ราชันเร้นลับ 454 : ฉันเป็นใคร
หลังจากมองไปรอบตัว ไคลน์ ผู้ไม่พบสิ่งใดเพิ่มเติมไปจากบันไดแสง ตัดสินใจเดินกลับมายังแนวเสาหินต้นใหญ่ ท่ามกลางโดมสูงของมหาราชวังมันนั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะ ดวงตาสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย สมองใคร่ครวญหาคำตอบว่า ตนยังรับสมาชิกชุมนุมเพิ่มได้อีกกี่คนนับรวมหนึ่งตำแหน่งจากการเลื่อนลำดับคราวก่อน ตอนนี้เราสามารถรับสมาชิกใหม่เพิ่มได้สี่คน แต่ยังไม่มีใครเหมาะสม…ไคลน์ส่ายหัวพลางพึมพำ ตามด้วยการส่งตัวเองกลับโลกจริง เพื่อเตรียมปรุงอาหารมื้อค่ำแสนอร่อยหลังจากหันมันฝรั่งเตรียมไว้ มันเทเนื้อลงบนกระทะ เพิ่มหัวหอม และผัดรวมกันพลางโรยเครื่องปรุงจำพวกน้ำตาลและพริกไทย จนกระทั่งถึงจุดเหมาะสม ชายหนุ่มเทน้ำร้อนซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าลงในกระทะท้องแบน ก่อนจะปิดฝาและลดไฟลงเล็กน้อยปฏิเสธไม่ได้ว่า เวทมนตร์ควบคุมไฟของนักมายากลนั้นมีประโยชน์อย่างมากในครัว…นับตั้งแต่ครอบครองพลังนี้ ฝีมือปรุงอาหารของเราก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน…หากไม่มีเรื่องของอาการคลุ้มคลั่ง สัตว์ประหลาด และเทพมารนอกรีต โลกคงจะสงบสุขมากถ้าทุกคนนำพลังพิเศษของตนมาใช้ให้เกิดประโยชน์…ไคลน์ถอนหายใจยาว สองเท้าก้าวออกจากห้องครัวมายังห้องนั่งเล่นเมื่อแสงจากตะเกียงริมผนังเริ่มสว่าง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟา เตรียมนั่งอ่านนิตยสารและหนังสือพิมพ์ฆ่าเวลา จนกว่าจะถึงเวลาใส่มันฝรั่งและแคร์รอตลงไปเพิ่ม ระหว่างนั้น ไคลน์เริ่มครุ่นคิดไตร่ตรอง มองหาแก่นแท้และวิธีสวมบทบาทในฐานะผู้ไร้หน้าหลังจากตื่นขึ้นในตอนเช้า พลังวิญญาณของเราสงบนิ่งจนน่าประหลาดใจ จริงอยู่ อาจไม่มีสัญญาณของการย่อยโอสถ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความกลมกลืนอันไม่ปรกติ ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นขณะเลื่อนลำดับนักทำนาย ตัวตลก หรือนักมายากล…คิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์ชำเลืองไปทางมุขหน้าต่าง เนื่องจากบรรยากาศด้านนอกกำลังมืดสนิท บานกระจกจึงทำตัวเป็นกระจกเงา คอยสะท้อนภาพของนักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้กลับมาอย่างซื่อสัตย์เส้นผมและดวงตาสีน้ำตาล หนวดเคราคมเข้ม สวมแว่นตากรอบทองมันพยักหน้ากับตัวเองแผ่วเบาอาจเป็นเพราะว่า เรา ‘สวมบทบาท’ เป็นผู้ไร้หน้ามาตลอด สวมบทบาทเป็นบัณฑิตหน้าใหม่ ไคลน์·โมเร็ตติ และยังเป็นเชอร์ล็อก ในคราบการปลอมตัวของไคลน์อีกที…แม้จะได้รับความทรงจำและอารมณ์บางส่วนจากบุคคลซึ่งเคยมีชีวิตอยู่จริง แต่เนื้อแท้ลึกๆ ข้างใน เรายังคงเป็นคนแปลกหน้าจากต่างโลก เป็นนักรบคีย์บอร์ดผู้เชี่ยวชาญทุกเรื่องอย่างละนิด โจว·หมิงรุ่ย ไม่เปลี่ยนแปลง..