีแดงเข้มส่องแสงนวลบนท้องฟ้าเมื่อเทียบช่วงก่อนหน้า สายลมนับว่าสงบลงหลายระดับ โดยไคลน์ไม่จำเป็นต้องเสียสมาธิคอยใช้มือจับหมวกหมอกจางกำลังปกคลุมทั่วบริเวณ บ้านสองชั้นปิดประตูและหน้าต่างมิดชิดทุกหลัง ราวกับไม่เคยมีใครอาศัยในละแวกนี้เป็นเวลานานไคลน์ถือตะเกียงสีสลัวด้วยมือข้างหนึ่ง และถือไม้ค้ำด้วยมืออีกข้าง พลางเร่งฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ยังทิศทางภัตตาคารมะนาวตามคำบอกเล่าของเดนิสฟ้าว!ท่ามกลางกระแสลมหมุนวน ไคลน์รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงต้นคออย่างอธิบายไม่ถูกชายหนุ่มยกมือขวาข้างถือไม้ค้ำขึ้น พร้อมกับใช้ปลายนิ้วดึงปกเสื้อปิดบังต้นคอทันใดนั้น ภาพนิมิตลางสังหรณ์พลันปรากฏในหัวไคลน์เป็นฉากของเงาดำขนาดเท่าผลแตงโม พุ่งออกจากหมอกสายเจือจาง และบินตรงมายังใบหูของตนอย่างแม่นยำไคลน์รีบชักไม้ค้ำขึ้นมาฟาดยังจุดดังกล่าวตามสัญชาตญาณเปรี้ยง!เมื่อวัตถุปริศนาสีดำลอยเข้าใกล้ มันถูกปลายไม้ค้ำหวดจนกระเด็นด้วยแสงจากตะเกียง ไคลน์สามารถมองเห็นรูปลักษณ์แท้จริงวัตถุดังกล่าวได้อย่างชัดเจนมันคือศีรษะ…ศีรษะมนุษย์!ศีรษะอันปราศจากร่างกายและมีเพียงหลอดอาหารห้อยอยู่!ใบหน้ามีลักษณะคล้ายชีสแห้งราขึ้น ผิวพรรณเต็มไปด้วยหนองเหลืองปนเขียว รอยเหี่ยวย่นปรากฏอย่างเด่นชัดทั่วทุกจุด เค้าโครงใบหน้ายังคงชัดเจนเป็นรูปทรงจมูกหลุดออกไป เหลือแต่เพียงรูสีดำสองจุดขนาดไม่ใหญ่ ดวงตาขาวเหลือกขึ้นโดยปราศจากตาดำ ริมฝีปากเน่าเปื่อย เผยให้เห็นคราบเลือดและซี่ฟันอันแหลมคมแม่เย็*!เมื่อเดนิส·เพลิงพิโรธเห็นฉากดังกล่าว หัวใจของมันพลันสั่นเทาพร้อมกับกล่าวคำสบถตามสัญชาตญาณจริงอยู่ เดนิสอาจเคยล่าสมบัตินับครั้งไม่ถ้วนและต่อสู้กับสัตว์ประหลาดมากมาย แต่ฉากอันน่าขยะแขยงเช่นนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนักเดนิสชักลูกโม่ทรงโบราณออกมาตอนไหนไม่มีใครทราบ แต่ปัจจุบันกำลังเตรียมลั่นไกโดยปราศจากความลังเลทันใดนั้น มันเห็นแสงสุกสว่างสีขาวโพลน ส่องลงมาจากความว่างเปล่าด้านบนท้องฟ้าอ๊า!เสียงกรีดร้องดังโหยหวน ศีรษะน่ารังเกียจเริ่มละลายอย่างรวดเร็วพร้อมกับผุดควันสีเทาเข้มข้น ก่อนจะสลายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนอ่อนแอฉิบหาย! เดนิสประเมินความแข็งแกร่งศัตรูไม่เพียงเท่านั้น เกอร์มัน·สแปร์โรว์อยู่บนเส้นทาง ‘สุริยัน’ งั้นหรือ… ไม่เหมือนสักนิด… คงเป็นเพราะสมบัติวิเศษมากกว่า… แต่ฝีมือชายคนเป็นของจริง สามารถตรวจพบศัตรูและโจมตีสวนกลับได้ทันที โดยเรายังไม่ทันได้ตระหนักถึง…เดนิสเริ่มเปลี่ยนประเด็นความสนใจขณะมันกำลังใจเย็น มุมสายตาเหลือบเห็นศีรษะน่ารังเกียจ ลักษณะคล้ายเดิม พุ่งออกมาสายหมอกเจือจางด้านข้างพร้อมกับอ้าปากกว้างอย่างน่าหวาดกลัวปัง!