ราชันเร้นลับ 458 : ต้นตระกูลแวมไพร์
“หิวจังเลย…”ขณะกล่าวด้วยเสียงล่องลอย แจ็คเงยหน้ามองโจชัวผู้กำลังสวมถุงมือสีแดงเข้ม“หิว…”ทันใดนั้น เด็กชายพลันอ้าปากกว้างฉีกไปถึงใบหู เผยให้เห็นฟันซี่ขาวเรียงราย และน้ำลายสีใสเหนียวข้นไหลหยดจากมุมปากเพียงพริบตา แจ็คกระโจนใส่โจชัวด้วยความเร็วสุดน่าทึ่ง เร็วเสียจนเกิดเป็นภาพตกค้างบนพื้นหินแม้โจชัวจะตื่นตัวตลอดเวลา แต่ก็ยังตอบสนองการจู่โจมซึ่งหน้าไม่ทันขณะโจชัวยังไม่ทันเคลื่อนไหว เด็กชายแจ็คก็กระโจนจ่อปลายจมูกเรียบร้อยแล้วตึง!ห่างจากโจชัวไปเล็กน้อย เด็กชายผมสีเหลืองพุ่งกระแทกกับกำแพงล่องหนเสียงดังแจ็คยังคงลอยตัวค้างกลางอากาศ ออร่าสีดำกึ่งแดงไหลซึมออกจากร่างอย่างท่วมท้น พวกมันพยายามไหลซึมกัดกร่อนกำแพงล่องหนตรงหน้าขณะเดียวกัน นักล่าปีศาจโคลินผู้ยืนอยู่ด้านหลังโจชัวและเดอร์ริค ทำการคุกเข่าหนึ่งข้างและเสียบดาบอาบขี้ผึ้งปักลงบนพื้นหินไม่กี่อึดใจถัดมา วิวทิวทัศน์รอบแท่นบูชาพลันสว่างไสวประหนึ่งแสงอาทิตย์รุ่นอรุณโคลินดึงดาบกลับ พร้อมกับแยกร่างเป็นภาพมายาจำนวนหลายร้อยจนเต็มห้องแท่นบูชาซึ่งกำลังส่องสว่างทุกร่างมายาตั้งท่าเตรียมแทง คมดาบจำนวนมหาศาลเริ่มอาบแสงรุ่งอรุณจนสุกสว่างแสบตาฉึก! ฉึก! ฉึก!ดาบแสงรุ่งอรุณพุ่งเสียบร่างแจ็คจากรอบทิศทางอย่างไร้ความปรานีภายใต้แสงแรกแย้มของวันใหม่ ร่างกายสีดำกึ่งแดงมลายหายไปการกระหน่ำโจมตีของพายุดาบแสงห้องแท่นบูชาใต้ดินถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้าเป็นเวลานาน แสบตาเสียจนเดอร์ริคอดทนจ้องต่อไปไม่ไหว จำเป็นต้องหรี่ตาลงก่อนจะปิดสนิท…เมื่อร่างกายกระตุกตื่นจากภวังค์ เด็กหนุ่มรีบกวาดสายตามองไปรอบตัวจนพบกับกองไฟและค่ายพักชั่วคราวของหน่วยสำรวจ พวกพ้องหลายคนกำลังนั่งล้อมกองไฟ บางส่วนกำลังยืนเวรยามนักล่าปีศาจโคลิน ผู้กำลังนั่งขัดสมาธิข้างเสาหินต้นใหญ่ ลืมตาขึ้นและออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้ม“เราจะเริ่มออกเดินทางในอีกห้าสิบฟ้าผ่า”ได้ยินเช่นนั้น เดอร์ริครีบแหงนมองด้านบน และพบว่าสายฟ้ามีอัตราการผ่าค่อนข้างต่ำ ความมืดมิดยังคงปกคลุมดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้เช่นเคยเด็กหนุ่มจินตนาการถึงเมืองข้างหน้าและวิหารของพระผู้สร้างเสื่อมทรามภายในเมืองดังกล่าว ก่อนจะเริ่มเกิดความประหม่าหลังจากใช้เวลาทำใจสักพักจนเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เดอร์ริครีบกินอาหารและเตรียมตัวเข้าสู่ภาวะพร้อมรบตลอดเวลาในวิหารจะมีอะไรบ้างนะ…เด็กหนุ่มเดินไปปะปนกับทีมสำรวจโดยถือขวานเฮอร์ริเคนไว้ในมือขวาภายในค่ายพัก