อาจเพราะเราผ่านเรื่องราวมากมายตลอดห้าเดือนเต็ม จนทำให้บางครั้ง เราเผลอคิดว่าตัวเองคือไคลน์·โมเร็ตติตัวจริง…ท่ามกลางความเงียบสงบ ข้อมูลมากมายหลั่งไหลเข้ามาในสมอง ชายหนุ่มเริ่มพบมุมมองแปลกใหม่จากการใช้เวลาอยู่กับตัวเองไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงความจริงได้ว่า เราคือโจว·หมิงรุ่ยจากดาวเคราะห์โลก ผู้สวมหนังมนุษย์ของไคลน์·โมเร็ตติไว้ภายนอก…ผู้ไม่เคยลืมว่า ตนต้องหาทางกลับบ้านให้ได้…ไคลน์บรรจงหลับตาลง และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพสะท้อนบนกระจกได้กลายเป็นใบหน้าของอีกหนึ่งบุคคลไปเรียบร้อยดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมดำตัดสั้น ใบหน้าไม่มีจุดใดโดดเด่น ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน ขอบตาหมองคล้ำเล็กน้อยตามประสานักรบคีย์บอร์ด คางมีริ้วรอยคล้ายกับคางสองชั้นนี่คือโจว·หมิงรุ่ยจากดาวเคราะห์โลกไม่ได้พบกันเสียนาน…ไคลน์ถอนหายใจสั้นพร้อมกับใช้สองมือลูบคลำใบหน้า และเมื่อลดแขนลง ชายหนุ่มกลับไปเป็นเชอร์ล็อก·โมเรียตี้อีกครั้งหลังจากใคร่ครวญและพิจารณาตนเองอยู่พักใหญ่ มันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า พลังวิญญาณของตนเริ่มกลมกลืนไปกับโอสถทีละนิด ราวกับพยายามผสานให้เป็นเนื้อเดียวกันเราเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่า ทำไมบุคคลซึ่งน่าจะเป็นอาจารย์ของนักเชิดหุ่นโรซาโก้ ถึงได้กำชับอย่างหนักแน่นว่า :“จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่ห้ามลืมว่าตัวเองเป็นใครเด็ดขาด”นี่คงเป็นแก่นสำคัญของเทคนิคสวมบทบาทสำหรับผู้ไร้หน้า หากมีการเปลี่ยนหน้าอย่างต่อเนื่องจนหลงลืมว่าเนื้อแท้เคยเป็นใคร จุดจบสุดท้ายคงหนีไม่พ้น การคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดขาดสติปัญญา…เมื่อนำความทรงจำเมื่อครั้งสื่อวิญญาณกับนักเชิดหุ่นโรซาโก้มาวิเคราะห์ประกอบ ไคลน์พลันกระจ่างทันทีชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างขวาทับซ้าย สมองตรึกตรองวางแผนสำหรับอนาคตข้อแรก ค้นหาและเพิ่มกฎการสวมบทบาทของผู้ไร้หน้าเข้าไป…ข้อสอง ไม่ว่าจะเป็นชุมนุมลับของเบ็คลันด์หรือชุมนุมทาโรต์ พยายามรวบรวมวัตถุดิบหลักของโอสถนักเชิดหุ่น เตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกทะเลเพื่อไปประกอบพิธีกรรม…ข้อสาม พยายามค้นหาสูตรโอสถ ‘ข้ารับใช้สุริยัน’ มาให้เดอะซันน้อย เขาจะได้เลื่อนเป็นลำดับ 7 และสามารถเข้าถึงข้อมูล ‘วิธีลบจิตกัดกร่อนออกจากตะกอนพลัง’…แต่เราจะหวังพึ่งเดอะซันน้อยเพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องขวนขวายหาวิธีด้วยตัวเองไปพร้อมกัน…ไคลน์ ผู้กำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงพิจารณา ทำการดีดนิ้วเพื่อลดไฟบนเตาแก๊สลงเล็กน้อยโดยไม่ต้องรอนาน