ราชันเร้นลับ 452 : การตัดสินใจของเบ็นสัน
เขตราชินี ถนนทาวน์เซ่น คาบเกี่ยวระหว่างเขตตะวันตกซิล·เดียร์ชากำลังยืนซุ่มในซอยมืดมิดและเปล่าเปลี่ยว โดยไม่ต้องเงยหน้า หญิงสาวมองเห็นอาคารใหญ่ ยอดหอคอยสูง และสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิกจำนวนมากในจุดห่างออกไป ระดับความสูงจากน้ำทะเลในแถบนี้ถือเป็นอันดับหนึ่งของกรุงเบ็คลันด์นี่คือย่านพักอาศัยของราชวงศ์ออกัสตัสแห่งโลเอ็นทั่วทวีปเหนือใต้ เกียรติยศและความยิ่งใหญ่ของวังหลวงโลเอ็น มักถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าพระราชวังเมเปิลขาวแห่งอินทิส และพระราชวังเออร์เมียแห่งจักรพรรดิฟุซัคอย่างไรก็ตาม ชื่อของวังหลวงโลเอ็นกลับมิได้ฟังดูน่าเกรงขาม หรือสุนทรีย์เท่ากับวังหลวงของราชวงศ์อาณาจักรอื่นวังโซเดอร์แล็ค ในภาษาฟุซัคโบราณมีความหมายว่า ‘สมดุล’ซิลเบือนหน้าหนีจาก ‘ระฆังประกาศิต’ อันโด่งดัง สายตาจ้องมองไปยังอีกฝั่งของซอยเปลี่ยวและคับแคบท่ามกลางเงามืดซึ่งแสงจากเสาตะเกียงส่องไปไม่ถึง บุคคลผู้หนึ่งย่างกรายออกมาอย่างเงียบงันอีกฝ่ายสวมหน้ากากสีทองปกปิดครึ่งใบหน้าส่วนบน ไม่ใช่ใครนอกจากชายปริศนาผู้ขายสูตรโอสถเจ้าพนักงานให้ซิล และยังคอยมอบภารกิจให้เธอทำอย่างต่อเนื่องหลังจากซิลและฟอร์สถกเถียงกันอย่างจริงจัง พวกเธอมีความเห็นตรงกันว่า ชายคนนี้น่าจะเป็นสมาชิกของ MI9“มีความคืบหน้าบ้างไหม” ชายสวมหน้ากากถามอย่างเป็นกันเองซิลส่ายหัว“ไม่มี ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครบาดหมางกับคาพินก่อนเกิดเหตุ”เธอเว้นวรรค ก่อนจะซักถามอย่างไม่เต็มใจ“ฉันยังต้องสืบเรื่องนี้ต่อไหม”ชายสวมหน้ากากเงียบสักพัก“ไม่ต้องแล้ว แต่ถ้าบังเอิญได้รับเบาะแสเพิ่มเติม ให้รีบรายงานผมทันที สำหรับวันนี้ ผมมีภารกิจใหม่ให้ทำ”“ภารกิจอะไร” ซิลกำลังอยู่ในโหมดนักล่า เธอพร้อมรับความเสี่ยงทุกรูปแบบชายสวมหน้ากากหัวเราะ“ภารกิจไม่ซับซ้อน และคุณคงฝันอยากจะทำมันมานานแล้ว กว้านซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถเจ้าพนักงานและนักสอบสวนทั้งหมดจากชุมนุมลับในแวดวงของคุณ โดยเฉพาะวัตถุดิบชนิดพิเศษซึ่งสามารถใช้แทนวัตถุดิบหลักได้ ถ้ามีใครเสนอขาย ทางเราจะออกเงินให้เอง”“วัตถุดิบเหล่านั้นจะกลายเป็นของฉัน?” ซิลโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้นเธอกำลังคาดหวัง“เปล่า คุณคิดว่าภารกิจง่ายดายเช่นนี้ จะมอบรางวัลตอบแทนสูงเทียบเท่าวัตถุดิบหลักโอสถเชียวหรือ แต่ถ้าคุณสามารถตามหาเป้าหมายหลักขอพวกเราพบ บางที คุณอาจได้รับคะแนนผลงานสูงมาก