ราชันเร้นลับ 483 : ตัวตนใหม่
ท้องฟ้าด้านนอกกำลังมืดครึ้ม แต่คราวนี้มิได้เกิดจากหมอกทะมึนซึ่งไคลน์เคยชินเป็นประจำคลื่นทะเลซัดสาดเข้าหาชายฝั่ง สายลมเย็นพัดพัดพาหมอกควันบนท้องฟ้าให้กระจัดกระจายกลายเป็นเมฆรูปทรงต่าง ๆ พวกมันยิ่งโดดเด่นกว่าปรกติเมื่อแสงอาทิตย์สีทองส้มคอยเฉิดฉายเป็นฉากหลังท่าเรือพริสต์ ท่าเรือน้ำลึกซึ่งมีอาณาเขตและความวุ่นวายสูงสุดในอาณาจักรโลเอ็นสวมเสื้อกั๊กสีอ่อนและเชิ้ตขาว ไคลน์ยืนข้างหน้าต่างพลางจ้องออกไปทัศนาโลกด้านนอกเป็นเวลานาน จนกระทั่งนาฬิกาพกดึงความสนใจกลับมายังโต๊ะไม้มะฮอกกานีท่ามกลางความอบอุ่นจากเตาผิง ชายหนุ่มหยิบปากกาหมึกซึมสีดำขึ้นมาถือ พร้อมกับคลี่กระดาษจดหมายและเขียนบางสิ่งลงไปถึงมิสเตอร์อะซิกขออภัยกับการไม่ได้เขียนจดหมายไปหาในช่วงหลายวันมานี้ ผมต้องตระเวนไปยังจุดต่าง ๆ ของเบ็คลันด์เพื่อซึมซับบรรยากาศและอารมณ์จากโศกนาฏกรรมของเมืองใหญ่ระหว่างทาง ผมได้ตระหนักว่า หากเราสองคนเป็นเพียงมนุษย์ปรกติ บางทีอาจต้องกลายเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ถูกผ้าขาวคลุมร่าง ถูกลำเลียงศพไปเผาจนเหลือเพียงเถ้ากระดูก และกล่องกระดูกของพวกเราก็จะถูกเก็บใส่ตู้วางเรียงไว้ปะปนกับคนอื่น…ผมรอสักพักจนกระทั่งเล็งเห็นโอกาสในการกลับไปเอาสิ่งของสำคัญกลับมาจากบ้าน หนึ่งในนั้นคือไพ่เย้ยเทพตามคำบอกเล่าก่อนหน้า และยังมีสิ่งของอีกหนึ่งชิ้นซึ่งผมจะแนบไปพร้อมกับจดหมาย มันคือนกหวีดทองแดงสำหรับอัญเชิญผู้สงสาร เป็นของชายวัยกลางคนผู้ลุกขึ้นมาจากหลุมศพของตัวเองผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณคงตกตะลึงเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ เพราะรายละเอียดข้างต้นฟังดูคล้ายกับตัวคุณมาก แม้แต่ผมเองก็ยังประหลาดใจไม่น้อยเรื่องราวมีอยู่ว่า……ผมจึงสงสัยว่า เจ้าของนกหวีดจะต้องเป็นสมาชิกนิกายวิญญาณซึ่งพยายามคืนชีพเทพมรณา ยิ่งไปกว่านั้น ระดับของเขาต้องไม่ต่ำแน่ บางที คุณอาจระบุตัวตนอีกฝ่ายได้ทันทีหลังจากตรวจสอบนกหวีดเสร็จ…ก่อนออกจากเบ็คลันด์ ผมจะเขียนจดหมายไปหาจิตแห่งจักรกลพร้อมกับเล่าถึงอาคารใต้ดินขนาดใหญ่ซึ่งถูกใช้เป็นสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างคุณกับอินซ์·แซงวิลล์ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะพบเบาะแสเพิ่มเติมจากในตอนแรก รวมไปถึงความจริงเบื้องหลังแผนการของพวกมันด้วยหลังจากทดสอบทั้งทางตรงและทางอ้อม ผมสามารถยืนยันได้ว่า จิตแห่งจักรกลมิได้คิดร้ายต่อคุณ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้แน่หากคุณมีปัญหา บางที การติดต่อพวกเขาอาจไม่ใช่เรื่องเสียหายสุดท้ายนี้ ผมยังมีอีกหนึ่งคำถาม คุณพอจะทราบถึงวิธีลบการปนเปื้อนของตะกอนพลังแบบแข็งตัวหรือไม่ มันถูกปนเปื้อนจากถ้อยคำกัดกร่อนจนไม่สามารถใช้การได้…ผมกำลังจะออกทะเล ขออวยพรให้การเดินทางตามหาความทรงจำของคุณประสบผลสำเร็จอย่างราบรื่น รวมถึงการเดินทางของผมด้วยเช่นกันศิษย์และมิตรสหายของคุณไคลน์·โมเร็ตติหลังจากวางปากกาลงและอ่านทวนซ้ำอีกหนึ่งรอบ ไคลน์พับกระดาษจดหมายยัดใส่ซองสีขาวพร้อมกับไพ่จักรพรรดิมืดและนกหวีดทองแดงของผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกนิกายวิญญาณเมื่อจัดแจงทุกสิ่งเสร็จสรรพ ชายหนุ่มหยิบนกหวีดของอะซิกขึ้นมาเป่าผู้ส่งสารยังคงเป็นโครงกระดูกสีขาวสูงสี่เมตรเช่นเดิม เบ้าตาทั้งสองข้างมีเปลวไฟสีดำลุกโชน ทว่า สัมผัสวิญญาณของไคลน์ระบุได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นคนละตัวจากปรกติชายหนุ่มแอบถอนหายใจ พลางเหยียดแขนข้างถือจดหมายวางบนฝ่ามือผู้ส่งสารโครงกระดูกยักษ์ก้มศีรษะลงเพื่อให้พ้นจากขอบเพดาน สายตาจ้องมองใบหน้าของคนส่งจดหมายทันใดนั้น มันรีบคว้าซองกระดาษสีขาวและสลายตัวเป็นโครงกระดูกจมลงไปในดินได้เห็นภาพดังกล่าว ไคลน์กระทบกรามขวาแผ่วเบาเพื่อปิดการใช้งานเนตรวิญญาณสายตากลับมาเพ่งมองบนโต๊ะซึ่งมีบัตรยืนยันตัวตนสีเหลืองซีดวางอยู่ นี่คือสิ่งของสำคัญสำหรับใช้ซื้อบัตรโดยสารเรือเดินสมุทรกว่าจะได้มา ไคลน์ต้องเดินทางไปพบมาดามชารอนเป็นการส่วนตัว ไหว้วานให้เธอจ้างใครสักคนภายในชุมนุม ทำตัวตนปลอมพร้อมกับเอกสารขึ้นมาบุคลิกใหม่ของไคลน์คือนักล่าค่าหัวจิตใจอำมหิตโหดเหี้ยม ผู้ต้องการผจญภัยในทะเลเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยและตามความต้องการของไคลน์ ชายคนนี้มีชื่อเต็มว่า :เกอร์มัน·สแปร์โรว์“นักล่าจิตใจอำมหิต…” ไคลน์พึมพำพลางวางเอกสารเกี่ยวกับตัวตนใหม่ลงถัดมา มันลุกไปขึงผ้าม่านจนมิดชิดและเดินทวนเข็มถอยหลังสี่ก้าว ส่งจิตเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาอย่างราบรื่นยังเหลือเวลาอีกสักพักก่อนชุมนุมทาโรต์จะเริ่มขึ้น ไคลน์จึงหยิบยุบพองหิวโหยขึ้นมาสวมทดสอบหลับตาลง มันพยายามสัมผัสถึงทุกดวงวิญญาณมายาอันบิดเบี้ยวภายใน จุดประสงค์เพื่อค้นหาผู้ไร้หน้าและปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระถ้าเป็นโลกความจริง ยุบพองหิวโหยคงจัดการเขมือบดวงวิญญาณอย่างเอร็ดอร่อยไปนานแล้ว จากนั้นจึงถุยตะกอนพลังออกมาแต่เมื่ออยู่บนห้วงมิติเหนือสายหมอก มันกลับว่านอนสอนง่ายและไม่ทำตัวเอาแต่ใจ ยอมปล่อยให้วิญญาณของผู้ไร้หน้าออกมาล่องลอยใกล้กับโต๊ะทองแดงยาวข้างไคลน์อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าพร่ามัว สีหน้าอันเจ็บปวดและโกรธเคืองบรรเทาลงจากหลายวันก่อนเล็กน้อยด้วยท่าทางตะกุกตะกัก มันพยายามโค้งศีรษะให้ไคลน์ ผู้กำลังเอนกายพิงเก้าอี้พนักสูงของมุมโต๊ะขณะเดียวกัน ความเข้มข้นของร่างวิญญาณมายาเริ่มซีดจางอย่างเห็นได้ชัด ประหนึ่งพร้อมเลือนหายไปจากห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาได้ทุกเมื่อท่ามกลางวังโบราณ ไคลน์สามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านพิธีกรรมให้ซับซ้อน เพียงแผ่พลังวิญญาณเข้าไปสัมผัสกับร่างวิญญาณและซักถามเสียงขรึม“เจ้าพอจะทราบหรือไม่ ว่าเราสามารถหานางเงือกตัวเป็น ๆ ได้จากไหนบ้าง”ผู้ไร้หน้าตอบเสียงล่องลอย“ถ้าไม่นับนางเงือกในโบสถ์รัตติกาล ทางเดียวในการหานางเงือกแบบมีชีวิตก็คือ ต้องล่องเรือจากหมู่เกาะการ์กัสไปยังทะเลโซเนียอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ติดต่อกัน นั่นคือจุดหมายปลายทางเดิมของผม”เขาคือผู้ไร้หน้าซึ่งกำลังจะเลื่อนลำดับ…เพื่อให้ได้พบนางเงือก จึงยอมเสี่ยงออกทะเลแสนอันตราย แต่โชคไม่ดีนัก ด้วยเหตุผลบางประการ เขาถูกพลเรือโทคีลิงเกอร์สังหารและนำวิญญาณมากักขังในถุงมือ…โบสถ์รัตติกาลเลี้ยงนางเงือกไว้ด้วยหรือ…หลังจากกระจ่าง ไคลน์ซักถามต่อ“เจ้าทำงานรับใช้องค์กรใด หรือได้รับสูตรโอสถมาจากใคร”ชายใบหน้าพร่ามัวพลันยืนตัวสั่น ตามด้วยการเว้นวรรคสองวินาทีจึงค่อยเล่า“ลัทธิเร้นลับ”ลัทธิเร้นลับ? องค์กรใหญ่ระดับนั้น แถมยังครอบครองเส้นทางนักทำนายเป็นหลัก แต่กลับไม่มีนางเงือกเป็นของตัวเอง…?ไคลน์ซักถามหลังจากครุ่นคิด“เคยพบหัวหน้าของเจ้าไหม เราหมายถึงซาราธ”วิญญาณมายาของผู้ไร้หน้าพลันเงียบงันเป็นเวลานาน ก่อนจะแผดเสียงแหลมเล็กเจือความสั่นกลัว“เคยสิ! ช…ชายคนนั้นไม่ปรกติ! เขาเป็นสัตว์ประหลาดอมตะ!” ขณะเล่าความ ร่างกายของผู้ไร้หน้าค่อย ๆ จางลงทีละนิด ราวกับพร้อมหายไปได้ทุกเมื่อนึกแล้วเชียว… ซาราธยังมีชีวิตอยู่!แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมสมาชิกของลัทธิเร้นลับถึงหวาดกลัวมันนัก? ไม่สิ หรือเราควรใช้สรรพนามนำหน้าว่า ‘ท่าน’ แทน?ไคลน์ซักถามในประเด็นสำคัญอื่นต่อไป“นอกจากสมบัติของตระกูลอันทีโกนัสในความครอบครองของลัทธิเร้นลับแล้ว เราจะหาสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายได้จากไหนอีก”ขณะร่างกายผู้ไร้หน้าใกล้เลือนหายเต็มที มันเปล่งเสียงมอบคำตอบอย่างล่องลอย“โบสถ์รัตติกาล… มหาวิหารสุขสงบ…”วิหารศักดิ์สิทธิ์…ไคลน์ทวนคำพลางนั่งจ้องวิญญาณของผู้ไร้หน้าได้รับอิสรภาพอันเป็นนิรันดร์วิหารสุขสงบคือศูนย์บัญชาการใหญ่ของโบสถ์รัตติกาล บรรดาเหยี่ยวราตรีต่างเรียกกันว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ภายในนั้นมีสูตรโอสถลำดับสูงของเส้นทางนักทำนายถูกเก็บรักษาไว้… ชักอยากรู้แล้วว่า แต่ละโบสถ์ซ่อนความลับแบบไหนไว้ในศูนย์บัญชาการใหญ่ของตัวเองบ้าง…ไคลน์ถอนหายใจพลางปล่อยให้ของเหลวลักษณะคล้ายกาวหนืดสีเขียวเข้ม ไหลจากหลังมือข้างสวมยุบพองหิวโหย ลงไปบนโต๊ะทองแดงยาวไม่กี่วินาทีถัดมา ตะกอนพลังของผู้ไร้หน้าเริ่มก่อตัวเป็นวัตถุดิบโปร่งใสลักษณะคล้ายเยลลีสีเขียวเข้ม บนผิวเยลลีปรากฏใบหน้าอันไม่ชัดเจนจำนวนมาก สลับกันโผล่ออกมาอย่างต่อเนื่องและไม่ซ้ำ ราวกับการนำผ้าสีดำไปคลุมบนใบหน้ามนุษย์หลายคนหลังจากจ้องมองจนพอใจ ไคลน์พึมพำคงต้องให้เดอะเวิร์ลนำตะกอนพลังของผู้ไร้หน้าไปฝากมิสเตอร์แฮงแมนขายต่อ จะเป็นช่างฝีมือหรือผู้วิเศษก็ได้…จริงอยู่ ไคลน์สามารถหาช่องโหว่ของการตรวจตรารอบบ้านหมายเลข 15 ถนนมินส์ได้ด้วยพลังทำนาย แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดกลับไปเก็บข้าวของจากบ้านหลังดังกล่าวอยู่ดี เพราะนั่นจะไปกระตุ้นความสนใจจากหน่วยพิเศษชายหนุ่มจึงตัดสินใจใช้เงินก้อนสุดท้ายซื้อเสื้อผ้าสำหรับสับเปลี่ยนท่ามกลางท้องทะเล รวมถึงของจำเป็นอื่น ๆ อีกหลายชนิดมูลค่าโดยรวมของสัมภาระติดตัวชุดใหม่จึงเท่ากับสิบสองปอนด์ถ้วน เมื่อนับรวมอีกแปดปอนด์ค่าทำบัตรยืนยันตัวตนปลอม กระเป๋าสตางค์ของไคลน์จึงบางเฉียบราวกับไม่มีอะไรใส่อยู่ด้านในในส่วนของหุ้นบริษัทจักรยานจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ ไคลน์หาโอกาสแอบไปพบไอเซนการ์ด·สแตนธอนและทำสัญญามอบให้อีกฝ่ายบริหารจัดการหุ้นแทนอย่างอิสระ โดยความสัมพันธ์ของคนทั้งสองมิได้เป็นความลับในสายตาเหยี่ยวราตรีหรือจิตแห่งจักรกลอยู่แล้วเราเหลือเงินสดห้าปอนด์และเหรียญทองปอนด์อีกห้าเหรียญ… ค่าเดินทางไปยังหมู่เกาะรอสต์คงไม่ต่ำกว่าสี่ปอนด์ และนั่นเป็นเพียงบัตรโดยสารชั้นสามแสนแออัดคับแคบ…ไม่เพียงเท่านั้น เรายังต้องใช้อีกสี่ปอนด์เพื่อเดินทางจากหมู่เกาะรอสต์ไปยังหมู่เกาะการ์กัส…คงต้องรีบขายตะกอนพลังผู้ไร้หน้าโดยด่วน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีโอกาสได้โดยสารเรือเดินสมุทรชั้นสองและกินอาหารคุณภาพสูง…โชคยังดี เป็นเพราะกระเป๋าเดินทางหนังของเอ็มลินถูกเก็บไว้บนห้วงมิติสายหมอกเทามาตลอด เราจึงไม่ต้องหาซื้อใบใหม่…ไคลน์ก้มหน้าวางแผนการใช้เงินของตนอย่างละเอียด โดยกำลังกังวลว่าตนจะกลับไปยาจกเหมือนกับสมัยเพิ่งเดินทางข้ามโลกมาหมาด ๆ ตอนนั้นต้องอาศัยเงินเดือนอันน้อยนิดของเหยี่ยวราตรีเพื่อประทังครอบครัวและซื้อเสื้อตัวใหม่ตามปรกติแล้ว ตะกอนพลังโอสถลำดับ 6 จะมีมูลค่าราวสามพันถึงสี่พันปอนด์ แต่ถ้าได้พบคนต้องการ ก็สามารถขายได้ในราคาสูงกว่าเดิมเล็กน้อย…นอกจากค่าครองชีพหลัก เรายังต้องคำนึงถึงวัตถุดิบโอสถนักเชิดหุ่น และยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการประกอบพิธีกรรมสำหรับลบจิตกัดกร่อนออกจากดวงตาดำล้วน…ไคลน์ถอนหายใจยาวพลางนำนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลาเมื่อเห็นว่าใกล้บ่ายสาม ชายหนุ่มส่งเสียงบอกให้เดอะซันเตรียมตัวให้พร้อม…หลังจากทัศนวิสัยของฟอร์สกลับมาเป็นปรกติ เธอเริ่มมองเห็นร่างของสามบุคคลบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามสมาชิกใหม่…?เธอครุ่นคิดด้วยจิตใจไม่ตื่นตระหนกสำหรับปัจจุบัน หญิงสาวมิได้ใส่ใจการเพิ่มเข้ามาของสมาชิกใหม่ชุมนุมทาโรต์มากนัก เพียงจดจ่ออยู่กับเรื่องราวในกรุงเบ็คลันด์เมื่อสัปดาห์ก่อนฟอร์สยังจำได้อย่างชัดเจนว่า มิสเตอร์เวิร์ลเตือนให้มิสจัสติสและตนระวังตัว เหตุการณ์อาจร้ายแรงถึงขั้นเป็นโศกนาฏกรรมทางด้านมิสเตอร์ฟูลก็มิได้โต้แย้ง แถมยังบอกอีกว่า ต้นตอของปัญหามาจากองค์ชายเอ็ดซัค·ออกัสตัสเธอมิได้เคลือบแคลงในตัวมิสเตอร์ฟูล เพียงแต่เข้าใจว่า สถานการณ์รุนแรงย่อมต้องเกิดจากการสั่งสมปัญหาสักระยะ ระหว่างนั้นจึงยังพอมีเวลาสืบสวนหาเบาะแสให้เห็นเค้าลาง แต่ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างปุบปับภายในสัปดาห์เดียวเช่นนี้!แถมองค์ชายเอ็ดซัคก็ถูกรายงานว่าเสียชีวิตภายในหมอกพิษอย่างน่าเศร้า…คำพูดของท่านเป็นจริงทั้งหมด…ท่านทราบล่วงหน้า!หญิงสาวทบทวนเนื้อหาบนหนังสือพิมพ์ฉบับไม่กี่วันก่อน เธอเข้าใจในบางเรื่อง แต่ก็ไม่ทั้งหมด และยังมีบางจุดไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ปัจจุบันจึงเกิดความกระสับกระส่ายและหวาดหวั่นแม้จะเป็นแค่ผู้วิเศษลำดับ 9 แต่เรากลับมีโอกาสทราบล่วงหน้าถึงเหตุการณ์ใหญ่ระดับภัยพิบัติ รวมไปถึงการเสียชีวิตขององค์ชายเอ็ดซัคและการจากไปของชาวเมืองนับหมื่น…ทั้งหมดเพียงเพราะเราคือสมาชิกของชุมนุมทาโรต์!ฟอร์ส เมจิกเชี่ยน กำลังตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นสมาชิกชุมนุมทาโรต์ถัดมาไม่นาน หญิงสาวได้ยินเสียงทักทายจากมิสจัสติสตามปรกติ เพียงแต่วันนี้ขาดความเบิกบานไปสักเล็กน้อย“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ฟูล ท่านช่วยกรุงเบ็คลันด์ไว้ได้อีกแล้วนะคะ”หือ… อะไรนะ…?เราเคยถูกช่วยไว้ตั้งแต่เมื่อไร…เดอะมูน เอ็มลิน นั่งฟังด้วยสีหน้าฉงน……………………
คอมเม้นต์