ตะเกียงหนังสัตว์ไส้เทียนไขจำนวนสี่ดวงถูกจุดอย่างพร้อมเพรียง เป็นสัญญาณการเริ่มต้นภารกิจสำรวจ…15 ถนนมินส์ไคลน์เพิ่มความร้อนให้กับอ่างน้ำ รอจนอุณหภูมิพอเหมาะจึงค่อยทิ้งตัวลงอาบหลังจากได้ชำระล้างร่างกายจนรู้สึกเบาสบาย ชายหนุ่มเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว และส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือสายหมอกเพื่อทำนายถามเกี่ยวกับวิญญาณมารท่ามกลางพระราชวังโบราณ ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พร้อมกับก้มหนึ่งตรึกตรองเป็นเวลานาน มันต้องหาข้อสรุปให้ตัวเองว่า ตนควรเลือกใช้เทคนิคทำนายประเภทใด และเขียนประโยคทำนายว่าอย่างไร แน่นอน เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะต้องกำหนดให้อยู่ในกรอบความเป็นไปได้ทางศาสตร์เร้นลับไคลน์เงียบงันหลายนาที ก่อนจะโน้มตัวมาด้านหน้าและเขียนประโยคทำนาย :“วิญญาณมารในซากปรักหักพัง ได้ปิดบังเจตนามุ่งร้ายต่อเราและชารอน”หลังจากปลดจี้บุษราคัมจากข้อมือซ้าย ชายหนุ่มใช้มือข้างเดียวกันกำโซ่และปล่อยให้ลูกตุ้มวิญญาณลอยเหนือกระดาษประโยคทำนายเพียงเล็กน้อย ตามด้วยการเข้าฌานและสะกดจิตตัวเองให้หลับมันพึมพำกับตัวเองสักพัก ก่อนจะลืมตาและสังเกตผลจี้บุษราคัม…กำลังหมุนตามเข็มนาฬิกาอย่างบ้าคลั่ง!หมายความว่า เจตนาร้ายจากวิญญาณมาร สูงกว่าจินตนาการของไคลน์ไปมาก!แต่ขณะเผชิญหน้ากัน เรากลับไม่ตระหนักถึงจิตมุ่งร้ายแม้แต่น้อย…วิญญาณมารตนนั้นคงมีลำดับสูงและสามารถขัดขวางพลังทำนายได้ประมาณหนึ่ง…หึหึ แต่มันคงคาดไม่ถึงแน่ ว่าหนึ่งในพวกเราจะฝึก ‘การข่มแรงกระหาย’ มานานหลายปี จึงไม่หลงมัวเมาไปกับรางวัลตอนแทบมหาศาล ส่วนอีกคนก็เคยผ่านประสบการณ์ ‘ขอหนังเสือจากเสือ’ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน…ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไคลน์ส่งตัวเองกลับโลกความจริงและทิ้งตัวลงบนเตียงเย็นเฉียบน่าเสียดาย ความร้อนจากเข็มกลัดสุริยันเป็นเพียงภาพมายาทางใจ ไม่ใช่ความอบอุ่นจริงทางร่างกาย…ก่อนจะหลับสนิท ไคลน์ตัดพ้อเสียงเศร้า…ย่านทิศใต้ของสะพาน โบสถ์ฤดูเก็บเกี่ยวหลังจากเช็ดทำความสะอาดเก้าอี้ตัวสุดท้ายภายในวิหารเสร็จ เอ็มลิน·ไวท์เดินตรงไปหาหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างกระตือรือร้น“ข้าทำงานของวันนี้เสร็จแล้ว!”ตาแก่ อย่าได้มีความคิดแผลงๆ อย่างการให้ข้าคัดลอกพระคัมภีร์เด็ดขาด!