ราชันเร้นลับ 431 : คนใกล้ตายไม่เลือกหมอ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ ตอนที่ 431 : คนใกล้ตายไม่เลือกหมอ 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

เมื่อได้ยินคำถามไคลน์ เอ็มลิน·ไวท์พลันสะดุ้งพร้อมกับรีบสำรวจชายหนุ่มหัวจรดเท้า
“เจ้าร่ำรวยผิดความคาดหมายข้ามาก…”
มันกะเกณฑ์ไว้ว่า เชอร์ล็อก·โมเรียตี้คงใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ในการรวบรวมเงินจำนวน 2,450 ปอนด์
“สำหรับเงินก้อนนี้ ผมออมไว้นานแล้ว” ไคลน์ถอนหายใจยาว
เอ็มลินพยักหน้ารับพลางครุ่นคิด
“นักสืบเอกชนรายได้ดีขนาดนี้เชียว?”
“งานนักสืบเป็นแค่ฉากหน้า ผมเหนื่อยจะอธิบายเรื่องราวซับซ้อนให้คนอื่นฟัง ในส่วนของอาชีพหลัก หากไม่บังเอิญโชคดีได้จับงานใหญ่เข้า รายได้ของผมก็คงตกปีละสองสามร้อยปอนด์เท่านั้น”
เอ็มลินชำเลืองและซักถามอย่างสนใจ
“เจ้าประกอบอาชีพใดกันแน่? ค้าอาวุธเถื่อน? ปล้นคนรวย? สำหรับผู้วิเศษลำดับต่ำกว่า 7 การรวบรวมเงินจำนวนสองพันปอนด์ในระยะเวลาสั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้องก็ต้องทำธุรกิจสีเทาซึ่งไม่ถูกกฎหมายสักเท่าไร”
แวมไพร์อย่างนายกำลังพูดเรื่องทำผิดกฎหมายกับฉัน? จริงสิ จะว่าไป หมอนี่เองก็หาเงินได้เร็วใช่ย่อยเหมือนกัน ฟิเกอร์พวกนั้นไม่ใช่ของราคาถูก… ไคลน์อมยิ้ม
“เสี่ยงทำภารกิจอันตราย หากไม่กลัวตาย สมบัติมากมายก็รออยู่ข้างหน้า”
เอ็มลินไม่ตอบโต้ มันเงียบงันเช่นนั้นสักพักก่อนจะเอ่ยปาก
“เย็นนี้ค่อยกลับมาหาข้าใหม่ แล้วจะพาไปพบคนขายโดยตรง”
ว่านอนสอนง่ายชะมัด ไม่น่ากลัวเหมือนแวมไพร์เลยสักนิด…
ขณะเตรียมตอบตกลง ไคลน์พลันฉุกคิดได้ว่าวิธีนี้ค่อนข้างอันตราย
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนขายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันหลังจากเห็นเงินในมือเรา? หรือถ้าอีกฝ่ายไม่มีของแต่แรก แต่เป็นการล่อลวงไปหาเพื่อปล้นเราแทน… เราเชื่อใจเอ็มลิน·ไวท์ แต่ไม่เชื่อใจคนขาย… เห็นทีคงต้องหาข้ออ้างเข้าไปทำนายยืนยันบนมิติสายหมอกก่อนตัดสินใจ… ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากสักหน่อย ยังมีวิธีง่ายกว่านั้น…
หลังจากไตร่ตรอง ไคลน์หันไปมองเอ็มลิน
“ไม่ดีกว่า คุณไปคนเดียว ผมจะให้เงินมัดจำคุณก่อนหนึ่งพันปอนด์ คุณไปหาคนขายและนำวัตถุดิบทั้งสองชนิดมาให้ผมตรวจสอบในวิหารฤดูเก็บเกี่ยว หลังจากยืนยันจนแน่ใจ ผมจะจ่ายในส่วนขาดเหลือให้เอง คนขายคงเห็นด้วยกับวิธีนี้แน่ เพราะผีดูดเลือดเป็นพวกใจกว้างอยู่แล้ว”
เมื่อถูกชมเชย เอ็มลินเชิดคางโดยไม่รู้ตัว
“ไม่มีปัญหา”
หลังจากสิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มฉีกยิ้มกว้าง
“เจ้ากำลังกังวลว่าอีกฝ่ายจะไม่รักษาสัญญาใช่ไหม? และจะสบายใจกว่าถ้าได้แลกเปลี่ยนในวิหารฤดูเก็บเกี่ยวสินะ”