จนสามารถนำมาแลกเป็นวัตถุดิบหลักโอสถได้” ชายสวมหน้ากากกล่าวพลางอมยิ้ม“แต่ฉันยังไม่ทราบว่าวัตถุดิบหลักของโอสถนักสอบสวนคืออะไร คงหาซื้อให้ไม่ได้” ซิลออกท่าทางลังเล“ผมจะบอกคุณหลังจากตกลงรับทำภารกิจแล้ว ให้คิดเสียว่าเป็นค่าจ้างล่วงหน้า และถึงคุณจะไม่พบเบาะแสใดเลย แต่ก็จะได้ทราบชื่อของวัตถุดิบหลักโอสถลำดับ 7 ทั้งสองเป็นการตอบแทน ซึ่งตามปรกติแล้ว ข้อมูลนี้จะมีมูลค่าสูงถึงหกร้อยปอนด์ คงเห็นแล้วใช่ไหมว่าพวกเราจริงใจกับคุณแค่ไหน” ชายสวมหน้ากากพยายามโน้มน้าวจ่ายหนักเอาเรื่อง…เป้าหมายของพวกเขาเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงยอมจ้างราคาแพงเพื่อพลิกแผ่นดินตามหา? จริงสิ… แต่ถ้าเขาเป็นสมาชิก MI9 จริง การรวบรวมวัตถุดิบหลักในเส้นทางผู้ตัดสินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก กองทัพพยายามควบคุมจำนวนผู้ตัดสินอย่างเข้มงวดมาตลอด และเรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหา…ในฐานะนักล่าค่าหัวมืออาชีพ ซิลมักไตร่ตรองความสมเหตุสมผลของภารกิจอยู่เสมอหลังจากจัดระเบียบความคิดสักพัก เธอพยักหน้าและกล่าวเสียงเรียบ“ตกลง ฉันจะทำ”“ต้องอย่างนั้น” โทนเสียงของชายสวมหน้ากากผ่อนคลายลงเล็กน้อย สายตาชำเลืองรอบตัวก่อนจะเล่าต่อ “วัตถุดิบหลักโอสถนักสอบสวนประกอบด้วย เขาของอสรพิษดำสายฟ้า และละอองของพรายทะเลสาป”หลังจากกล่าวจบ ชายลึกลับเริ่มกลมกลืนไปกับเงามืดด้านหลังทีละนิด จนกระทั่งไม่หลงเหลือกลิ่นอายหรือตัวตนอีกต่อไป“เขายอมบอกวัตถุดิบหลักของโอสถนักสอบสวนกับเราง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ…”ซิลกำลังตะลึงสิ่งนี้ทำให้เธอก็มั่นใจหนึ่งเรื่อง องค์กรเบื้องหลังชายสวมหน้ากาก จะต้องให้ความสำคัญกับภารกิจในคราวนี้มากแน่นอนพวกเขากำลังหมายหัวใครอยู่? และถ้าเราจับใจความไม่ผิด ฝ่ายนั้นกำลังเน้นไปยังวัตถุโอสถชนิดพิเศษ ซึ่งสามารถทดแทนวัตถุดิบหลักโอสถตามปรกติได้…คิดมาถึงจุดนี้ ซิลพลันเย็นสันหลังวาบเธอหวนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ขณะกำลังเตรียมเลื่อนลำดับเป็นเจ้าพนักงาน เพื่อนสนิทของตน ฟอร์ส ได้มอบของขวัญเป็นวัตถุดิบโอสถชนิดพิเศษ โดยระบุว่าซื้อมาจากชุมนุมลับ เป็นวัตถุดิบประเภทนำไปปรุงเป็นโอสถได้ทันที!หรือว่า… นี่คือเป้าหมายของพวกเขา?ซิลตัดสินใจปิดตายเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตลอดกาล ไม่คิดแพร่งพรายสิ่งใดออกไปโดยเด็ดขาดหญิงสาวใช้ขวามือลูบแก้มยุ้ย สองขาขยับเดินไปยังถนนด้านนอกตรอกเปลี่ยว เตรียมโดยสารรถม้ากลับบ้านเช่าในเขตเชอร์วู้ดทันใดนั้น รถม้าสีน้ำตาลคันใหญ่วิ่งผ่านหน้าซิลกะทันหัน เธอรีบเหลือบมองตราประจำตระกูลด้านข้างรถตามสัญชาตญาณตราสัญลักษณ์ประกอบด้วยภาพของดอกไม้และแหวนสองวง ไม่มีสิ่งใดพิเศษ แต่ซิลกลับยืนจ้องเช่นนั้นด้วยสายตาเหม่อลอยเป็นเวลานาน ราวกับถูกแช่แข็งกะทันหันจนกระทั่งรถม้าลับสายตา หญิงสาวเบือนหน้ากลับมาด้วยอารมณ์ดำดิ่ง และไม่ดีขึ้นเลยแม้ว่าจะเดินทางกลับถึงบ้านแล้วก็ตามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังหดหู่ ฟอร์สรินไวน์ใส่แก้วสองใบ มือขวาเลื่อนใบหนึ่งไปทางซิล“เกิดอะไรขึ้น” ฟอร์สนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มือซ้ายหยิบแก้วตัวเองขึ้นมาจิบซิลจ้องแก้วไวน์แดงเป็นเวลานานโดยไม่ปริปากกล่าวคำใด บรรยากาศเงียบงันปกคลุมอยู่ราวสองนาทีเต็ม จนกระทั่งเธอยอมเล่าด้วยเสียงแหบพร่า“ระหว่างทางกลับ ฉันบังเอิญพบคนรู้จัก”“ใครกัน” ฟอร์สถามอย่างกระตือรือร้น“ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ด” ซิลตอบห้วน ไม่คิดอธิบายให้ยืดยาวฟอร์สก้มหน้าตรึกตรอง“หัวหน้าองค์รักหลวง?”ในฐานะนักเขียนนิยายขายดี เธอมักได้รับคำเชิญจากขุนนางผู้หลงใหลในวรรณกรรม ให้ไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาหรืองานเลี้ยงเต้นรำ อย่างสม่ำเสมอ และด้วยจิตวิญญาณนักเขียนผู้ชื่นชอบการรวบรวมวัตถุดิบนิยาย ฟอร์สมักตอบตกลงทุกครั้ง เพื่อให้ได้แทรกตัวเข้าไปอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงของอาณาจักรการได้รู้จักไวเคาต์กายลิน ก็มีสาเหตุมาจากเรื่องราวทำนองเดียวกัน“ใช่ ไวเคาต์สตาร์ฟอร์ดเคยเป็นมือขวาของพ่อฉัน…” ซิลเล่าด้วยสีหน้าซับซ้อน“พ่อของเธอ?” ฟอร์สทราบเพียงว่า ตระกูลของซิลเคยเป็นอดีตขุนนางใหญ่ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดมากกว่านั้นซิลหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมายกซด กระดกอึกแล้วอึกเล่าจนติดคอและอาเจียนแห้งเมื่อเริ่มสงบสติ เธอเล่าต่อ“ตระกูลของฉันเคยอยู่ในลำดับชนชั้นสูงของอาณาจักร ยิ่งถ้าเป็นในยุครุ่งเรือง ผู้นำตระกูลเคยเป็นถึงเอิร์ลราชสำนักมาแล้ว”“เอิร์ลราชสำนัก? ยศแบบไหน?” ฟอร์สพยายามซักถาม ใจหนึ่งต้องการชวนเพื่อนคุยเพื่อปลอบโยน แต่อีกใจหนึ่งก็อยากทราบข้อมูลสำหรับเขียนนิยาย“ทำงานเป็นกระบอกเสียงให้เชื้อพระวงศ์ กล่าวกันว่า เป็นขุนนางผู้ใกล้ชิดเชื้อพระวงศ์มากกว่าใครทั้งหมด” ซิลเล่าพลางทำหน้านึกทบทวน แววตาแฝงความภูมิใจไว้มากมาย “นับแต่นั้น ตระกูลของฉันก็ยิ่งใหญ่เทียบเท่าเอิร์ลปรกติ ได้รับพระราชทานดินแดนระดับเดียวกับเอิร์ล รวมถึงความมั่งคั่งอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงรุ่นคุณพ่อของฉัน