เดนิสลั่นไกโดยไม่ลังเลกระสุนทองเหลืองพุ่งปะทะกะโหลกศีรษะอันเต็มไปด้วยเชื้อราอย่างแม่นยำ ทะลวงผ่านหว่างคิ้วพร้อมกับทำให้ศีรษะหยุดชะงักกลางอากาศแทบจะในทันที ฝ่ามือซ้ายของเดนิสปรากฏก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉาน กำลังหมุนวนเป็นเกลียวและขยายขนาดขึ้นจากเดิมมันโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ก่อนจะง้างแขนไปด้านหลังและ ‘ขว้าง’ ก้อนเพลิงกระแทกใส่ศีรษะอันน่าขยะแขยงเพลิงแดงฉานแผดเผาเนื้อหนัง ศีรษะน่ารังเกียจกลายเป็นตอตะโกอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างไรก็ตาม ศีรษะบัดซบยังคงพุ่งตรงเข้าใส่โดยไม่สะทกสะท้าน ปากอ้ากว้างหมายต้องการกัดคอเดนิสให้ขาดสะบั้นเนื่องจากไม่คาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ เดนิสจึงมิอาจหดคอหลบทัน และไม่มีทางเลือกนอกจากกลิ้งไปข้างหน้าในสภาพทุลักทุเลขณะเดียวกัน บนฝ่ามือซ้ายมีกลุ่มก้อนพลังงานสีแดงผุดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มิได้ขยายออก แต่ค่อยๆ บีบอัดจนเล็กลงทีละนิดภายในเสี้ยววินาที เดนิสขว้างก้อนเพลิงสีส้มขนาดเท่าดวงตาออกไปหาอีกฝ่ายเดนิส·เพลิงพิโรธ สามารถควบคุมวิถีของลูกไฟได้ด้วยพลังวิญญาณอย่างแม่นยำ ก้อนเพลิงทรงกลมสีส้มจึงพุ่งโค้งเข้าปากศีรษะเหี่ยวย่นน่ารังเกียจโดยไม่พลาดเป้าบึ้ม!แสงสว่างส่องไปทุกทิศ แรงระเบิดมหาศาลทำให้ศีรษะน่ารังเกียจแตกกระจัดกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เลือดสดและน้ำหนองสาดกระเซ็นทั่วบริเวณจัดการได้แล้ว…!เดนิสพยุงตัวตั้งตรง พลางถอนหายใจด้วยสีหน้าผ่อนคลายมันเพิ่งตระหนักว่า สัตว์ประหลาดศีรษะมนุษย์ชนิดนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง และอสุรกายเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็จัดการได้ในพริบตาก็แค่ดวงดีมีของวิเศษเส้นทางสุริยัน… ไม่เท่าไรหรอกน่า! เฮ่อะ!เดนิสนึกเหยียดหยันขณะครุ่นคิดพลางสำรวจรอบตัว มันพบว่าเกอร์มัน·สแปร์โรว์มิได้หยุดรอตน แต่ถือไม้ค้ำและตะเกียงเดินหายเข้ากลีบหมอกไปไกลแล้ว มองเห็นเพียงชายเสื้อคลุมกระดุมสองแถวสีดำ กำลังสะบัดพัดกระพือเล็กน้อยตามแรงลมแม่เย็*! รอด้วยสิโว้ย! รอฉันก่อน!รูม่านตาเดนิสพลันหดลีบ มันรีบสับเท้าเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายให้ทัน ไม่กล้าพอจะอยู่ตามลำพังภายในสายหมอกเจือจางและบรรยากาศมืดสลัว…ณ ภัตตาคารมะนาวดอนน่ามองไปยังจานกระเบื้องเคลือบสีขาวด้านหน้าตน ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองก้อนเลือดต้มสีแดงเข้ม พลางหวนนึกถึงเลือดจากคอซอมบี้ไร้หัว และริมฝีปากสีแดงฉ่ำตัดกับผิวพรรณอันขาวซีดของลูกค้าคนอื่นในร้านลำคอของเด็กสาวขย้อนจนเกือบอาเจียนดอนน่าตัดสินใจไม่ลิ้มลองอาหารรสเลิศ แม้ว่ากลิ่นตรงหน้าจะเย้ายวนอย่างมากก็ตามเธอเพียงกินสลัดและมันฝรั่งบดแบบไม่คิดอะไรมาก รอให้ลมพายุด้านนอกสงบลงทุกวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้ายิ่งกระแสเวลาไหลผ่าน ลูกค้าโต๊ะอื่นก็เริ่มทยอยเดินลงจากชั้นสอง ภายในห้องจึงว่างเปล่ามากขึ้นทุกขณะกึก! กึก! กึก!