กลิ่นหอมกรุ่นของเนื้อสุกเริ่มลอยโชยแตะจมูกทันใดนั้น เสียงกริ่งบ้านดังขึ้นผู้มาเยือนคราวนี้คือนักกฎหมายเยอร์เก้นแม้ข้างนอกจะมีฝนตกปรอย แต่เยอร์เก้นกลับยังแต่งชุดประหนึ่งว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงหรูหรา ถึงขั้นสวมเสื้อปกตั้งด้วยมาดสุภาพ“มีอะไรหรือ” ไคลน์ซึ่งคุ้นเคยกับนิสัยเอาจริงเอาจังของอีกฝ่าย เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาด้วยการซักถามเข้าประเด็นเยอร์เก้นหุบร่มและเดินผ่านกรอบประตูเข้ามาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งปัดหยดน้ำฝนออกจากเสื้อโค้ทกระดุมสองแถวตัวใหญ่“เชอร์ล็อก วันจันทร์หน้า ผมจะลงใต้เพื่อไปเที่ยววันหยุดพักร้อนกับคุณย่า สภาพอากาศอบอุ่นทางแถบนั้นเป็นผลดีกับสุขภาพของเธอมากกว่า”“ข่าวดีเลยไม่ใช่หรือ?” ไคลน์อมยิ้ม ตามด้วยการลองคาดเดา “คุณจะให้ผมช่วยรับเลี้ยงโบรดี้ชั่วคราว?”เยอร์เก้นส่ายหน้า“คุณย่าทนห่างกับโบรดี้ไม่ได้ พวกเราจึงมีแผนจะนำเขาไปด้วย ผมลองสอบถามพนักงานรถไฟดูแล้ว ทางนั้นอนุญาตให้นำแมวขึ้นรถจักรไอน้ำได้ แต่ต้องซื้อตั๋วเพิ่มเต็มราคา และจับใส่กรงตลอดเวลา อีกทั้ง ต้องหมั่นรักษาความสะอาดกรง เพื่อไม่ให้กลิ่นไม่พึงประสงค์ไปรบกวนผู้โดยสารคนอื่น”ด้วยความสัตย์จริง ของแบบนั้นไม่จำเป็นเลยสักนิด กลิ่นของห้องโดยสารชั้นสามช่างเหม็นบรรลัย จนสามารถกลบกลิ่นขี้แมวได้สบาย… ไคลน์เหน็บแนมติดตลก“โบรดี้คงไม่ชอบการเดินทางกระมัง”“แต่เขาไม่อยากแยกกับคุณย่ามากกว่า” เยอร์เก้นตอบเสียงเรียบมันกดหมวกและรีบกล่าวเข้าประเด็น“ผมแวะมาเพื่อจะบอกว่า ถ้าคุณต้องประกันตัวหรือมีการฟ้องร้องในระหว่างการพักร้อนของผม ให้ติดต่อไปยังเพื่อนร่วมงานของผมแทน นี่คือนามบัตร เขารับปากว่าจะไม่ไปไหนตลอดช่วงหยุดยาวปีใหม่”มืออาชีพชะมัด ถึงกับคิดเผื่อไว้ล่วงหน้า…แต่นั่นไม่จำเป็นอีกแล้ว เพราะเราคือสายข่าวของจิตแห่งจักรกล หากเผลอมีปากเสียงกับตำรวจเมื่อไร ค่อยให้คาร์ลเซ่นหรือไอคานส์ช่วยไกล่เกลี่ย..ไคลน์กล่าวขอบคุณ มือข้างหนึ่งรับนามบัตรมาใส่กระเป๋าเสื้อเยอร์เก้นไม่มัวเสียเวลานาน ไม่แม้แต่จะเข้าไปจิบชาสักแก้ว นักกฎหมายหนุ่มโบกมืออำลาและกล่าวส่งท้าย“ผมยังต้องแวะไปหาลูกค้าอีกหลายราย เชอร์ล็อก ไว้เจอกัน เอ่อ…ปีหน้า”“ขอให้ครอบครัวของคุณเที่ยวอย่างมีความสุข” ไคลน์อวยพรพลางโบกมือตอบหลังจากเยอร์เก้นลับตาไปพร้อมกับร่ม ชายหนุ่มปิดประตูบ้านและเดินกลับเข้ามานั่งบนโซฟาในวินาทีนี้ นอกจากเสียงเปลวไฟกำลังเลียก้นกระทะในครัว บรรยากาศรอบตัวไคลน์ปราศจากสุ้มเสียงอื่นโดยสิ้นเชิง เงียบจนได้ยินล้อรถม้าจากด้านนอกเป็นระยะทางไกลมัดมองไปรอบตัวและสำรวจสิ่งของในบ้านอย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะกาแฟ เอกสารสัญญา ตู้กับข้าว ปากกาหมึกซึม เครื่องลายคราม โต๊ะอาหาร เก้าอี้ หรือกำแพงบ้านไคลน์เบือนสายตากลับ แผ่นหลังพิงผนังห้องพลางมองไปยังถนนด้านนอก ท่ามกลางท้องฟ้ามืดสนิท แสงสลัวกึ่งพร่ามัวจากเสาตะเกียงริมถนนกำลังมอบความอบอุ่นนุ่มนวลชายหนุ่มถอนหายใจ“จะปีใหม่แล้วสินะ…”…สายฟ้าเบื้องบนเริ่มจางหาย ความมืดมิดอันน่าขนลุกกลับมาปกคลุมไปทั่วบริเวณปัจจุบัน ทีมสำรวจจากเมืองเงินพิสุทธิ์ได้เดินทางมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ เป็นการเดินทางไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ต้องผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชนและถี่ยิบมองไปยังริมสองฝั่งทางเดินรอบตัว อาคารบ้านเรือนจำนวนมากถูกเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังด้วยอำนาจของกาลเวลา เหลือเค้าโครงเดิมแค่เพียงไม่กี่หลังอาศัยแสงไฟจากตะเกียงหนังสัตว์ ซึ่งก็มอบความสว่างได้ไม่มากนัก เดอร์ริคก้มมองพื้นถนนผุพังและรกร้างจนไม่มีแม้แต่วัชพืชงอกเงยสองฝั่งถนนรอบตัวเด็กหนุ่มล้วนเป็นซากของบ้านเรือนสภาพผุพังไม่ต่างจากจุดอื่นสีเคลือบอาคารกลายเป็นสีเทาหม่น เมื่อลองพิจารณาจากสถาปัตยกรรมภายนอกซึ่งเหลือเค้าโครงอยู่เพียงน้อยนิด คณะเดินทางพอจะเดาได้ว่า เมืองแห่งนี้มีรูปแบบการตกแต่งและรสนิยมไม่เหมือนกับเมืองเงินพิสุทธิ์เลยสักนิดเดียว จึงไม่มีใครจินตนาการสภาพเมืองดั้งเดิมออกมาได้อย่างไรก็ตาม เดอร์ริคพอจะเดาได้ว่า เมืองแห่งนี้เคยผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานและมีประชาชนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมากท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย พวกเขาต้องคอยปกป้องตัวเองจากสัตว์ประหลาดในความมืดพวกเขาดื่มโอสถ สร้างบ้านและคอยบำรุงซ่อมแซม พยายามต่อสู้ป้องกันกำแพงเมืองอย่างสุดฝีมือ และมีทีมสำรวจราวหกถึงเจ็ดหน่วย คอยออกไปค้นหาข้อมูลและสิ่งของสำหรับยืดอายุอารยธรรมของตนออกไปพวกเขาจะเริ่มเฉลิมฉลองเมื่อเข้าสู่ช่วงสงบสุข ขณะเดียวกันก็คอยประกอบพิธีกรรมถึงเทพในความศรัทธาและรอการตอบสนองโดยไม่ย่อท้อพวกเขาให้กำเนิดทายาท สืบทอดความหวังของเมืองต่อไปยังชนรุ่นหลังแต่กลับลงเอยด้วย พวกเขาถูกความมืดมิดกลืนกินอย่างโหดร้าย สุ้มเสียงแห่งความสุขถูกพรากไปพร้อมกับการถือกำเนิดของซากปรักหักพังเสื่อมโทรมซากอาคารเหล่านี้เปรียบดังสุสานยักษ์สำหรับฝังศพของเหล่าผู้ดิ้นรน ซึ่งพยายามทุกวิถีทางให้เมืองของตนอยู่ต่อรอดไปแต่ในตอนสุดท้าย เรื่องนั้นก็ไม่เกิดขึ้นนักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด มองไปรอบตัวด้วยสีหน้าอึมครึม ประหนึ่งกำลังจินตนาการภาพสุดท้ายของเมืองเงินพิสุทธิ์ในหัวมันชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว“แถบนี้ถูกสำรวจทุกซอกมุมแล้ว วิหารเป้าหมายตั้งอยู่ใจกลางเมือง”สมาชิกทีมสำรวจพลันตึงเครียด แต่ก็ไม่มีใครลดการป้องกันลง ทุกคนตั้งใจทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดหลังจากเดินผ่านแนวซากปรักหักพัง ซึ่งไม่มีใครแน่ชัดทราบว่าถูกทำลายมานานแค่ไหน เดอร์ริคและพวกพ้องหักเลี้ยวเปลี่ยนเส้นถนน ย่างกรายเข้าบริเวณใหม่แสนเงียบสงัด เงียบมากพอจะทำให้บุคคลจิตอ่อนเกิดอาการบ้าคลั่งกะทันหันโดยไม่ต้องรอนาน เด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นลานยกระดับขนาดใหญ่ตรงหน้าเหนือพื้นยกสูงเป็นซากวิหารซึ่งพังถล่มไปแล้วกว่าครึ่ง สถาปัตยกรรมภายนอกคล้ายคลึงกับวิหารของเมืองเงินพิสุทธิ์อย่างมาก บริเวณทางเข้ามีเสาสองต้นคอยค้ำจุนหลังคาทรงโค้งรูปทรงอาคารแตกต่างจากเขตบ้านเรือนเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขตบ้านเรือนเพิ่งเกิดขึ้นหลังจากพวกเขาเปลี่ยนไปนับถือพระผู้สร้างเสื่อมทรามแล้ว…ขณะเดอร์ริคกำลังวิเคราะห์ ตะเกียงเทียนไขของสมาชิกในทีมทั้งสี่ดวงพลันดับสนิทพร้อมกัน!เพียงพริบตา ทีมสำรวจถูกความมืดเข้มข้นและน่าขยะแขยงเข้าปกคลุมทุกรูขุมขนร่างกาย ท้องฟ้าปราศจากสายฟ้า เสาไฟริมถนนใช้การไม่ได้ ขณะเดียวกัน คล้ายกับเสียงลมหายใจของมนุษย์ทุกคนในบริเวณถูกบางสิ่งดูดกลืน ไม่มีใครได้ยินเสียงใดทั้งสิ้นเดอร์ริคพลันสั่นเกร็ง หนังศีรษะรู้สึกคล้ายกับกำลังถูกลิ้นของสัตว์ประหลาดละเลงเลีย อย่างไรก็ตาม สัมผัสวิญญาณได้บอกกับมันอย่างแจ่มชัดว่า ความรู้สึกทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนและการคิดไปเอง ยังไม่มีการจู่โจมใดเกิดขึ้นทันใดนั้น สุ้มเสียงแสนสิ้นหวัง น่าขนลุก และแหบแห้งของเด็กเล็ก เริ่มดังก้องข้างใบหูเดอร์ริค·เบเกอร์“ช่วยด้วย… ช่วยด้วย…”เดอร์ริคยืนตัวแข็งทันที สมองกำลังขาวโพลน คิดไม่ออกว่าควรต้องรับมืออย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ทันใดนั้น เบื้องหน้าเด็กหนุ่มพลันเกิดละอองแสงระยิบระยับจากความว่างเปล่าละอองแสงแต่ละเม็ดเริ่มระเบิดอย่างต่อเนื่อง เม็ดแล้วเม็ดเล่า สร้างแสงสว่างสีเงินแสบตาไปบริเวณโดยรอบโคลินจ้องมองเดอร์ริค·เบเกอร์พร้อมกับซักถามเสียงขรึม“มัวเหม่ออะไรอยู่”เดอร์ริคพลันคืนสติ สองมือรีบประสานกันเหนือริมฝีปากในท่าสวดภาวนาโดยไม่ต้องรอนาน แสงสว่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่องและไร้มลทินค่อยๆ แผ่ออกจากร่างกายเด็กหนุ่ม ช่วยขจัดความมืดมิดรอบตัวทีมสำรวจทุกคนพร้อมกันนั้น หน่วยถือตะเกียงทั้งสี่รีบจุดเทียนให้กลับมาติดอีกครั้งเป็นเพราะการตอบสนองอย่างทันท่วงทีของนักล่าปีศาจมากประสบการณ์ ทีมสำรวจจึงยังไม่มีใครถูกความมืดกลืนหายไป หรือไม่มีสมาชิกใหม่เข้ามาเพิ่มโคลินเบือนหน้าจากเดอร์ริค สายตาจ้องมองวิหารหลังใหญ่บนลานกว้างยกสูง ตามด้วยการเปล่งถ้อยคำกำชับเสียงขรึม“หลังจากเข้าไปข้างใน ทุกคนต้องเข้าสู่ภาวะพร้อมรบตลอดเวลา ห้ามประมาทหรือใจลอยโดยเด็ดขาด”……………………
คอมเม้นต์