ตำแหน่งเอิร์ลราชสำนักไม่มีอยู่อีกแล้ว แต่ท่านพ่อก็ยังได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากอดีตกษัตริย์ ‘มหาเดชา’ วิลเลียมที่หก“โดยในสมัยนั้น ท่านพ่อดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าอัศวินพระราชสำนัก ควบด้วยตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์หลวง”น้ำเสียงซิลเริ่มเจือความเศร้า ฟอร์สสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนข่มความเจ็บปวด“แต่เมื่อเจ็ดปีก่อน ท่านพ่อถูกตั้งข้อหาสมคบคิดกับกบฏ บทลงโทษคือการประหารชีวิตทันที อีกทั้งยังริบบรรดาศักดิ์และดินแดนทั้งหมดของตระกูลกลับคืนเป็นของหลวง ด้วยเหตุนี้ ตระกูลของฉันจึงสูญสิ้นเกียรติยศในชั่วข้ามคืน สมาชิกครอบครัวหลายคนถูกฆ่าอย่างไร้เหตุผล เพื่อเอาชีวิตให้รอด พวกเราตัดสินใจเปลี่ยนนามสกุลและอพยพออกจากรัฐทักเคอร์ตะวันออก… ฉันไม่เชื่อว่าท่านพ่อจะก่อกบฏ ท่านจงรักภักดีต่อราชวงศ์ยิ่งชีพ เหนือกว่าความศรัทธาต่อองค์เทพธิดาเสียอีก! เพื่อการนั้น ฉันก็เลย… ช่างเถอะ ฉันตัดสินใจแยกทางกับแม่และน้องชาย อพยพเข้ามายังเบ็คลันด์ตามลำพังเพื่อมองหาโอกาสพัฒนาตัวเอง รวมถึงโอกาสกอบกู้ชื่อเสียงในอดีตของตระกูลกลับคืนมา”ค่อนข้างแน่ชัดว่า ซิลจงใจปกปิดรายละเอียดบางส่วน แต่ฟอร์สก็มิได้ถือสา เพียงถอนหายใจและกล่าว“มันคงไม่ง่ายเท่าไร…”ทันใดนั้น เธอยิ้ม“แต่ฉันจะช่วยสนับสนุนอีกแรง!”รวมถึงชุมนุมทาโรต์เบื้องหลังเราด้วย!หญิงสาวเสริมใจใน……กลางดึกในเมืองทิงเก็นอาคารหมายเลข 2 ถนนดารารัตน์หลังจากได้ยินเสียง เมลิสซ่า ผู้กำลังตั้งใจแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เงยหน้าขึ้นและรีบมองไปทางประตูหน้า ภาพแรกคือ เบ็นสันกำลังถอดหมวกทรงกึ่งสูงแขวนไว้บนราวผ้า“ออกไปไหนมา? ผลการสอบประกาศพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ”“ความจริงแล้ว ผลสอบจะถูกส่งมาถึงแต่ละเมืองในคืนนี้ และฉันบังเอิญสนิทกับข้าราชการบางคน พวกเขาคอยตรวจข้อมูลและประกาศผลสอบ” เบ็นสันยิ้มมุมปากในช่วงต้นเดือนธันวาคม มันสมัครสอบข้าราชการและเลือกลงในตำแหน่งซึ่งมีการแข่งขันต่ำ ระหว่างนั้น เบ็นสันอาศัยทักษะการพูดอันไหลลื่น สามารถตีสนิทกับข้าราชการคุมสอบบางคน รวมถึงเพื่อนผู้เข้าสอบในตำแหน่งเดียวกันอีกหลายคน“แล้วผลเป็นอย่างไร?” เมลิสซ่าวางปากกาหมึกซึมลงโดยไม่รู้ตัวทันใดนั้น สีหน้าเบ็นสันพลันอึมครึมและเศร้าหมองแต่ขณะเมลิสซ่ากำลังจะกล่าวบางสิ่ง มันระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใส“ฉันผ่าน! แถมยังมีคะแนนค่อนข้างสูง!”