ราชันเร้นลับ 907: พลังแห่งศาสตร์เร้นลับ
ราชันเร้นลับ 907: พลังแห่งศาสตร์เร้นลับ
บ้านส่วนใหญ่ในเมืองเครนสร้างขึ้นริมถนนที่คดเคี้ยว บริเวณที่ค่อนข้างโลกจะถูกใช้เป็นจัตุรัสหรือไม่ก็ตลาดไคลน์แบกกระเป๋าเดินทาง อาศัยสัญชาตญาณของนักทำนายเลือกทิศทาง มองหาผับที่ครึกครื้นระหว่างทางรถม้าบนท้องถนนมีไม่มากนัก ใช้เวลานานกว่าจะเห็นรถม้าเช่าสักคันหนึ่ง การขนส่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไบลัมตะวันออกคือ ‘โลงศพ’ เกิดจากธรรมเนียมการบูชาเทพมรณา ผู้คนจึงมองว่าโลงศพเป็นสถานที่แห่งความสงบสุข ดังนั้น ไคลน์จึงเห็นคนสองสามคนเดินผ่านไปโดยกำลังแบกโลงศพสีดำ ฝาโลงเบากว่าปรกติมาก คล้ายประตูรถม้าที่สามารถเปิดปิดได้ตามใจชอบมีตั้งแต่สองคนห้าม หรือสี่คน แปดคน หรือใช้รถม้าลาก… ประเพณีพื้นบ้านเช่นนี้ค่อนข้างน่ากลัวในตอนกลางคืน อา… ระหว่างวันก็ไม่ดีกว่ากันสักเท่าไร เมืองทั้งเมืองดูมืดมน… ไคลน์ชื่นชม ‘ทิวทัศน์’ ริมถนนสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในลานกว้าง ฝั่งซ้ายมือเป็นวิหารของ ‘วายุสลาตัน’ ฝั่งขวามือเป็นร้านอาหาร ผับ และร้านค้าอื่นๆขณะมันหยุดฝีเท้า โลงศพที่หามโดยสี่คนกำลังถูกวางลงข้างๆหลังจากฝาโลงเปิดขึ้น ผู้โดยสารที่นอนอยู่ด้านในลุกขึ้นยืนและก้าวลงมา เป็นสุภาพบุรุษชาวทวีปเหนือที่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและเสื้อกั๊กสีดำเสื้อนอกของสุภาพบุรุษรายนี้ถูกคล้องไว้กับแขน คอยสวมหลังออกจากโลงศพถัดมา ไคลน์เฝ้ามองสุภาพบุรุษคนดังกล่าวมุ่งหน้าไปยังวิหารของโบสถ์วายุสลาตันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดชะมัด… ไม่ใช่ว่าศาสนจักรวายุสลาตันชอบที่จะเปลี่ยนประเพณีของดินแดนอาณานิคมให้เป็นแบบเดียวกับโลเอ็นหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่ทำแบบเดียวกันในไบลัมตะวันออก? หรือเป็นเพราะเส้นทางมรณาใกล้เคียงกับเส้นทางรัตติกาล โบสถ์วายุสลาตันจึงพยายามรักษาความเชื่อในดินแดนที่บูชาเทพมรณา หวังให้โบสถ์รัตติกาลเผยแผ่ศาสนาได้ลำบาก? ไคลน์พยักหน้าครุ่นคิด เลี้ยวเข้าไปในตึกทางขวามือ เตรียมเข้าไปในผับแห่งหนึ่งด้วยประสบการณ์อันโชกโชน มันเริ่มเข้าใจอย่างคลุมเครือว่า เหตุใดรูปแบบเสื้อผ้าของจักรวรรดิไบลัมโบราณจึงถูกบรรยายไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หลายเล่มชอบใส่กางเกงเบาๆ และโปร่ง มองว่าจีบเป็นของสวยงาม… เพราะจะได้สะดวกเวลานอนในโลงศพ? ไคลน์ยิ้มพลางส่ายหน้า ผลักเปิดประตูไม้หนักๆ ของผับ เดินผ่านกลุ่มคนเมาเข้าไปในเคาน์เตอร์บาร์ขณะเดียวกัน ทหาร ‘ผู้ติดตาม’ ทั้งสองคนเกรงว่าความจะแตก จึงสร้างระยะห่างกับดอน·ดันเตส ทำเพียงหยุดรอที่ประตูฉวยโอกาสไม่กี่อึดใจที่เกิดขึ้น ไคลน์รีบหักเลี้ยวพร้อมกับแหวกว่ายผ่านฝูงชนประหนึ่งปลา วิ่งออกไปทางประตูหลังของผับด้วยความเร็วสูงแม้ว่ามันจะพูดตูทานไม่ได้ แต่ก็พอจะเข้าใจสัญลักษณ์ที่วาดบนป้ายประกาศ พอจะทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน และตรงไหนห้ามลูกค้าทั่วไปเข้าหลังจากหักเลี้ยวเข้าไปในมุมอับของประตู ไคลน์หมุนตัวกลับหลังพร้อมกับถอดเสื้อนอกออกอย่างรวดเร็ว ห้อยไว้บนแขนถัดมา มือข้างหนึ่งกุมหัวไม้ค่ำที่เลี่ยมทอง ส่วนอีกข้างปิดหน้าพร้อมกับลดความเร็วในการเดิน ตรงกลับไปที่ประตูผับหลังจากเดินออกจากจุดที่ถอดเสื้อนอกราวสิบเมตร ไคลน์เลื่อนมือขวาออกจากใบหน้า รูปลักษณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจอนสีขาว ดวงตาลุ่มลึก บุคลิกสง่างาม ทั้งหมดอันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิง ถูกแทนที่ด้วยรูปลักษณ์ของชาวโลเอ็นตามปรกติที่พบเห็นได้ทั่วไปในทวีปเหนือในท่าถือกระเป๋าและไม้ค้ำ ไคลน์เดินอย่างใจเย็นผ่านหน้าทหาร ‘ผู้สะกดรอย’ ทั้งสองคนขณะที่มันพยายามมองไปรอบๆ เพื่อค้นหาดอน·ดันเตส ออกจากผับอย่างราบรื่นไม่ว่าจะเป็นการสะกดรอยหรือต่อต้านการสะกดรอย ทั้งสองสิ่งคือจุดแข็งของผู้ไร้หน้า!กลับถึงจัตุรัส ไคลน์เลี้ยวเข้าตรอกเล็กๆ ที่ลาดเอียงไปขึ้น ภายในใจเริ่มวางแผนหาห้องพักขณะเดินไปบนถนนค่อนข้างเปลี่ยว มันก็ได้ยินเสียงตะโกนอันน่าสะพรึงกลัวของผู้หญิงเสียงดังกล่าวดังขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะเงียบสนิทแม้จะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายตะโกนว่าอย่างไร แต่ไคลน์สัมผัสได้ถึงความกลัว สยองขวัญ และตื่นตระหนก ดังนั้น มันเปลี่ยนแผนทันที เลี้ยวเข้าไปในทางแคบๆ ที่ปลอดคนยิ่งกว่าเก่าผ่านไปไม่ถึงสิบวินาที ในตรอกเปลี่ยวดังกล่าว ชายท้องถิ่นผิวสีน้ำตาลคนหนึ่ง อายุราวสามสิบ กำลังข่มเหงเด็กผู้หญิงอายุไม่เกินสิบสามหรือสิบสี่ มีการใช้ความรุนแรงไคลน์ชำเลืองด้วยหางตา ลดความเร็วในการเดิน ก่อนจะหยุดฝีเท้าในเงามืดใกล้ๆในเวลานี้ ใบหน้าของเด็กสาวกำลังบิดเบี้ยวด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด แต่ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนสักเท่าไร ก็ยากที่จะสลัดให้หลุด ผลลัพธ์เดียวคือการถูกทุบตีรุนแรงกว่าเดิมน้ำตาและน้ำมูกไหลอาบใบหน้าเด็กสาว และเนื้อจากถูกเศษผ้ายัดมาก จึงทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้แต่ทันใดนั้น เด็กสาวมีอันต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าไอ้ระยำที่พยายามจะถอดเสื้อผ้าของเธอ เริ่มเคลื่อนไหวได้เชื่องช้าลง“…” โดยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กสาวทำได้เพียงมองไอ้ระยำตรงหน้าค่อยๆ มีดวงตาเบิกโพลง กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกแผ่วเบา แต่อารมณ์ค่อนข้างคลุมเครือ มือเท้ากระตุกและหยุดเป็นพักๆ พยายามทำต่อจากสิ่งที่เคยทำ แต่ก็เชื่องช้าเสียจนขัดขืนได้ง่ายดายเด็กสาวผลักอีกฝ่ายออกตามสัญชาตญาณ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมมาก เมื่อพบว่าตัวเองเป็นอิสระ เธอรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เตรียมหนีออกไปจากตรอก ทว่า แข้งขากลับอ่อนระทวยอย่างมิอาจควบคุม หลังวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เด็กสาวสะดุดก้อนหิน เกือบจนเกือบล้มคะมำทันใดนั้น เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างหลัง ภายในใจทวีความตื่นตระหนก มือเท้าสั่นระริกยิ่งกว่าเดิมถัดมาไม่นาน เสียงฝีเท้าหยุดลงเด็กสาวหันกลับมามองตามสัญชาตญาณ พบไอ้ระยำกำลังยืนตัวแข็งทื่อในจุดที่ห่างออกไปราวสองเมตร อีกฝ่ายเคลื่อนไหวประหลาดๆ ราวกับข้อต่อของมันขึ้นสนิม“เกิดอะไรขึ้น…” เด็กหญิงตัวเล็กๆ รู้สึกเหมือนฝันไปชายผิวสีน้ำตาลดิ้นรนอยู่สักพัก จนกระทั่งท้ายที่สุด มันเผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าวเป็นภาษาตูทาน“ถ้าในอนาคตเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก เธอต้องรีบวิ่งไปที่วิหารที่ใกล้ที่สุด หรือไม่ก็จุดที่มีผู้คนพลุกพล่าน”เด็กสาวพลันผงะก่อนจะส่งเสียงกรีดร้อง หันหลังและวิ่งหนีไปด้วยจิตใต้สำนึก เธอเลือกวิ่งไปยังทิศทางของวิหารใกล้กับจัตุรัสรอจนเหตุการณ์ภายในตรอกกลับมาเงียบสงบ ชายท้องถิ่นผิวสีน้ำตาลหันกลับไปมองเงาดำด้านหลัง จ้องไคลน์ที่กำลังเดินออกจากจุดดังกล่าว“หุ่นเชิดตัวใหม่… ทั้งอ่อนแอและไม่คล่องตัว ปราศจากพลังพิเศษ หน้าตาค่อนข้างไม่เป็นมิตร นอกจากการพูดตูทานได้ ประโยชน์ด้านอื่นไม่มีเลยสักนิด” ไคลน์วิเคราะห์คร่าวๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านี่ทำชั่วซึ่งๆ หน้า ถ้าไม่ใช่เพราะมันรู้ภาษาตูทาน เราคงฝังไปแล้ว”มันอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับหุ่นเชิดตัวก่อนอย่าง ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลเซนอลคือ ‘วิญญาณอาฆาต’ สามารถ ‘กระโดดกระจก’ และซ่อนบนผิวสะท้อนของเหรียญทอง… ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครพบ… แถมยังมีเสียงหวีดแหลมและพลังในการสิงร่างเป้าหมาย เป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของนักเชิดหุ่นและที่สำคัญที่สุด… เซนอลรู้ภาษาตูทาน… การนำหุ่นเชิดตัวนี้ไปเทียบกับเซนอล ก็เหมือนกับการเทียบหามูลค่าของเงินหนึ่งเพนนีกับสี่หมื่นสองพันปอนด์…เราไม่รู้ว่ามันชื่ออะไร… ทำได้แค่ใช้สอดแนม แถมยังไม่มีความทรงจำเก่าๆ เว้นเสียแต่จะได้พบคนรู้จัก ดวงวิญญาณจึงจะยอม ‘คาย’ ข้อมูลออกมาเพิ่มเติม… ตอนนี้เรียกว่า ‘อัฟ’ ไปก่อนก็แล้วกัน ไม่สิ เอาเป็น ‘อูฟ’ ดีกว่า…ไคลน์ลูบหน้าผากพลางถอนหายใจ รีบนำหุ่นเชิดออกจากจุดเกิดเหตุก่อนที่เด็กหญิงจะไปตามนักบวชออกมาถัดมาไม่นาน อาศัยทักษะรู้ภาษาของหุ่นเชิด ไคลน์ย้ายไปยังย่านที่มีความเจริญและล้าหลังบรรจบกัน สุ่มหาเช่าโรงแรมเข้าพักโดยไม่ต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตน เพราะไคลน์ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้เป็นชาวเมืองท้องถิ่นขาดการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าอาณานิคมทางทะเล… ไคลน์วางสัมภาระลง โยนเงินสดส่วนใหญ่ที่กำลังพกติดตัวเข้าไปในมิติหมอก เหลือไว้เพียงห้าสิบปอนด์สำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันในเวลาเดียวกัน เนื่องจากผ่านทะเลคลั่งมาแล้ว มันไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปรกติ จึงหยิบนกหวีดทองแดงและกล่องบุหรี่เหล็กออกมามิติลึกลับเหนือหมอกสีเทา เพื่อให้มิสเตอร์อะซิกระบุพิกัดของตนได้ง่ายจัดการทั้งหมดเสร็จ เนื่องจากกินอาหารค่ำบนเรือโดยสารเรียบร้อย ไคลน์จึงมีเวลาว่าง ตัดสินใจรีบมองหาหุ่นเชิดตัวที่สองส่วนคำถามที่ว่า จะหาได้จากไหน ไคลน์ที่ยังไม่รู้จักเมืองเครนดีพอ ตัดสินใจใช้พลังนักทำนาย พลังแห่งศาสตร์เร้นลับ!หลังออกจากโรงแรมไปพร้อมกับอูฟ ไคลน์หักกิ่งต้นดอนนิงส์แมนเพื่อใช้ต่างแทงวิญญาณ เข้าฌานอย่างชำนาญพร้อมกับกระซิบกระซาบ“ตำแหน่งของหุ่นเชิดตัวใหม่”ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ดวงตาที่คล้ายกับสามารถมองทะลุผ่านอุปสรรคระหว่างภาพมายาและความเป็นจริง กำลังจ้องมองแท่งวิญญาณอย่างไม่กะพริบกิ่งไม้ร่วงหล่นลงพื้น ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งหลังจากเดินตรงไปสักพัก ไคลน์ทำนายใหม่อีกครั้งและเดินไปตามทิศทางของผลการทำนาย ผ่านไปราวเจ็ดแปดรอบก็มาถึงขั้นบันไดที่สูงชันบันไดแห่งนี้เชื่อมต่อถนนหลายเส้นในเมืองเครน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองขั้นบนสุด ไคลน์ยังไม่พบใครผลลัพธ์การทำนายนำมาที่นี่ไม่ผิดแน่… แล้วทำไมถึงไม่มีใคร? เพราะไม่ใช่การทำนายเหนือมิติหมอกสีเทา ผลลัพธ์จึงไม่ถูกต้อง? แต่ตอนนี้เราเป็นถึงลำดับ 5 นักเชิดหุ่น พลังการทำนายเข้มแข็งที่สุดในบรรดาผู้วิเศษที่ต่ำกว่าครึ่งเทพ… ไคลน์ขมวดคิ้วพลางมองไปรอบตัว แต่ก็ยังไม่พบเป้าหมายใดครุ่นคิดสักพัก มันตัดสินใจเดินลงและหยุดนั่งพักใต้ร่มเงาของขั้นบันไดที่เชื่อมกับเขตริมฝีปากล่าง รอคอยอย่างเบื่อหน่ายและไม่มั่นใจนักไม่กี่นาทีถัดมา มันยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมกับบังคับหุ่นเชิด ‘อูฟ’ นั่งในตำแหน่งเดิมของตัวเองจากนั้น ไคลน์เดินออกห่างเพื่อซ่อนตัวอยู่ในจุดลับสายตาซึ่งไกลออกไปราวสองร้อยเมตร…เมืองเครน เขตริมฝีปากล่างเลียวนาร์ด·มิเชล ดาลีย์·ซิโมเน่ และคนที่เหลือเดินตามโซสต์ หัวหน้าหน่วยถุงมือแดงไปยังละแวกหนึ่งท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี โซสต์กล่าวเน้นย้ำอีกครั้งกับลูกน้องทุกคน“เป้าหมายของเราคืออูลิก้า อาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 13 เป็นสมาชิกคนสำคัญของนิกายวิญญาณ รับผิดชอบในการติดต่อประสานงานกับหน่วยต่างๆ ในกรุงเบ็คลันด์… แม้ข้อมูลทางฝั่งเราจะระบุว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ครึ่งเทพ แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ผมได้เบิกสมบัติปิดผนึกระดับ 1 มาด้วย และยังมีท่านเจ้าคุณ ‘ดวงตาแห่งเทพธิดา’ รอส่งความช่วยเหลือมาทุกเมื่อ… นอกจากนั้น ผู้พักอาศัยในละแวกนี้ส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมือง เราจะยังไม่ตัดความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจเป็นสมาชิกของนิกายวิญญาณ”
คอมเม้นต์