“แน่นอน ทุกคนย่อมรู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ เมื่อได้อยู่ใกล้กับผู้รับใช้พระแม่ธรณีซึ่งสูง 2.2 เมตรและมีกล้ามเนื้อบึกบึน” ไคลน์ยิ้มรับพร้อมกับชี้ไปทางหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ “หากมีใครสามารถล้มเขาได้ คนผู้นั้นคงไม่โง่พอจะทำลายชื่อเสียงตัวเองด้วยเงินเพียงสองพันปอนด์แน่”
เอ็มลินพลันผงะ ก่อนจะพ่นลมหายใจแผ่ว
“แล้วไม่กลัวว่าข้าจะขโมยเงินมัดจำหนึ่งพันปอนด์ไปบ้างหรือ”
ไคลน์จ้องมอง
“ไม่จำเป็นต้องกลัวเลยสักนิด เพราะไม่ว่ายังไง คุณก็ต้องเดินทางมายังวิหารแห่งนี้ทุกวันอยู่แล้ว การหาตัวให้พบไม่ใช่เรื่องยาก และสิ่งมีชีวิตประเภทแวมไพร์สามารถขายทอดตลาดได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันปอนด์แน่นอน”
เอ็มลินถูกจี้จุดอ่อนอย่างจัง มันออกอาการฉุนเฉียวโดยไม่ปิดบัง
“ผีดูดเลือด! ไม่ได้ยินหรือไง? ผีดูดเลือด! แล้วก็อย่ามาเรียกข้าว่าสิ่งมีชีวิต!”
ไคลน์เพียงคิกคัก มิได้ต่อความยาวสาวความยืด เพียงรอให้เอ็มลินใจเย็นลงไปเอง
“ก็ได้… เราจะค้าขายกันด้วยวิธีของเจ้า”
เอ็มลินเลื่อนมือขึ้นมาลูบขมับ
ไคลน์หยิบซองจดหมายเมื่อเช้าออกมายื่นให้อีกฝ่าย ด้านในมีธนบัตรปึกใหญ่มูลค่ารวมหนึ่งพันปอนด์ถ้วน
“แล้วพบกันใหม่สองทุ่มตรง”
เมื่อนับธนบัตรจนแน่ใจว่าไม่ขาดเหลือ รวมถึงตรวจสอบลายน้ำอย่างละเอียดอีกหลายครั้ง เอ็มลินชำเลืองไปทางหลวงพ่อยูทรอฟสกี้อย่างหวาดระแวงพร้อมกับกระซิบเสียงค่อย
“คุณนักสืบเอกชน ในฐานะผู้มีแหล่งข้อมูลหลายช่องทาง คุณเคยได้ยินชื่อของเทพมารนามว่าเดอะฟูลบ้างไหม?”
เทพมาร…? เทพมารบ้านเอ็งสิ…
สาบานได้เลยว่า ถ้าไม่มีพลังตัวตลกช่วยยับยั้ง ไคลน์หลุดสบถใส่หน้าเอ็มลินไปแล้ว
ชายหนุ่มฝืนตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ในช่วงหลัง มีผู้คนมากมายพยายามตามหาเบาะแสของสาวกเดอะฟูล คุณก็เป็นหนึ่งในผู้หวังเงินรางวัลก้อนใหญ่ด้วยหรือ”
เอ็มลินถอนหายใจ
“เปล่า แค่กำลังคิดว่า ข้าควรลองเสี่ยงกับเทพมารตนนั้นดีไหม เพราะบางที ท่านอาจช่วยขจัดการชี้นำทางใจให้ได้ เจ้าเองก็คงทราบใช่ไหม ข่าวลือของท่านแพร่กระจายออกมาพร้อมพระนามเต็ม หากลองเปลี่ยนเป็นภาษาเฮอร์มิสหรือเฮอร์มิสโบราณ โอกาสได้รับการตอบสนองคงมีสูงมาก… ว่ายังไงบ้าง ตกลงว่าเจ้ามีข้อมูลของท่านบ้างไหม จำนวนสาวกมีประมาณเท่าไร และท่านบังคับให้ผู้อื่นเปลี่ยนศาสนาหรือไม่”
จริงอยู่ การสวดภาวนาอาจส่งมาถึงเราโดยตรงและไม่เป็นอันตราย แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า สหายแวมไพร์ของเราจะกล้าขอความช่วยเหลือส่งเดชเช่นนี้…
คนใกล้ตายไม่เลือกหมอสินะ…
ไคลน์เริ่มเกิดอารมณ์ซับซ้อน