“เยี่ยมเลย…” เมลิสซ่าลุกยืนและเดินสองก้าวเข้าไปหา “นายต้องเตรียมตัวสอบรอบสองอีกใช่ไหม? ถ้าจำไม่ผิด สนามสอบจะถูกจัดขึ้นในกรุงเบ็คลันด์ ฉันเตรียมกระเป๋าไว้ให้แล้ว คิดจะออกเดินทางเมื่อไร?”เมื่อเห็นความกังวลของน้องสาว เบ็นสันเดินเข้าไปในห้องรับแขก มุมปากยกโค้งก่อนจะกล่าว “ค่อยไปหลังปีใหม่ และพวกเราจะย้ายไปอยู่เบ็คลันด์ด้วยกันถาวร! ไม่ว่าผลสอบจะเป็นอย่างไร แต่ฉันวางแผนอนาคตตัวเองไว้แล้วว่า จะพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดในกรุงเบ็คลันด์ให้ได้ ส่วนเธอต้องอาศัยช่วงหยุดยาวของปีใหม่ ย้ายไปอยู่โรงเรียนเทคนิคเบ็คลันด์ เพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งเบ็คลันด์ในช่วงเดือนมิถุนายน”เมื่อราวหนึ่งเดือนก่อน มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งกรุงเบ็คลันด์ได้ปฏิรูปองค์กรและเปลี่ยนชื่อเป็น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งเบ็คลันด์เมลิสซ่าเม้มริมฝีปาก คล้ายกับต้องการคัดค้าน แต่สุดท้ายก็มิได้กล่าวสิ่งใดเธอมองไปรอบ้านอย่างโหยหา ปากขยับพึมพำเสียงค่อย“ตกลง”…วันศุกร์บ่าย ณ สโมสรครักซ์ไคลน์เดินออกจากสโมสร และเช่ารถม้าเพื่อเดินทางไปยังคฤหาสน์กุหลาบแดงในช่วงไม่กี่วันก่อนตาย ทาลิมไปเยือนคฤหาสน์หลังดังกล่าวสองสามหน หากไคลน์ต้องการทำตัวให้เหมาะสมกับค่าจ้างหนึ่งร้อยปอนด์ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเดินทางไปตรวจสอบเบาะแสในคฤหาสน์กุหลาบบ้างถึงจะไม่มีเจตนาสืบสาว แต่เราก็ต้องทำตัวให้เป็นมืออาชีพ…ไคลน์พึมพำ สายตาดื่มด่ำไปกับวิวทิวทัศน์อันงดงามรอบข้างหลังจากทดสอบอย่างละเอียดในช่วงเช้า ไคลน์ได้ทราบว่าพลังพิเศษเดิมของตนถูกยกระดับขึ้นทั้งหมด ควบคุมไฟ กระโจนไฟ และพลังพิเศษชนิดอื่นจะแข็งแกร่งขึ้นราวสามสิบเปอร์เซ็นต์ทางด้านความรุนแรงของกระสุนอากาศ และความยาวของท่อหายใจใต้น้ำ เพิ่มประสิทธิภาพขึ้นมากเป็นเท่าตัว และในด้านพลังทำนายกับสมรรถภาพร่างกาย สองสิ่งนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกันทางด้าน ‘กระดาษคนตัวแทน’ และ ‘ย้ายความเสียหาย’ ไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก แต่เนื่องจากมีพลังวิญญาณเพิ่มขึ้น จำนวนการใช้งานจึงเพิ่มขึ้นด้วยเมื่อการเดินทางอันยาวนานจบลง ไคลน์หยุดยืนหน้าคฤหาสน์กุหลาบและแจ้งความประสงค์กับทหารยามหน้าทางเข้าเพียงไม่นาน มันได้พบพ่อบ้านชราคนเดิม“คุณสามารถสอบปากคำได้ทุกคน” ชายชราผมขาวเว้นวรรค “ยกเว้นเธอคนนั้น”กำลังต้องการแบบนั้นพอดี เราไม่อยากนำตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องราววุ่นวาย…ไคลน์ยิ้มตามมารยาท“ตกลง”……………………
คอมเม้นต์