ดอนน่าพบว่า เสียงเดินลงบันไดของพวกมันช่างไม่ระรื่นหูเอาเสียเลยเวลาผ่านไปจนกระทั่ง ต้นไม้ใหญ่ด้านนอกหยุดสั่นไหว พื้นดินถูกปกคลุมด้วยเศษเล็กเศษน้อยจากพายุ“ลมแรงหยุดแล้ว!” ดอนน่าชี้หน้าต่างด้วยอากัปกิริยาตื่นเต้นบิดาของเธอ พ่อค้าผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าและส่งออกรายใหญ่ ใช้มือก่ายหน้าผากพลางตวาดเสียงค่อย“ดอนน่า มารยาทบนโต๊ะอาหารของลูกไปไหนหมด!”“แต่ว่า…” ขณะดอนน่าคิดโต้เถียง คลีฟส์ยกมือห้ามเล็กๆ ก่อนจะลดแขนลง“ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบนาที พวกเราควรรีบรับประทานอาหารให้เสร็จและเร่งฝีเท้ากลับเรือโดยเร็ว ตำนานยามค่ำคืนของท่าเรือแบนชีนั้นค่อนข้างน่ากลัว”หากพ่อค้าคนใดสัญจรและค้าขายทางทะเลเป็นหลัก พวกมันจะไม่กล้าลบหลู่ตำนานของชนเผ่าดั้งเดิมบนเกาะเออร์ดี้ส่งเสียงครางในลำคอและพยักหน้ารับข้อเสนอของคลีฟส์ มันรีบลุกออกจากโต๊ะและพาครอบครัวเดินลงไปยังชั้นหนึ่งโดยเร็วหลังจากเออร์ดี้จ่ายเงิน คลีฟส์เตรียมเดินไปเปิดประตูภัตตาคารเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมด้านนอกทันใดนั้น เสียงเปิดประตูดังแว่วจากห้องพักซึ่งอยู่ไม่ห่างจากครอบครัวดอนน่านัก เด็กสาวเกือบกรีดร้องเสียงหลง พลางรีบจับมือน้องชายเอาไว้แน่นชายคนหนึ่งชะโงกศีรษะออกจากประตูและกล่าวอย่างสุภาพ“ช่วงนี้หมอกลงจัด พวกคุณไม่ควรออกไปข้างนอก”บุคคลดังกล่าวสวมทักซิโด้สีดำ ไม่สวมหมวก แว่นตากรอบทอง ใบหน้าค่อนข้างอ้วนท้วนสมบูรณ์“มิสเตอร์ฟ็อกซ์ คุณกำลังหมายถึงสิ่งใด” คลีฟส์ทราบทันที ว่านี่คือเจ้าของภัตตาคารมะนาวแห่งนี้ฟ็อกซ์กล่าวเสียงเรียบ“เมืองท่าแบนชีจะมีสภาพอากาศแปรปรวนอย่างมากในตอนกลางคืน ดังนั้น เราไม่ควรออกไปข้างนอกหรือตอบสนองการเคาะประตู ไม่อย่างนั้นจะพบกับเรื่องเลวร้าย”“แต่มีคนทยอยออกไปก่อนพวกเราหลายกลุ่มแล้วนะคะ!” ดอนน่าเน้นหนักเสียงดังฟ็อกซ์ชี้ไปทางประตูห้องอื่นๆ บนชั้นหนึ่ง“พวกเขาพักค้างคืนต่างหาก”แอ๊ด! ปึง! ปึง!เมื่อสิ้นเสียงฟ็อกซ์ ประตูห้องทุกบานพลันเปิดออกพร้อมกัน ดังบ้าง เบาบ้าง โดยทุกสายตาจดจ้องมายังครอบครัวดอนน่า ซึ่งเตรียมเปิดประตูเดินออกจากภัตตาคารไป“บางที เราควรเคารพธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองท่าแห่งนี้” เออร์ดี้·แบรนช์เรียบเรียงคำพูด “ถึงเราจะพักค้างสักคืน แต่ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อกำหนดการเดินเรือ”ตามประสบการณ์คลีฟส์ในสถานการณ์เช่นนี้ มันควรทำตามคำแนะนำของฟ็อกซ์อย่างว่าง่าย แต่เมื่อหวนถึงคำเตือนของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ผู้สามารถ ‘คุมประพฤติ’ เดนิส·เพลิงพิโรธได้ง่ายดาย คำเตือนจากนักผจญภัยทรงพลังถือเป็นสิ่งมีค่าและควรใส่ใจเมืองท่าแบนซีมีอันตราย… เขามิได้เจาะจงว่าภายในบ้านหรือนอกบ้าน เราต้องสมมติให้เป็นทั้งสองแบบไปก่อน…คลีฟส์ตัดสินใจฉับไวและหันไปกล่าวกับพ่อค้าส่งออกด้านข้าง“มิสเตอร์แบรนช์ ได้โปรดไว้ใจในความเป็นมืออาชีพของผม”“เห็นด้วยครับ ผมเคยได้ยินตำนานปรัมปราของชาวเกาะพื้นเมืองมามาก