“ตัวตนของเดอะฟูลยังเป็นปริศนามาก นอกจากข้อมูลพื้นฐานซึ่งทุกคนทราบกันดี ผมยังไม่เคยได้ยินใครสามารถระบุรายละเอียดได้ลึกกว่านั้น ตัวอย่างเช่น ศาสนาของท่านมีจุดประสงค์ใด และต้องประกอบพิธีกรรมในลักษณะใดจึงจะยอมตอบสนองกลับมา ยิ่งกว่านั้น ผมไม่เข้าใจ ทำไมแวม… เอ่อ ผีดูดเลือดอย่างคุณถึงไม่ประกอบพิธีกรรมมุ่งไปยังบรรพบุรุษของผีดูดเลือดอย่างลิลิธ? หากประกอบพิธีกรรมได้ถูกต้อง มีเครื่องเซ่นครบถ้วน และเลือกกระทำในเวลาเหมาะสม ท่านคงยอมช่วยขจัดการชี้นำทางใจแน่”
เอ็มลินแอบชำเลืองไปทางหลวงพ่ออีกครั้ง ก่อนจะมองออกไปนอกวิหารด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่กล่าวสิ่งใดนานหลายวินาที
จนกระทั่ง มันเริ่มเผยสีหน้าเคร่งเครียด
เอ็มลินเงียบงันอยู่สักพักจึงค่อยกระซิบ
“ก่อนจะถึงยุคสมัยแห่งมหาภัยพิบัติ ท่านบรรพบุรุษแทบไม่เคยตอบสนองพิธีกรรมของผู้สวดภาวนา มีเพียงสถานการณ์พิเศษและเร่งด่วนมากเท่านั้น ซึ่งแน่นอน การรักษาภาวะถูกชี้นำทางใจคงไม่เข้าข่าย”
หือ… ตามตำนานของเมืองเงินพิสุทธิ์ เทพธิดาบรรพกาล ลิลิธ ผู้เป็นตัวแทนของดวงจันทร์ ได้ถูกพระผู้สร้างต้นกำเนิดยึดอำนาจและพลังกลับคืนไป หลังจากนั้น เธอคงร่วงหล่นท่ามกลางศึกระหว่างเทพบรรพกาลด้วยกัน… แต่ถ้าเป็นไปตามข้อมูลข้างต้น แล้วใครคอยตอบสนองพิธีกรรมของเหล่าแวมไพร์ในระยะหลัง? ดวงจันทร์บรรพกาล?
ไคลน์ตัดสินใจซักถาม
“พวกคุณก็ยังมีดวงจันทร์บรรพกาลให้สวดภาวนาถึงไม่ใช่หรือ ผมเคยได้ยินว่ามีผู้วิเศษจำนวนไม่น้อยนับถือเทพองค์นี้ บางส่วนเคยประกอบพิธีกรรมหยิบยืมพลังจากท่าน”
เรากำลังหมายถึงราชาหมอผี คารามัน และสิ่งมีชีวิตด้อยปัญญาประเภทอื่น…
มันเสริมในใจ
ริมฝีปากเอ็มลินเริ่มสั่นเทาโดยปราศจากถ้อยคำตามหลัง บนใบหน้าแวมไพร์หนุ่มเผยความหวาดกลัวเล็กน้อย
ผ่านไปหลายวินาที มันยอมเล่าเสียงขรึม
“ข้ากำลังสงสัยว่า บางที ดวงจันทร์บรรพกาลอาจถูกสวมรอยโดยฝีมือเทพมารจิตใจต่ำช้าสักตน หรือไม่ก็ปีศาจลำดับสูง ผู้เคยสวดภาวนาถึงท่านมักเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในทางแย่ กลายเป็นคนป่าเถื่อน บ้าคลั่ง และเต็มไปด้วยแรงกระหาย หรือหากโชคดีรอดมาได้ ซึ่งส่วนมากมักเป็นผีดูดเลือด ก็ยังมีโอกาสคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาดไร้สมอง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เคยมีผีดูดเลือดทรงพลังพยายามสวดภาวนาถึงท่านขณะตกอยู่ในอันตราย แต่ผลลัพธ์กลับลงเอยด้วย หล่อนต้องกลายเป็นก้อนเนื้อซึ่งทุกลมหายใจเข้าออกมีเพียงการผสมพันธุ์และขยายพันธุ์ หล่อนทำกับกระบือ แกะตัวผู้ ม้าพ่อพันธุ์ หนู หรือแม้กระทั่งพืชและก้อนหิน ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่า ทายาทของหล่อนได้พัฒนากลายเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่อย่างแท้จริง แค่โชคยังดี หล่อนถูกบรรพบุรุษของเรากำจัดทิ้งอย่างสิ้นซากไปพร้อมกับเหล่าทายาทอันน่ารังเกียจแล้ว”
…ดวงจันทร์บรรพกาลอันตรายขนาดนี้เชียวหรือ หนังสือแห่งความลับไม่เคยเอ่ยถึงสักคำเดียว หรือราชาหมอผีคารามันเองก็ถูกกัดกร่อนสมองจนหมดแล้ว? โชคยังดี เราไม่เคยประกอบพิธีกรรมตามคู่มือ เพียงดัดแปลงให้สื่อถึงเดอะฟูลแทน…
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากเอ็มลิน ไคลน์พลันเสียวสันหลังจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูก
ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจว่า การสวดภาวนาถึงเทพนอกรีตตนอื่นนอกจากเจ็ดเทพหลัก คงไม่ใช่เรื่องฉลาดสักเท่าไร
ยกเว้นเรา… ไคลน์รำพัน
พร้อมกันนั้น เอ็มลินเผยรอยยิ้มขื่นขม
“ถ้าผลเสียจากการสวดภาวนาถึงเดอะฟูลไม่เลวร้ายนัก ข้าก็อยากจะลองเสี่ยงดู”
สหาย ผลเสียเพียงข้อเดียวก็คือ นายต้องจ่ายเงินเพื่อแลกกับการรักษาอาการทางจิต…
ไคลน์ตบบ่าเอ็มลินแผ่วเบาพร้อมกับวาดสัญลักษณ์สามเหลี่ยมกลางหน้าอก
“การสวดภาวนาถึงเทพนอกรีตเป็นเรื่องอันตราย ถ้าอยากลองเสี่ยงดวง ทำไมถึงไม่สุ่มภาวนาไปยังเทพจารีตสักองค์แทน พวกท่านไม่มีวันสร้างผลเสียกับคุณ และไม่บังคับให้ต้องนำตุ๊กตาในห้องไปทิ้งด้วย”
“เว้นเสียแต่ว่าจะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว…” แวมไพร์เอ็มลินเริ่มใจเย็น
ไคลน์ไม่สาวความยืด รีบแทรกตัวเดินออกจากแถวเก้าอี้สวดมนตร์และเร่งฝีเท้าจนพ้นเขตวิหารฤดูเก็บเกี่ยว
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าหมอกจัดด้านบน ตามด้วยการครุ่นคิดถึงอนาคตถัดไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากนี้ เราต้องเก็บเงินอีกก้อนใหญ่สำหรับซื้อวัตถุดิบหลักชิ้นสุดท้าย…
ทางฝั่งเดอะซันน้อยคงติดต่อไม่ได้อีกสักพักใหญ่ ด้วยเหตุนี้ เราจะให้เขาจ่ายค่าตอบแทนเป็นการ หาวิธีลบการกัดกร่อนทางจิตของผู้คลุ้มคลั่งออกจากตะกอนพลังแทน… เส้นผมนากาทะเลลึกคงไม่ใช่ปัญหา มิสเตอร์แฮงแมนจัดการได้ไม่ยาก ดังนั้น งานของเราจึงเหลือเพียงการตามหาเบาะแสของตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์… วัตถุดิบหลักชิ้นนี้หายากมาก ไม่มีเบาะแสทั้งจากเอ็มลิน·ไวท์และมิสเตอร์เนตรแห่งปัญญา ไอเซนการ์ดสแตนธอน มานานนับเดือนแล้ว สงสัยต้องเพิ่มช่องทางการค้นหาเข้าไปอีก… และนั่นคงใช้เวลานานพอสมควร จริงสิ ผู้วิเศษลำดับสูงของโรงเรียนกุหลาบคงไม่เฝ้าผับวีรบุรุษอย่างใกล้ชิดมากนัก บางที เราควรแวะเข้าไปในช่วงบ่ายเพื่อหาวิธีติดต่อกับมาดามชารอน…
ไคลน์วางแผนอย่างคล่องแคล่ว
การจะเดินทางไปยังผับวีรบุรุษ มันต้องอ้อมเข้าเขตตะวันออกเสียก่อน จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคนงานภายในหอพักบนถนนปาล์มดำ
ขณะครุ่นคิด สองเท้าของมันก้าวข้ามถนนไปยังป้ายรถม้าสาธารณะอีกฝั่ง

