ราชันเร้นลับ 801 : อ้อนวอน
หลังจากประหลาดใจสักพัก เอ็มลินอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบตัวด้วยความสงสัยว่า เดอะเวิร์ลอาจกำลังซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวกของวิหารฤดูเก็บเกี่ยวอย่างที่ทราบกันดี มันไม่เคยเอ่ยถึงเทียนไขจิตฝันร้ายในชุมนุมทาโรต์ และบิชอปยูทรอฟสกี้ก็แทบไม่เคยขัดแย้งกับใครจนต้องใช้สมบัติวิเศษ หากไม่ใช่เพราะนักสืบเชอร์ล็อกเตือนให้มันฉุกคิดว่า การที่ตนอยากแวะมาวิหารฤดูเก็บเกี่ยวทุกๆ วัน อาจเป็นเพราะถูกฝังการโน้มน้าวทางใจ และตัดสินไปถามบิชอปตรงๆ จนได้รับคำตอบ เกรงว่าแม้แต่ตัวมันก็คงไม่ทราบถึงการมีอยู่ของเทียนไขจิตฝันร้ายทันใดนั้น เอ็มลินพลันรู้สึกว่าทุกคนดูเหมือน ‘เดอะเวิร์ล’ ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นชายวัยกลางคนลงพุง หญิงชราที่สวมผ้าโพกศีรษะสีเทา สาวสวยแต่งตัวนำสมัย ทุกคนล้วนมีบางส่วนคล้ายคลึงเดอะเวิร์ลท่าไม่ดีแล้ว… เราต้องหาคำตอบให้ได้ ชายคนนั้นรู้จักสภาพแวดล้อมรอบตัวเราดีเกินไป… กระทั่งต่อหน้ามิสเตอร์ฟูล เรายังไม่เคยพูดถึงบางเรื่อง… เอ็มลินลุกขึ้นยืนด้วยอาการผวาเล็กๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องพักนักบวชด้านหลัง ตอบกลับเดอะฟูลท่ามกลางความเงียบสงบ“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ข้าต้องการพูดคุยกับเดอะเวิร์ลโดยตรง”ไม่ถึงสิบวินาที แสงสีแดงอาบร่างเอ็มลินอย่างท่วมท้นประหนึ่งคลื่นน้ำถัดมา มันพบว่าตัวเองกลับมาอยู่บนมิติเหนือสายหมอกอีกครั้ง กำลังนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมท่ามกลางพระราชวังอันงดงามสุดขอบโต๊ะทองแดงยาวอีกฝั่งหนึ่งมี ‘เดอะเวิร์ล’ นั่งรออยู่ก่อนแล้วในลักษณะพร่ามัวเทียบกับสมัยอดีต เอ็มลินทำตัวดีขึ้นมาก ไม่รีบร้อนสนทนากับเดอะเวิร์ล แต่เลือกทักทายเดอะฟูลซึ่งกำลังเฝ้ามองด้วยท่าทีผ่อนคลาย จึงค่อยหันกลับมายังสุดขอบโต๊ะทองแดงลวดลายเก่าแก่อีกฝั่งและกล่าว“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าสามารถหาเทียนไขจิตฝันร้ายให้ได้?”เดอะเวิร์ลภายใต้การควบคุมของไคลน์ ตอบเสียงทุ้มและแหบ“พวกเราอาจจะเคยพบกันมาก่อน”มันมิได้ลงลึกรายละเอียด ระบุเฉพาะจุดที่สำคัญ ส่วนเอ็มลินจะพบคำตอบหรือไม่นั่น คงต้องให้เป็นปัญหาของเจ้าตัวแน่นอน ไคลน์เชื่อว่าเอ็มลินยังไม่สามารถเชื่อมโยงกับเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ได้ในตอนนี้ เพราะท้ายที่สุด เบาะแสบ่งชี้ยังน้อยเกินไปเอ็มลินขมวดคิ้ว