ราชันเร้นลับ 666 : หมูบ้านยามบ่าย
นั่นมัน… บางสิ่งที่ใสจนเกือบมองไม่เห็น ปรากฏอยู่ตรงหน้าไคลน์ลักษณะคล้ายเปลือกห่อหุ้ม บางครั้งหดตัวเล็กน้อยและหายไปจากการมองเห็น บางครั้งพองตัวเล็กน้อยพร้อมกับเผยให้เห็นเค้าโครงจากจุดดังกล่าว ไคลน์เงยหน้าขึ้น พบบางสิ่งที่มีสีเขียวเข้มจนเกือบดำ ลอยตัวอย่างเงียบงันสีคล้ายกับต้นไม้ในป่ามืด… ไคลน์พึมพำ จินตนาการไม่ออกว่า ‘สิ่งนั้น’ และ ‘สี’ ของมันหมายถึงสัญลักษณ์ใด เดาได้อย่างคร่าวๆ ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการควบคุมมิติลึกลับเหนือสายหมอกโดยไม่ฝืนทำเรื่องไร้สาระ ชายหนุ่มกระโดดลงจากขั้นบันไดที่คล้ายกับนำทางไปยังสรวงสวรรค์ เดินกลับมายังพระราชวังซึ่งเป็นจุดปรากฏตัวเมื่อคำนึงถึงการมีอยู่ของราชินีเงื่อนงำ ไคลน์เก็บกวาดสิ่งของ ส่งตัวเองออกจากมิติหมอก กลับมายังห้องน้ำภายในห้องพักส่วนตัวหลังจากจัดการกับหลักฐาน ชายหนุ่มเดินมายังกระเป๋าเดินทางอย่างใจเย็น หยิบเข็มกลัดสุริยันออกมาติดบนโค้ทยาวกระดุมสองแถวหลังจากผ่านเรื่องราวมากมาย สมบัติวิเศษไคลน์ที่สามารถใช้ได้เหลือเท่ากับในสมัยเบ็คลันด์ อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มยังมีพลังของลำดับ 5 ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถที่ทรงพลังที่สุดใต้ครึ่งเทพ ควรค่าแก่การถูกขนานนามให้เป็น ผู้วิเศษทรงพลังเราเคยคิดว่าตัวเองจะตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ความจริงกลับไม่ใช่ ไม่แม้แต่ในยามที่ได้พบนางเงือก… เพราะสำหรับเรา การแก้แค้นเพิ่งขยับไปเพียงก้าวเดียว ยังห่างไกลจากเป้าหมายที่แท้จริงมาก…หลังจากนี้ เราต้องสรุปกฎการสวมบทบาท ย่อยโอสถนักเชิดหุ่น ตามหาสูตรผลิตและวัตถุดิบของโอสถลำดับ 4 อา… ไว้ออกจากทะเลแล้วค่อยเริ่มลงมือ ตั้งคำถามกับมิสเตอร์อะซิก วิล·อัสติน และกระจกวิเศษอาโรเดส…หึหึ ช่วงนี้คงต้องผ่อนคลายร่างกายกับจิตใจไปก่อน ถ้าจิตตึงเกินไปอาจแตกหักได้ง่าย นั่นคือบ่อเกิดของภาวะคลุ้มคลั่ง… ไคลน์หมุนตัวส่องกระจกเงาภายในห้อง พบกับตัวเองที่สูง 1.8 เมตร ผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล ใบหน้าเรียวคม สวมเชิ้ตขาว สูท และเนกไทหูกระต่าย ติดเข็มกลัดนกสุริยันสีทองเข้ม ใบหน้าสุขุม ดวงตาลุ่มลึกยืนจ้องอย่างเงียบงันสักพัก ชายหนุ่มยกมือขึ้น จัดระเบียบกระดุมข้อมือทั้งสองข้างให้เรียบร้อย ตบเบาๆ ลงบนโค้ทกระดุมสองแถวสีดำ…สายฟ้าพุ่งตัดผ่าอากาศ ช่วยมอบความสว่างแก่อาคารสีเทาที่ซ้อนทับกันด้านหน้านักล่าปีศาจ โคลิน·อีเลียด ในสภาพแบกดาบสองเล่ม ชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้าม“นั่นคือหมู่บ้านยามบ่าย”เส้นผมสีเงินที่ปล่อยอิสระของมันกำลังปลิวไปตามแรงลมเร็วมาก… เดอร์ริค ผู้กำลังถือขวานเฮอร์ริเคนในมือ ถอนหายใจอย่างเหนือความคาดหมายแต่จากนั้นก็โล่งอก เริ่มฉุกคิดไว้ว่าสิ่งนี้สมเหตุสมผลแล้ว เพราะวังราชาคนยักษ์ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองเงินพิสุทธิ์ และหมู่บ้านยามบ่ายคือตัวกลางที่เชื่อมระหว่างทั้งสองฝั่งท่ามกลางเส้นสายฟ้าที่มอบแสงสว่างยามค่ำคืน เด็กหนุ่มมองเห็นภาพรวมของหมู่บ้านยามบ่ายอย่างชัดเจน ถูกสร้างบนเชิงเขา จึงแบ่งออกเป็นชั้นบน ชั้นกลาง และชั้นล่าง ถึงจะถูกเรียกว่าหมู่บ้าน แต่ขนาดของมันไม่ด้อยไปกว่าซากปรักหักพังที่ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์เคยค้นพบณ ที่นั่น บ้านหลายหลังถูกสร้างจากหินสีเทาก้อนใหญ่ ด้านในเจาะกลวง บางหลังสูงถึงสิบเมตร บางหลังเหมือนกับบ้านปัจจุบันของเดอร์ริค มีขนาดเล็กเสียจนมนุษย์สามารถแตะถึงหลังคาอาคารถูกสร้างชิดกัน