แต่ไม่เคยเห็นตำนานใดเป็นความจริงเลยสักครั้ง…”ทีก อีกหนึ่งบอดี้การ์ด กล่าวเห็นพ้องแต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ใครบางคนได้เคาะประตูทางเข้าภัตตาคาร พร้อมกับเสียงร้องครวญครางจากระยะไกลด้านนอก“เห็นไหม เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้ว ห้ามขานรับโดยเด็ดขาด” ฟ็อกซ์กำชับหงุดหงิดเออร์ดี้พลันยืนสั่นเทา ภายในใจเตรียมเลือกพักค้างคืนกับภัตตาคารแห่งนี้ขณะเดียวกัน ดอนน่ามองไปยังสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ยังคงจ้องมองมาทางตน และพบว่าสายตาของพวกมันค่อนข้างประหลาด“ไม่! พวกเราต้องรีบกลับเรือ!” ดอนน่าเน้นเสียงจนคล้ายตะโกนระหว่างนั้น คลีฟส์เริ่มสัมผัสถึงลมหนาวเย็นจับใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกมันเน้นย้ำความเห็นของตัวเองอีกครั้ง“หากเกิดปัญหาใดขึ้น การอยู่บนเรือจะปลอดภัยกว่าในเมืองท่าแน่นอน เพราะมีทั้งปืนใหญ่และลูกเรือเป็นจำนวนมาก”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เออร์ดี้ตัดสินใจยอมกลับเรือแต่โดยดี พร้อมกับทำสัญญาณมือบอกให้คลีฟส์เปิดประตูตรวจสอบเสียงเคาะคลีฟส์ยืนรอให้เสียงเคาะประตูเบาลง จึงค่อยใช้มือข้างหนึ่งจับลูกบิด และอีกข้างถือลูกโม่ดัดแปลงหลังจากบิดเปิดประตู พวกมันพบว่า เสียงคำรามของสายลมด้านนอกเบาลงจากตอนแรกค่อนข้างมาก ด้วยบรรยากาศมืดสนิทและสายหมอกรายล้อม มอบความรู้สึกคล้ายกับด้านนอกมีสัตว์ประหลาดดุร้ายซุกซ่อนอยู่ดอนน่าพาแดนตัน น้องชายของตน ไปยืนหลบด้านหลังเซซิล และค่อยๆ เดินออกจากภัตตาคารทีละก้าวอย่างระมัดระวังโครม!ประตูภัตตาคารปิดไล่หลังเสียงดังโครมคราม ราวกับปิดตายมิให้ผู้ใดกลับเข้าไปด้านใดได้อีกเลยณ เวลานี้ พวกมันเปรียบดังเรือกำลังแล่นท่ามกลางฝ่าพายุฝนฟ้าคะนองตามลำพัง ราวกับโลกนี้ไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้วขณะคลีฟส์เดินนำหน้าทุกคนด้วยตะเกียงเทียนไขในมือ มันเห็นบางสิ่งลอยไปในอากาศก่อนจะตกลงพื้นและกลิ้งสองสามตลบดอนน่าและคนอื่นต่างหันไปมองตามสัญชาตญาณ และได้พบกับฉากสุดระทึกขวัญเหนือคำบรรยายศีรษะมนุษย์เหี่ยวย่น!ทันใดนั้น พวกมันมองเห็นแสงสว่างส่องลงมาจากเบื้องบนแสงทำการชำระล้างให้ศีรษะน่ารังเกียจเลือนหายไปโดยไม่เหลือแม้แต่เศษซาก“นี่มัน…” เออร์ดี้กลืนน้ำลายคำใหญ่ ร่างกายกำลังสั่นเทาอย่างมิอาจหักห้ามถัดมา พวกมันเริ่มมองเห็นแสงสีเหลืองนวลจากตะเกียงของใครบางคน ส่องตัดผ่านสายหมอกเจือจางเข้ามาใกล้ขึ้นทุกขณะอีกฝ่ายถือตะเกียงสีเหลือง ถือไม้ค้ำสีดำ สวมหมวกทรงกึ่งสูง เสื้อโค้ทกระดุมสองแถว ใบหน้าเผยความเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์“ลุงสแปร์โรว์!” ดอนน่ากับแดนตันตะโกนเรียกพร้อมกันเด็กทั้งสองรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันทีไคลน์โยนตะเกียงไปทางเดนิสด้านข้าง และย่างกรายเข้าใกล้ทุกคนด้วยไม้ค้ำชายหนุ่มกล่าวด้วยมาดสุขุม“แวะสำนักงานโทรเลขก่อน แล้วครอบครัวดิเมอดอร์อยู่ไหน”……………………
คอมเม้นต์