พยายามตีกรอบผู้ต้องสงสัยลง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบว่าใครคือเดอะเวิร์ล“เชื่อเถอะ ผมไม่มีเจตนาร้ายต่อสมาชิกของชุมนุมทาโรต์” เมื่อเห็นว่าเอ็มลินเงียบไปนาน เดอะเวิร์ลเสริมอีกหนึ่งประโยคเฮ่อะ… สักวัน ข้าจะหาตัวเจ้าให้พบ! เอ็มลินพึมพำก่อนจะถาม“เจ้าจะนำเทียนไขจิตฝันร้ายไปทำอะไร? ข้าต้องมีเหตุผลที่ดีในการขอยืม”ไคลน์ระงับมือขวาของตนมิให้ยกขึ้นมาจับขมับ บังคับให้เดอะเวิร์ลกล่าว“รักษาอาการทางจิตของตัวเอง”รักษา… อาการทางจิต? เอ็มลินสะดุ้งเล็กๆ ก่อนจะยืดหลังตั้งตรงอีกครั้งมองกลับไปทางเดอะเวิร์ล ภาพที่เห็นช่วยให้มันระบุได้ว่า อีกฝ่ายคือชายเสียสติแสนอันตราย“…” เทียนไขจิตฝันร้ายรักษาอาการทางจิตได้จริง… เอ็มลินใช้ความคิดสักพัก “ข้ายืมให้ได้แค่ครึ่งวัน ไม่มีปัญหาใช่ไหม?”“ไม่มีปัญหา” ไคลน์อดทนต่อเสียงอ้อนวอนและข่มขู่ภายในหัว บังคับให้เดอะเวิร์ลตอบกลับหากเทียนไขจิตฝันร้ายแก้ปัญหาได้ เพียงสิบห้านาทีก็เกินพอ แต่ถ้าไม่ได้ผล ต่อให้ยืมหนึ่งวันหรือหนึ่งเดือนก็มีค่าเท่ากัน ดังนั้น ปัจจัยด้านเวลาจึงมิได้สลักสำคัญเอ็มลินคำนวณในใจสักพัก“ค่าเช่าสามร้อยปอนด์ รวมถึงการบันทึกพลังลงในสมุดเวทมนตร์เลมาโน่จำนวนห้าหน้า”มันต้องการแบ่งเบาภาระหนี้ของตนลงครึ่งหนึ่งห้าหน้า… หมอนี่ใช้ไปกี่หน้ากันแน่? ไคลน์รำพัน สั่งให้เดอะเวิร์ลพูด“ตกลง”หลังจากเจรจาธุรกิจเสร็จ เอ็มลินกลับสู่โลกความจริง เดินออกจากห้องพักของนักบวชเมื่อมองไปรอบๆ มันพบว่าบิชอปยูทรอฟสกี้ ลูกครึ่งคนยักษ์กำลังยืนคุยกับสาวกอยู่หน้าแท่นบูชา ภายในใจเริ่มเกิดความประหม่าแม้จะเชื่อใจคำพูดของเดอะเวิร์ล แต่อันที่จริง มันไม่เคยยืมสิ่งของมูลค่าสูงจากบิชอปมาก่อน ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองอย่างไรขณะกวาดสายไปโดยไม่รู้ตัว เอ็มลินสำรวจรอบๆ โถงสวดมนต์เราเคยช่วยหลวงพ่อรักษาชีวิตชาวเมืองจำนวนมากที่ติดโรคระบาด… เคยถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรให้สาวกที่ใฝ่เรียน คอยช่วยเผยแผ่คำสอนของพระแม่ให้กับชาวเมืองละแวกนี้ กับแค่ยืมเทียนไขจิตฝันร้ายสักครึ่งวันจะเป็นอะไรไป? เอ็มลินเชิดคาง เดินเข้าหาบิชอปยูทรอฟสกี้ที่สูงจนต้องเงยหน้า กระแอมในลำคอและพูด“เพื่อนของข้าคนหนึ่งมีปัญหาทางจิต ขอยืมเทียนไขจิตฝันร้ายได้ไหม?”มันมิได้รำลึกบุญคุณ เพราะศักดิ์ศรีไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นบิชอปยูทรอฟสกี้ก้มมองเอ็มลินในชุดคลุมนักบวช เผยรอยยิ้มอ่อนโยน“ตกลง”ง่ายๆ แบบนี้เลย? เอ็มลินถึงกับผงะ ไม่อยากเชื่อว่าบิชอปจะยินยอมคล้ายกับมิอาจทำใจยอมรับ มันถามกลับ“ไม่กลัวข้าทำหายหรือ”บิชอปยูทรอฟสกี้ตอบด้วยรอยยิ้ม“ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีจุดจบในตัวเอง กลับคืนสู่ผืนธรณี ฝังลึกลงใต้ดินและงอกเงยขึ้นมาใหม่ เจริญเติบโตและผลิดอกออกผล ส่งต่อชีวิตไปเรื่อยๆ … ไม่มีอะไรหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ได้ หากเทียนไขจิตฝันร้ายสูญหาย หมายความว่าผมกับมันหมดวาสนาต่อกัน ต้องอดทนรอโชคชะตาและการ ‘ดลบันดาล’ ของพระมารดา”การสูญเสียเทียนไขจิตฝันร้ายคือชะตากรรม… ถ้าอย่างนั้น ข้าที่เกือบถูกเจ้าทุบตีจนตายก็เป็นชะตากรรมเหมือนกัน? เอ็มลินหัวเราะแห้ง ไม่ถามสิ่งใดต่อ รับเทียนไขพิสดารมาจากนักบวชครึ่งคนยักษ์ถัดมา มันใช้ข้ออ้างว่าจะไปรักษาเพื่อน ปลีกตัวออกจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยว สุ่มเข้าพักในโรงแรมและประกอบพิธีกรรมสังเวย…เหนือมิติสายหมอก เป็นอีกครั้งที่ไคลน์ได้รับเทียนไขจิตฝันร้ายสมบัติวิเศษชิ้นนี้คล้ายกับไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ผิวชั้นนอกดูเหมือนหนังมนุษย์ มีรอยขรุขระหลายแห่งแท่งเทียนสั้นมาก ดำสนิทถ้วนทั่ว ลวดลายคล้ายเกล็ดเล็กๆไคลน์ไม่มัวรีรอ ไม่คิดปล่อยให้อีกหนึ่งบุคลิกเติบโต อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายยังอ่อนแอรีบถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก ไม่อย่างนั้น จุดจบเดียวที่รอตนอยู่คือการคลุ้มคลั่ง และเหนือสิ่งอื่นใด ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของมิติหมอก การต่อสู้ระหว่างสองบุคลิกในร่างกายจะไม่ส่งผลกระทบต่อภายนอกฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจแผ่ว ยื่นมือออกไปเพื่ออัญเชิญคทาเทพสมุทรสำหรับครั้งนี้ ชายหนุ่มมิได้ลงมือทำนาย เพราะไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ‘เรา’ หมายถึงใคร ผลลัพธ์ที่ได้จึงไร้ค่าเป๊าะ!ไคลน์ดีดนิ้วเพื่อจุดเทียนไขจิตฝันร้ายบนเทียนไขสีดำสนิท เปลวไฟมายาสีฟ้าอ่อนลุกไหม้อย่างเงียบงัน มอบความสว่างไสวให้กับวังลึกลับโดยไม่รู้ตัว สภาพแวดล้อมรอบตัวไคลน์พลันแปรเปลี่ยน ตู้กับข้าว โต๊ะทำงาน เตาถ่าน เตียงสองชั้น และมิเตอร์แก๊สเริ่มปรากฏในการมองเห็น นอกหน้าต่างมีแสงจันทร์สีแดงเข้มสาดส่องอย่างเงียบงัน ฉาบทุกสิ่งไว้ด้วยชั้นสีแดงบางๆนี่คือห้องพักที่ครอบครัวโมเร็ตติเคยอาศัย!นี่คือจุดเกิดเหตุซึ่งไคลน์·โมเร็ตติยิงตัวตาย!ในวินาทีนี้ ร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงชั้นล่าง จ้องไคลน์ผู้กำลังถือคทาเทพสมุทรด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเส้นผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล หุ่นผอมบาง โครงหน้าชัดลึก มีกลิ่นอายของนักวิชาการ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ‘ไคลน์’ อีกหนึ่งคน‘ไคลน์’ คนนี้กล่าวด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง“นายยึดครองร่างฉัน… ตอนนี้ยังคิดจะทำลายวิญญาณของฉันให้สิ้นซากอีกหรือ? ฉันคือไคลน์·โมเร็ตติ! นายมันก็แค่นักเดินทางข้ามโลกที่น่ารังเกียจและไร้ยางอาย ไอ้กาฝาก!”คล้ายกับมีพละกำลังเพิ่มขึ้น แต่มิอาจหยิบจับวัตถุภายนอกมาใช้งานไคลน์ไม่ตอบ เพียงเดินเข้าไปใกล้ด้วยบรรยากาศเคร่งขรึมทันใดนั้น สีหน้าของ ‘ไคลน์’ อีกคนค่อยๆ แปรเปลี่ยน ความหวาดกลัวเข้าครอบงำดวงตาอย่างชัดเจนมันห่อตัวลง อ้อนวอนด้วยร่างกายที่สั่นระริก“ปล่อยฉัน… ปล่อยฉันไปเถอะนะ… นายขโมยน้องสาวฉัน ขโมยพี่ชายฉัน ปล้นชีวิตฉัน แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจอีกหรือ? ฉันสัญญาว่าจะอยู่เงียบๆ ในร่างกายตัวเอง คอยช่วยนายวิเคราะห์ปัญหาและมอบคำแนะนำ สัญญาว่าจะไม่พยายามยึดครอง… ได้โปรดปล่อยฉัน… ปล่อยฉันไป”ไคลน์ยังคงเงียบ แต่มือขวาที่ถือคทาเทพสมุดยกขึ้นทันใดนั้น ‘ไคลน์’ ที่เอาแต่ร่ำไห้จนน้ำตาอาบสองแก้ม ตะโกนด้วยน้ำเสียงเจือความโกรธและหวาดกลัว“ฉันแค่ต้องการเตือนนายเท่านั้น! ถ้าไม่เพราะหวังดี ฉันจะเปิดเผยตัวเองออกมาทำไม! ปล่อยฉันไป… ฉันสาบานว่าไม่มีเจตนาร้าย!”ไคลน์จ้องหน้าอีกฝ่ายโดยไม่ปริปาก ถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อให้อัญมณีสีน้ำเงินเปล่งแสงทีละเม็ดสายฟ้าหลายเส้นผุดขึ้นจากความว่างเปล่า บิดเป็นเกลียวในลักษณะการสอดประสาน ฟาดลงมาปะทะและห่อหุ้มร่าง ‘ไคลน์’ จนดูคล้ายกับพายุท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ร่างของเป้าหมายสลายไปในบันดล ร่องรอยทั้งหมดถูกอสรพิษสายฟ้าลบออกจนเกลี้ยงสมกับที่เป็นตัวเรา… รู้ถึงจุดอ่อนในหัวใจ รู้จักวิธีอ้อนวอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด… แต่เรายังจดจำตัวเองได้อย่างมั่นคง… เราคือโจวหมิงรุ่ยผู้ผสานเข้ากับชิ้นส่วนความทรงจำและอารมณ์ของไคลน์·โมเร็ตติ หากเราปล่อยมันไป นั่นจะเท่ากับการยอมรับให้มีอีกหนึ่งบุคลิกอยู่ในร่าง และจะเกิดภาวะคลุ้มคลั่งทันทีเมื่อกลับสู่โลกความจริง… ไคลน์หลับตาลงพลางวางคทาเทพสมุทร ถอนหายใจแผ่วจากนั้น ด้วยสติที่คมชัด มันบังคับให้ตัวเองออกจากโลกความฝัน…………………………………………..
คอมเม้นต์