เอ็มลินสวดภาวนาในใจช่างน่าขัน เป้าหมายการวิงวอนของแวมไพร์หนุ่มได้กลายเป็นพระแม่ธรณีแทนดวงจันทร์ไปแล้วโดยไม่รู้ตัวหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ก้มมอง ด้วยขนาดของร่างกาย แวมไพร์เอ็มลินจึงดูเหมือนกับเด็กบิชอปร่างยักษ์เผยรอยยิ้ม“พักหลังมานี้ ระหว่างการทำกิจกรรมอุทิศตนด้วยความมุ่งมั่นและสำนึกในบุญคุณของพระแม่ ผมสังเกตเห็นว่าคุณเริ่มตระหนักถึงความผ่อนคลาย จิตใจเริ่มสงบนิ่งและสุขุม ฉะนั้น จงกลับไปเถิด กลับไปซึมซับความสุขอันแท้จริง จากการเต้นของชีพจรแห่งชีวิตอันเกิดจากกิจกรรมข้างต้น”“ข้ามิได้รู้สึกเช่นนั้นสักนิด!” เอ็มลินปฏิเสธขึงขังโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม หลวงพ่อยูทรอฟสกี้เพียงจ้องมองเอ็มลินด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ตามด้วยการนั่งลงและเริ่มการสวดมนต์ยามราตรีริมฝีปากแวมไพร์หนุ่มพลันสั่นกระตุก คล้ายกลับมันต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจกลืนลงคอ และเดินออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยวโดยปิดประตูตามหลังเมื่อกลับถึงบ้าน เอ็มลินพบว่าบ้านของตนมืดสนิท พ่อและแม่ปิดไฟออกไปข้างนอกมันเริ่มฉุกคิดได้ว่า ค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงรวมตัวของผีดูดเลือดภายในกรุงเบ็คลันด์“พวกไร้ยางอาย ในฐานะเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดอันสูงส่ง พวกเราควรนอนในโลงอยู่บ้านอย่างสงบสุขมิใช่หรือ แล้วทำไมถึงคิดเลียนแบบงานเลี้ยงอันน่ารังเกียจของมนุษย์? เลียนแบบกระทั่งการเต้นรำอันน่าขยะแขยง!”เอ็มลินรำพันอย่างดูแคลน แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มพลันใช้มือกุมท้องพร้อมกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่มันตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว“ตระกูลโอดราช่างน่าอิจฉา พวกเขามีเพื่อนสนิทเป็นมนุษย์ เป็นเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่ในเบ็คลันด์หลายแห่ง สามารถดื่มเลือดสดได้ตลอดเวลา ด้วยจำนวนมากเท่าใดก็ได้!”เอ็มลินสวมหมวกทรงสูงเดินออกจากบ้าน…เขตตะวันตก คฤหาสน์สว่างไสวแห่งหนึ่งหลังจากหยิบแก้วบรรจุของเหลวสีแดงสด เอ็มลินรีบยกซดอย่างมูมมามถูกคัดสรรมาอย่างดี…แวมไพร์หนุ่มหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งพลางสรรเสริญจากก้นบึ้งหัวใจณ เวลานี้ ชายหญิงหน้าตาดีหลายคู่กำลังเต้นรำไปบนลานกว้างท่ามกลางกลางดนตรีแสนโรแมนติก บางคู่หมุนตัวอย่างคล่องแคล่ว บางคู่เดินเข้าหากันอย่างไม่รีบร้อน“ไร้สาระชะมัด…”เอ็มลินกำลังยืนริมรั้วบนชั้นสอง สายตาจ้องมองลงมายังกลุ่มพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ในฐานะเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของโลก กรุงเบ็คลันด์ย่อมมีประชากรแวมไพร์เป็นจำนวนมหาศาล ทุกตนล้วนแฝงตัวใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์อย่างกลมกลืนและสันติสำหรับพวกแวมไพร์กระหายเลือดเกินพอดีและไม่รู้จักควบคุมตัวเอง พวกมันจะถูกส่งไปอยู่ในปราสาทลึก ห่างไกลชุมชน หรือในกรณีบางรายซึ่งเกินเยียวยา ก็จะถูกเชือดทิ้งเพื่อไม่ให้เหยี่ยวราตรีหรือหน่วยพิเศษตามสืบจนสาวถึงเบาะแสสำคัญยิ่งดึกเท่าไร งานเลี้ยงแวมไพร์ก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้นทุกขณะ แวมไพร์หนุ่มจ้องมองเหล่าพี่น้องกำลังเต้นรำ พลางตระหนักว่าตนไม่มีสิ่งใดเหมือนกับพวกเขาเหล่านี้เลยทันใดนั้น เจ้าของคฤหาสน์และงานเลี้ยงหรูหรา คาซีมี·โอดรา เดินเข้ามาหาเอ็มลินพร้อมกับแก้วไวน์ในมือ“ชอบ ‘ไวน์’ ในค่ำคืนนี้ไหม”“ข้าชอบมาก เจ้าของเลือดอายุยังน้อย สัมผัสได้ถึงพลังงานอันเปี่ยมล้น” เอ็มลินยืนตัวตรงพลางกล่าวด้วยมาดสง่างามจากรูปลักษณ์ภายนอก คาซีมี·โอดราคือชายวัยกลางคนบุคลิกอบอุ่น แต่เอ็มลินทราบเป็นอย่างดีว่า แวมไพร์อาวุโสตนนี้มีอายุไม่ต่ำกว่าสองร้อยปี ครั้งหนึ่งเคยอาศัยในอินทิสภายใต้การปกครองของจักรพรรดิโรซายล์ แต่จำเป็นต้องย้ายเพราะ ‘อายุยืน’ เกินไป ไม่อย่างนั้นอาจตกเป็นเป้าความสงสัยจากหน่วยพิเศษเมื่อได้ยินคำชมจากเอ็มลิน คาซีมียิ้ม“กล่าวได้ถูกต้อง เจ้าของเลือดเป็นหญิงสาวผู้ถูกหัวขโมยแทงด้วยมีดจนอาการสาหัส แต่โชคยังดี หล่อนมาถึงมือข้าทันเวลา จึงรอดชีวิตมาได้โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยนเล็กน้อย เจ้าจะลองชิมไวน์ตรงนั้นด้วยก็ได้ รวมถึงนั่นด้วย แก้วนี้มาจากไบลัม แก้วนี้มาจากเฟเนพ็อต รสชาติแตกต่างกันพอสมควร”“เฟเนพ็อต? โอ้พระแม่! มนุษย์ในอาณาจักรนั่นชื่นชอบการกินเครื่องเทศเผ็ดร้อนเป็นชีวิตจิตใจ เลือดของพวกมันจึงมีรสชาติเผ็ดจนแสบท้อง พระแม่จงเจริญ…” ขณะกล่าว สีหน้าเอ็มลินพลันขาวซีด แววตาเผยความหวาดผวาสุดขีดมุมปากคาซีมีเริ่มกระตุก แต่มันก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน คาซีมี·โอดรากระแอมในลำคอ“เอ็มลิน เจ้าแค่คิดไปเอง… ช่างเถอะ ท่านปู่ของข้าอยากพบเจ้า”“ปู่ของท่าน?” เอ็มลินผงะ ตามด้วยการซักถามอย่างประหลาดใจ“ลอร์ดนีบาส?”นีบาส·โอดราคือแวมไพร์ทรงพลังผู้ดำรงชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยที่สี่ แต่กาลเวลาได้กัดกร่อนร่างกายจนต้องนอนในโลงศพพิเศษตลอดเวลาคาซีมีพยักหน้า“ถูกต้อง”เมื่อกล่าวจบ มันหันหลังและเดินไปทางบันไดทันทีโดยไม่กลัวว่าเอ็มลินจะปฏิเสธแวมไพร์หนุ่มเดินตามติด สมองกำลังว้าวุ่นกระสับกระส่าย พยายามหาคำตอบว่า ทำไมแวมไพร์ทรงพลังและเก่าแก่ถึงต้องการพบตนหรือว่าพวกเขาเริ่มกังวลถึงศักดิ์ศรีของแวมไพร์ และมองว่าปัญหาของเราเป็นเรื่องเร่งด่วน จึงตัดสินใจรบกวนให้ท่านลอร์ดช่วยขจัดการชี้นำทางใจจากหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ด้วยตัวเอง?ขณะเดิน เอ็มลินเริ่มพบแสงแห่งความหวังมันตามอีกฝ่ายลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน ผ่านประตูลับอีกหลายบาน จนกระทั่งถึงห้องโถงสีเทาขนาดมหึมาใจกลางโถงมีโลงศพขนาดใหญ่และดูหนัก ผิวโลงทำจากเหล็กดำคุณภาพสูง สลักอักขระเวทมนตร์และลวดลายโบราณไว้มากมายหลังจากคาซีมี·โอดรารายงานการมาถึงของเอ็มลิน เสียงแหบพร่าและแก่ชราดังเล็ดลอดจากโลงศพ“เอ็มลิน·ไวท์ ทราบหรือไม่ว่า ข้าเรียกเจ้าเข้าพบด้วยเหตุอันใด”“ถึงลอร์ดนีบาสผู้ยิ่งใหญ่ ตัวข้าผู้ต่ำต้อย เอ็มลิน·ไวท์ คิดว่าท่านต้องการช่วยข้าขจัดการชี้นำทางจิตใจ” เอ็มลินตอบโดยไม่ลังเลความเงียบงันพลันปกคลุมห้องโถง จนกระทั่งผ่านไปสักพัก นีบาส·โอดรา ผู้กำลังนอนในโลงใหญ่ หัวเราะแผ่วเบาและกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง“นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ข้ามิได้ลงมือเอง ข้าตื่นจากภวังค์หลับใหลอันยาวนานเนื่องจากได้รับ ‘วิวรณ์’ จากท่านบรรพชน ท่านบรรพชน? ท…ท่านตื่นแล้วหรือ?”ผู้ตื่นตกใจมิใช่เอ็มลิน แต่เป็นคาซีมี·โอดราหลังจากเหตุการณ์มหาภัยพิบัติ ท่านบรรพชนก็แทบไม่เคยมอบวิวรณ์อีกเลย อาจมีการตอบสนองในเรื่องสำคัญเพียงบางครั้ง…เอ็มลินยืนฟังด้วยสีหน้าประหลาด“ยังหรอก” นีบาสกล่าวเสียงทุ้ม “ท่านบรรพชนเพียงแจ้งว่า โลกกำลังจะถึงคราวแตกดับ พวกเราทุกคนจึงต้องเตรียมการรับมือไว้ให้พร้อม และกุญแจสำคัญในการฝ่าวิกฤติก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเอ็มลิน·ไวท์“นั่นคือสาระสำคัญของวิวรณ์”“โลกกำลังจะแตกดับ…” คาซีมีทวนคำด้วยสีหน้าตกตะลึงแต่เอ็มลินกำลังคิดเรื่องอื่นตัวข้า! เอ็มลิน·ไวท์ ถูกเอ่ยถึงโดยท่านบรรพชนโดยตรง! แถมยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้เผ่าพันธุ์แวมไพร์ รอดพ้นจากมหันตภัยร้ายแรงในอนาคต!นีบาสเพิกเฉยต่อคำถามของหลานชาย“เอ็มลิน ข้ามีภารกิจมอบให้เจ้า”“เชิญรับสั่ง” เอ็มลินกล่าวอย่างนอบน้อมแม้เพิ่งจะได้ฟังถ้อยคำอันน่ายินดีเมื่อครู่ แต่มันก็มิได้แสดงอาการโอหังต่อหน้าอีกฝ่ายนีบาส·โอดรากล่าวเสียงขึงขัง“จงหาโอกาสสวดวิงวอนถึงเดอะฟูล”“หะ…?” เอ็มลินพลันตะกุกตะกักมันเชื่อเหลือเกินว่าตนคงหูฝาดไปนีบาสลดเสียงลง“ข้ากำลังหมายถึงเดอะฟูล ผู้พระนามเต็มถูกเปิดเผยอย่างแพร่หลายในช่วงหลัง”……………………
คอมเม้นต์