เขตตะวันออก ณ สุสานกรีน
ฟอร์ส·วอลล์ในชุดเดรสสีดำและหมวกห้อยตาข่าย เร่งฝีเท้าเพื่อเดินให้ทันโดเรียน·เกรย์ หนึ่งในสมาชิกตระกูลอับราฮัม สำหรับวันนี้ หญิงสาวสัญญาว่าจะพาอีกฝ่ายมาวางดอกไม้หน้าหลุมศพของอาริสา ลาโบโร่ และลอว์เรนซ์
ขณะย่างกรายโดยปราศจากบทสนทนา สมองฟอร์สกำลังครุ่นคิดเพียงเรื่องเดียวก็คือ วิธีหาเบาะแสวัตถุดิบหลักโอสถชิ้นถัดไปของตน ถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนวิญญาณ
ฟอร์สทราบดีว่าตนย่อยโอสถผู้ฝึกหัดเสร็จนานแล้ว และจะกลายเป็นนักตุกติกทันทีเมื่อได้ถุงกระเพาะอาหารของผู้กลืนมาไว้ในมือ อย่างไรก็ตาม เธอไม่มีเบาะแสของมันแม้แต่นิดเดียว และเดอะซันซึ่งฟอร์สเคยฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้ ก็ต้องเก็บตัวเงียบชั่วคราวไปอีกสักพัก ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมหรือชักชวนเพื่อนฝูงออกไปล่าผู้กลืนวิญญาณได้ตามสะดวก เพราะกำลังถูกจับตามองโดยคนของสภาอาวุโส
เพื่อจะรีบเลื่อนลำดับและหลุดพ้นจากคำสาปในคืนจันทร์เต็มดวงโดยเร็ว ฟอร์สถึงกับนำเรื่องนี้มาปรึกษาเดอะฟูล หวังให้ผู้รับใช้ของท่านช่วยจัดหาวัตถุดิบโอสถ ระหว่างการขอร้องยังแจ้งด้วยว่า นิยายเรื่องใหม่ของเธอกำลังอยู่ในกระบวนการตีพิมพ์ หากทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น เธอจะมีรายได้มั่นคงเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำไปเช่นนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเธอมีเงินมาจ่ายว่าวัตถุดิบโอสถแน่นอน สำหรับตัวตนนักเขียนบนโลกความจริง หญิงสาวมิได้กังวลว่าจะถูกเปิดเผย เพราะมิสเตอร์ฟูลคงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีแล้ว
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบ สันโดษ และหนาวเหน็บ ฟอร์สกับโดเรียนเดินมาหยุดยืนหน้าหลุมศพลอว์เรนซ์
เมื่อจ้องมองรูปภาพเจ้าของหลุมศพและอ่านถ้อยคำจารึกบนป้ายหิน : ‘เขาคือยอดครู’ โดเรียน·เกรย์เงียบงันนานหลายวินาที ก่อนจะถอนหายใจยาว
“ช่างน่าขันนัก…”
“ทำไมหรือคะ” ฟอร์สซักถามด้วยสีหน้ากระวนกระวาย กังวลว่าตนทำอะไรผิดไป
เธอเคยได้ยินลอว์เรนซ์บอกว่าเป็นครูสอนโรงเรียนรัฐบาลในเมืองคอนสแตน รัฐเลียบทะเล จึงเลือกใช้คำจารึกดังกล่าว
“เปล่า คุณไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องนี้เป็นเพียงความน่าสมเพชของตระกูลเรา” โดเรียนตัดพ้อพร้อมกับโน้มตัวลงไปวางดอกไม้
หลังจากลุกยืนตรง มันมองไปข้างหน้าสักพักโดยไม่กล่าวสิ่งใด จนกระทั่งหันหน้ากลับมาถามหญิงสาวด้านข้าง
“ฟอร์ส คุณอยากเป็นผู้วิเศษไหม ผู้วิเศษในเชิงศาสตร์เร้นลับ แบบเดียวกับคำอธิบายในจดหมายของผม”
……………………

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด