ราชันเร้นลับ 465 : ความมุ่งมั่นของเอ็มลิน
เมื่อนั่งฟังอย่างตั้งใจสักพัก ไคลน์ประสานมือพลางเอนตัวไปด้านหน้า“เกี่ยวกับเดอะฟูลยังไง?”“ข้าพูดมากกว่านี้ไม่ได้” เอ็มลินส่ายหน้าด้วยความกังวลว่าอีกฝ่ายอาจระแคะระคาย ไคลน์ตัดสินใจไม่ซักไซ้ เพียงวิเคราะห์ข้อมูลอย่างผิวเผินตามคำบอกเล่าของเอ็มลินเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดอะฟูล… ช่วยให้เอ็มลินหลุดพ้นจากปัญหา… มีความเสี่ยงสูง…เมื่อลองนำปัจจัยทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน ดูเหมือนว่าเอ็มลินจะเตรียมประกอบพิธีกรรมวิงวอนถึงเดอะฟูล จุดประสงค์เพื่อขจัดการชี้นำทางใจของหลวงพ่อยูทรอฟสกี้…แต่เอ็มลินมิได้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรมด้วยตัวเอง ยังมี ‘คนใหญ่คนโต’ คอยให้คำปรึกษาอยู่เบื้องหลัง… เมื่อประเมินว่าแวมไพร์ทระนงตนอย่างเอ็มลินไม่ชื่นชมใครส่งเดช มีโอกาสเป็นไปได้มากว่า คนใหญ่คนโตดังกล่าวคือสิ่งมีชีวิตระดับครึ่งเทพของเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือด…แล้วทำไมสมาชิกคนสำคัญของผีดูดเลือด ถึงต้องการให้ทายาทอ่อนแออย่างเอ็มลิน เป็นตัวแทนสวดภาวนาถึงเดอะฟูล…? พวกมันกำลังร่วมมือกับชุมนุมแสงเหนืออยู่รึไง…ไคลน์ยังคงสับสน มันนั่งจ้องหน้าเอ็มลินสักพัก ก่อนจะรำพันติดตลกคิดว่าฉันจะยอมให้ความฝันของนายเป็นจริงได้ง่ายขนาดนั้นเชียว?ชายหนุ่มก้มหน้าลังเลราวสองวินาที และตัดสินใจยังไม่มอบคำแนะนำ เพียงทดสอบโน้มน้าวเบื้องต้น“ในทางสถิติ การสวดวิงวอนถึงตัวตนลึกลับโดยไม่มีข้อมูลมาก่อน… สามสิบจากหนึ่งร้อยรายจะไม่ได้รับการตอบสนอง หกสิบแปดรายต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายจนถึงแก่ความตาย หรือไม่ก็แย่กว่านั้น มีเพียงสองรายที่ประสบความสำเร็จ ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ แต่ก็ต้องยอมจ่ายในราคาแสนแพงเช่นกัน”จากการเป็นนักรบคีย์บอร์ดสมัยโลกเก่า ชายหนุ่มทราบเป็นอย่างดีกว่า หากมีการถกเถียงหาข้อสรุป ฝ่ายใดมีสถิติในเชิงตัวเลขมาแสดงให้เห็น จะสร้างความเชื่อถือได้มากกว่าอีกฝั่งหลายเท่า สิ่งนี้คือลูกไม้ตุกติกเล็กน้อยในการสร้างความได้เปรียบขณะสนทนา และส่วนมากมักมาพร้อมวลียอดนิยมอย่าง ‘เพื่อนให้เล่าฟัง’ ‘ฟังมาอีกที’ หรือไม่ก็ ‘ข้อมูลจากคนวงใน’เพื่อจะโน้มน้าวเอ็มลินให้คล้อยตาม ไคลน์จำเป็นต้องกุสถิติขึ้นมาอ้างให้สมจริงอย่างไรก็ตาม ข้อมูลเมื่อครู่มิได้เลื่อนลอยเสียทั้งหมด เป็นการอ้างอิงสถิติจากเอกสารลับสมัยทำงานกับเหยี่ยวราตรี“สำเร็จแค่สองรายเองหรือ… แถมยังเกิดปัญหามากถึงหกสิบแปดราย?” เอ็มลินพลันสั่นเทา มันอดเลื่อนมือขึ้นมาสางผมไม่ได้“นั่นคือค่าพื้นฐาน ยังมีปัจจัยด้านเหตุผลในการสวดวิงวอนรวมอยู่ด้วย หากนายมีเจตนาร้าย โอกาสประสบเคราะห์กรรมก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมาก”ไคลน์ตอบกลับด้วยสีหน้า ‘จริงใจ’เอ็มลินรีบส่ายหัว“ไม่ใช่ ข้าไม่มีเจตนาร้าย ถ…แถมคนใหญ่คนโตยังรับปากว่าจะคอยปกป้องขณะประกอบพิธีกรรม”ไม่มีเจตนาร้าย? หืม… ต่อให้นายไม่มีเจตนาร้าย แต่คนข้างหลังนายก็ไม่แน่…เหนือสิ่งอื่นใด เอ็มลินเป็นเพียงทหารเลวในแนวหน้าซึ่งแม่ทัพส่งมาตายชุดแรกเพื่อหยั่งเชิง…ไคลน์ยกมือขวาขึ้นพร้อมกับออกท่าทางเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คำพูด“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ความเสี่ยงก็จะลดลงมาก แต่ยังไม่กลายเป็นศูนย์อยู่ดี แล้วก็… คนใหญ่คนโตของคุณ เตรียมรับมืออันตรายจากตัวตนลึกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่หรือ”“ก็… คงไม่” เอ็มลินตอบตะกุกตะกัก“ถ้าอย่างนั้น…” ไคลน์ผายมือตามด้วยการเผยรอยยิ้ม“เอ็มลิน คุณไม่จำเป็นต้องนำตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลยสักนิด ถึงจะกลายเป็นสาวกของโบสถ์พระแม่ธรณีแล้วยังไง ชีวิตคุณก็ไม่ได้แย่ลงสักหน่อย ดูตัวอย่างได้จากชาวเมืองเฟเนพ็อต พวกเขายังสามารถกิน ดื่ม เที่ยว แต่งตัวได้ตามปรกติไม่ใช่หรือ เมื่อวันนั้นมาถึง ผมเชื่อว่าหลวงพ่อยูทรอฟสกี้จะเลิกบังคับให้คุณไปช่วยงานในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอิสรภาพ และเหนือสิ่งอื่นใด ผมเชื่อว่าคุณคงศึกษาตำราไปพอสมควรแล้ว คงตระหนักได้ว่าคำสอนของโบสถ์พระแม่มิได้เลวร้ายขนาดนั้น”เอ็มลิน·ไวท์ทำหน้าเคร่งเครียดสักพัก“การเป็นสาวกของท่านเพราะศรัทธาในคำสอนและความเชื่อ ไม่เหมือนกับการเป็นสาวกเพราะถูกบังคับด้วยการชี้นำทางใจ… แม้ว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะทอดทิ้งจันทราและหันไปนับถือพระแม่ธรณี แต่ก็หวังว่านั่นจะเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง มิใช่เพราะถูกปัจจัยภายนอกรบเร้า นี่เป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายของผีดูดเลือดอันสูงส่ง”ไคลน์จ้องเอ็มลินด้วยสีหน้าประหลาดใจเป็นเวลานาน ชายหนุ่มคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยึดมั่นเช่นนี้หลังจากครุ่นคิดสองสามวินาที ชายหนุ่มตัดสินใจเลิกโน้มน้าวเอ็มลิน ทำเพียง ‘หึ’ ในลำคอและกล่าวต่อ“ปัญหาไม่ซับซ้อน อุปสรรคสุดท้ายคือความกล้าของคุณ เพราะในเมื่อเป็นคำสั่งจากคนใหญ่คนโต รวมถึงเป็นความต้องการจะขจัดการชี้นำทางใจของตัวเอง ไม่ว่าอย่างไร คุณก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก ‘ทำ’ คำถามก็คือ คุณกล้าเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับอนาคตอันสดใสหรือไม่ สำหรับเรื่องนี้ ไม่มีใครตอบคำถามได้ดีกว่าตัวคุณอีกแล้ว”เอ็มลินนั่งฟังด้วยสีหน้าดำมืด พลางใช้น้ำเสียงเชิงโต้แย้ง“เจ้ากำลังเข้าใจผิด หากข้าเลือก ‘ทำ’ ประโยชน์จะไม่ได้ตกอยู่กับข้าผู้เดียว แต่เป็นเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทั้งหมด! การขจัดปัญหาส่วนตัวเป็นเพียงผลพลอยได้ผิวเผินเท่านั้น!”เพื่อช่วยเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดทั้งหมด? เดอะฟูลเก๊อย่างเราจะช่วยอะไรผีดูดเลือดได้…ไม่ผิดแน่ คนใหญ่คนโตคงกำลังหลอกใช้นายด้วยจุดประสงค์บางอย่าง…ไคลน์เย้ยหยัน“แล้วทำไมคุณถึงยอมเชื่อว่า ลำพังแวมไพร์หนุ่มอ่อนแอตนหนึ่ง จะเปลี่ยนโชคชะตาของทั้งเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จ”“ผีดูดเลือด! ผีดูดเลือด!” เอ็มลินเน้นเสียงหนักแน่น “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ได้อ่อนแอ! พลังของข้าเทียบเท่ามนุษย์ผู้วิเศษลำดับ 7 แถมยังเป็นเส้นทางเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้!“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เชิญ ข้าไม่สน”แวมไพร์หนุ่มลุกขึ้นยืนและกล่าวส่งท้าย“แม้ว่าคำแนะนำของเจ้าจะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็คงต้องกล่าวขอบคุณ แล้วก็… สำหรับค่าปรึกษา หักเอาจากกระเป๋าเดินทางและกล่องดีบุกของข้าก็แล้วกัน”“หือ…?” ไคลน์คิดตามไม่ทันในตอนแรกจนกระทั่งเอ็มลินเดินออกจากบ้าน ชายหนุ่มจึงค่อยตระหนักได้เมื่อสายโดยทั่วไปแล้ว ภาชนะบรรจุสินค้าระหว่างการแลกเปลี่ยนต้องไม่ถูกคิดเงินไม่ใช่หรือ…ไอ้แวมไพร์บัดซบ!…ท่ามกลางความมืดมิดซึ่งระลอกสายฟ้ายังหวนกลับมาไม่ถึง ทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์เดินทางมาถึงบริเวณด้านหน้าซากปรักหักพังวิหารอย่าง ‘ตรงเวลา’เดอร์ริคยังจำได้แม่นยำ ในภารกิจสำรวจครั้งแรก ตะเกียงหนังสัตว์ในมือทุกคนเกิดดับลงกะทันหัน ความมืดแผ่ปกคลุมบรรยากาศอย่างเข้มข้น มาพร้อมกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเด็กเล็กอันน่าขนลุกหลังจากปรึกษากับสมาชิกชุมนุมทาโรต์และได้ข้อสันนิษฐานว่า เหตุการณ์รอบตัวทีมสำรวจน่าจะเกิดจาก ‘วังวันกระแสเวลา’ และถ้าเดาไม่ผิด บริเวณแถบนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดังกล่าว… แต่ทำไมเราถึงลืมตาตื่นในค่ายพัก ไม่ใช่ตรงนี้?ขณะทบทวนข้อมูลจากชุมนุมทาโรต์ เด็กหนุ่มตัดสินใจประสานมือใต้จมูกพร้อมกับสวดภาวนาตามคำแนะนำของแฮงแมนแสงสีขาวบริสุทธิ์พลันสว่างออกจากลำตัวเดอร์ริค ส่งผลให้โจชัวและสมาชิกคนอื่นต่างรีบตั้งท่าเตรียมต่อสู้“เกิดอะไรขึ้น?” นักล่าปีศาจโคลินซักถามเสียงทุ้มเดอร์ริคเหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้า ‘ตื่นตระหนก’ ก่อนจะรีบรายงาน“ท่านเจ้าเมือง ผมได้ยินเสียงเด็กร้องว่า ‘ช่วยด้วย… ช่วยด้วย…’ ”มันต้องการทดสอบให้แน่ใจว่า บริเวณจะใช่ ‘กุญแจ’ หรือไม่“ยังได้ยินอยู่ไหม” โคลินขมวดคิ้วถาม“ไม่แล้วครับ” เดอร์ริคพยายามเงี่ยหูฟังและมอบคำตอบอย่างฉะฉานนักล่าปีศาจโคลินชำเลืองไปทางโจชัวและคนอื่นพร้อมกับซักถาม“มีใครได้ยินอีกไหม”“ไม่ครับ” ทีมสำรวจส่ายหน้าพร้อมกันหลังจากครุ่นคิดหลายสิบวินาที โคลินตัดสินใจหยิบขวดสีน้ำเงินเข้มออกจากช่องเข็มขัด พร้อมกับเคลือบของเหลวเหนียวหนืดปราศจากสี ลงบนคมดาบจากนั้นก็เสียบดาบลงพื้นเพียงพริบตา ท้องฟ้าพลันสว่างไสวไปด้วยริ้วแสงสีเทาเข้มข้น ‘อสรพิษแสง’ สีเงินจำนวนมหาศาล พุ่งออกจากใบดาบและเลื้อยขดเป็นเกลียว กระจายตัวไปยังทุกซอกมุมแสงสีเงินแผ่โอบล้อมสมาชิกทุกคนอย่างทั่วถึง ทิวทัศน์รอบตัวกำลังสว่างไสวราบกับความมืดมิดถูก ‘ลบ’ ออกไปอย่างสมบูรณ์ท่ามกลางเสียง ‘ฟ่อ’ อสรพิษแสงพุ่งหายไปในความว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าปลายทางคือแห่งหนใดเหตุการณ์จบลงอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงแสงสลัวจากตะเกียงหนังสัตว์ คอยมอบความสว่างให้ทีมสำรวจโคลินหรี่ตาลง ท่าทางคล้ายกับพยายามสัมผัสถึงตัวตนของบางสิ่งผ่านไปห้าวินาทีเต็ม เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ชี้นิ้วไปทางด้านหน้าและกล่าว“หลังจากเข้าไปข้างใน ทุกคนต้องเข้าสู่ภาวะพร้อมรบตลอดเวลา ห้ามประมาทหรือใจลอยโดยเด็ดขาด”พูดเหมือนเดิมไม่มีผิด… เรายังออกจากวังวนกระแสเวลาไม่ได้… จุดนี้ไม่ใช่กุญแจ…เดอร์ริคพยายามข่มสติขณะเดินตามทีมสำรวจเข้าไปในซากปรักหักพังของวิหารเนื่องจากมีบทเรียน เด็กหนุ่มไม่ก้มลงไปมองใบหน้าของเทวรูปพระผู้สร้างเสื่อมทราม โดยหลังจากสำรวจภายในห้องโถงเสร็จ เดอร์ริคอาสานำทีมลงไปสำรวจจิตรกรรมฝาผนังภายในชั้นใต้ดินด้วยท่าทางกระตือรือร้นมือข้างหนึ่งถือตะเกียง อีกข้างคือขวานเฮอร์ริเคน มันนำทางกลุ่มย่อยของตนสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างรวดเร็วหลังจากเคลื่อนตัวผ่านแนวกำแพงผุพังแผ่นแล้วแผ่นเล่า เดอร์ริคพาตัวเองมาถึงเป้าหมายได้ตามความตั้งใจสักทียิ่งตะเกียงเข้าใกล้กับผนัง ภาพวาดด้านบนก็ยิ่งสว่างคมชัดเดอร์ริคมองไปตรงมุมภาพและพบกับประโยคในความทรงจำกุหลาบไถ่บาป… มันพึมพำพลางยกตะเกียงส่องภาพวาด เพื่อจะได้สำรวจรายละเอียดอย่างชัดเจนด้านบนสุดของภาพวาดคือไม้กางเขนสีดำขนาดใหญ่ เงาดำของใครบางคนกำลังห้อยลงมาในสภาพกลับหัวเบื้องล่างเป็นทะเลทรายแห้งแล้งใจกลางทะเลทรายมีกลุ่มคนกำลังต่อแถวยาวเหยียด หัวแถวคือเชิงเขาห่างไกล บนจุดยอดภูเขาคือจุดปักไม้กางเขนใหญ่สีดำท่ามกลางแถวยาว ใครบางคนกำลังคุกเข่าสวดวิงวอนด้วยสีหน้าเทิดทูน บางกลุ่มกำลังเดินฝ่าลมพายุกระโชก เพื่อไปให้ถึงภูเขาลูกใหญ่ข้างหน้าใบหน้าผู้คนถูกวาดอย่างหยาบ มิได้ลงรายละเอียดมากนัก ประหนึ่งต้องการเน้นย้ำให้เห็นเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเสียมากกว่า มีเพียงใบหน้าของผู้นำด้านหน้าสุดซึ่งยังกระจ่างชัดเพศชาย ตัวสูงผอม ผมสีเงินยาวถึงหลังใบหน้าอ่อนโยน ศีรษะก้มต่ำ ดวงตาปิดสนิททั้งสองข้าง บนแผ่นหลังมีปีกกว่าสิบคู่ซ้อนทับกันจนนับไม่ถ้วนเทวทูต…! เทวทูตในตำนาน!เดอร์ริคพยายามเก็บรายละเอียดรอบตัว ‘ผู้นำ’ ในภาพวาดด้วยสีหน้าตื่นเต้นถัดมา มันได้พบแม่น้ำซึ่งกำลังกระเพื่อมแผ่วเบาใต้ฝ่าเท้าของชายผู้น่าจะเป็นเทวทูตแม่น้ำมีลักษณะคดเคี้ยว แต่สุดท้ายก็กลับมาบรรจบในจุดเดิมอย่างสมบูรณ์วังวน…! นี่คือต้นกำเนิดวัฏจักร?เดอร์ริคพลันทราบทันทีว่าตนกำลังค้นพบเบาะแสสำคัญ…ท่ามกลางวังวนแห่งกระแสเวลา เรากลับได้พบสายน้ำบรรจบครบรอบ ภายในจิตรกรรมฝาผนังบนกำแพงวิหาร!ต้องเป็นคำบอกใบ้ของบางสิ่งแน่!เดอร์ริคตั้งใจสำรวจเทวทูตผมสีเงินเจ้าของปีกนับสิบคู่อย่างตั้งใจ และพบว่าใบหน้าแสนอ่อนโยนแต่เย็นชาของอีกฝ่าย กำลังก้มลงคล้ายกับจ้องมองแม่น้ำ ประหนึ่งแม่น้ำสายนี้คือลำธารแห่งโชคชะตานี่คือความหมายแท้จริงในคำบอกใบ้ของมิสเตอร์ฟูล?เดอร์ริคยืนครุ่นคิดสักพักก่อนจะตัดสินใจทำบางสิ่ง หากมันทำสำเร็จ ความผิดปรกติของตนจะถูกโยนให้กับเด็กชายแจ็ค แต่ถ้าล้มเหลว เมื่อวังวนกลับไปเริ่มต้นใหม่ ทุกคนก็จะลืมว่าเกิดอะไรขึ้นไปบ้าง!ภายใต้สายตาตกตะลึงของพวกพ้อง เด็กหนุ่มเล็งสับขวานเฮอร์ริเคนใส่ ‘แม่น้ำ’ บนจิตรกรรมฝาผนังอย่างแม่นยำคมขวานพลันสว่างวาบ เป็นสัญญาณว่าพลังพิเศษของมันทำงาน สายฟ้าสีเงินฟาดลงจากเบื้องบนและตกลงบนขวาน……………………
คอมเม้นต์