เรียงรายรอบทิศ บางหลังพังทลาย บางหลังยังแข็งแรง มีเพียงคราบและร่องรอยผุกร่อนตามกาลเวลาแตกต่างจากที่อธิบายในหนังสือเรียนโดยสิ้นเชิง… เดอร์ริคหวนนึกถึงความรู้จากคาบเรียนประวัติศาสตร์จากบันทึกของเมืองเงินพิสุทธิ์ หมู่บ้านยามบ่ายคือประตูกั้นระหว่างความจริงและตำนาน ชาวเมืองผสมผสานระหว่างมนุษย์และคนยักษ์ มีทั้งกลางวันกลางคืน แต่ถ้าเป็นยามกลางวัน ไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายเพียงใด หมอกหนาหรือฝนฟ้าคะนอง น้ำแข็งหรือหิมะ ก็มิอาจยับยั้งแสงแดดอันร้อนแรงจากด้านบนได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกลับมีเพียงความมืดมิด แสงสว่างแห่งเดียวมาจากเส้นสายฟ้า ขาดแคลนชีวิตชีวาโดยสมบูรณ์ในท่าจับขวานด้วยด้าม เดอร์ริค ผู้มีดวงอาทิตย์ย่อส่วนอยู่ในดวงตา ย่างกรายไปพร้อมทีมสำรวจ ตามหลัง ‘เจ้าเมือง’ โคลินทีละก้าวจนกระทั่งถึงหมู่บ้านยามบ่ายสถานที่แห่งนี้ถูกเก็บกวาดไปแล้วครั้งหนึ่งโดยฝีมือทีมสำรวจชุดแรก ถนนจึงเต็มไปด้วยเนื้อเน่าและคราบน้ำหนองแห้งกรัง บรรยากาศเงียบสงบ ปราศจากสุ้มเสียง“อย่าประมาทเด็ดขาด มีสัตว์ประหลาดแปลกๆ ซ่อนตัวอยู่ในความมืด” โคลิน·อีเลียด เจ้าของรอยแผลเป็นเก่าบนใบหน้า ไม่ลดความหวาดระแวงลง หนึ่งมือชักหนึ่งในดาบคู่ออกจากหลัง กลุ่มแสงสีเงินเริ่มเกาะตัวบนคมดาบที่นี่คือประตูแห่งตำนาน? ในยามที่พระผู้สร้างทอดทิ้งแผ่นดิน กระทั่งตำนานก็ถูกทอดทิ้งไปด้วย? เดอร์ริคอดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่หมู่บ้านยามบ่ายต้องเผชิญในช่วงมหาภัยพิบัติ คาดเดาโดยสัญชาตญาณว่า คงแตกต่างจากเมืองเงินพิสุทธิ์พอสมควรขณะเตรียมสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด เพื่อมองหาเบาะแสสำคัญ เสียงแหกปากของเพื่อนร่วมทีมพลันดังมาจากด้านข้าง“มีอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น!”เดอร์ริคมองข้าง เห็นใบหน้าโปร่งใสโผล่ออกจากผนังบ้านหลังใหญ่ที่สูงราวสิบเมตรใบหน้าดังกล่าวเต็มไปด้วยรอยแตก ขดรอบศูนย์กลางอย่างไม่เป็นระเบียบ หนึ่งจุดที่ไม่รู้ว่าปากหรือดวงตากำลังก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่พายุเฮอร์ริเคนในวังวนเริ่มแจ่มชัด ส่งเสียงโหยหวนออกมาถึงด้านนอก จากนั้น แสงคล้ายยามสนธยาเริ่มควบแน่นเป็นหนึ่งเดียว ดูราวกับเป็นลูกศรแห่งแสงจำนวนมากตึก! ตึก!สมาชิกทีมสำรวจหลายคนถูกยิง แต่คล้ายกับยิงใส่กำแพง มีเพียงเสียงทื่อและแน่น ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศที่หม่นหมองผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ โคลิน·อีเลียด คุกเข่าลงทั้งสองข้าง แทงดาบเงินในมือลงไปบนพื้นหินสีเทาผุพังเขาช่วยปกป้องแนวหน้าด้วยพลังที่แข็งแกร่งที่สุด!ขณะเดียวกัน สมาชิกทีมสำรวจที่เหลือเริ่มโจมตีตอบโต้ เป็นพายุแสงและไฟบอลสีแดงเข้มที่พุ่งปะทะสัตว์ประหลาดตนดังกล่าวก่อนใครตามด้วย แสงศักดิ์สิทธิ์ของเดอร์ริคที่ตกลงบนวังวนตาเดียวท่ามกลางเสียงระเบิด หินก้อนใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยแตกเริ่มพังทลาย ใบหน้าโปร่งใสกรีดร้องและอันตรธานหายไปอย่างสมบูรณ์แม้จะเป็นการต่อสู้ที่ง่าย แต่เดอร์ริคมิได้ยินดีมากนัก มันเคยได้ยิน ‘แฮงแมน’ และ ‘จัสติส’ แห่งชุมนุมทาโรต์แบ่งปันประสบการณ์การต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษ ผนวกกับประสบการณ์ตรงของตัวเองที่เคยเผชิญสัตว์ประหลาดในเงามืดรอบเมืองเงินพิสุทธิ์ จึงกังวลมาตลอดว่า เมืองเงินพิสุทธิ์ขาดความหลากหลายในเส้นทางผู้วิเศษ ระดับใต้ครึ่งเทพที่ครอบครองล้วนมีประสิทธิภาพในการ ‘ตรึง’ ศัตรูค่อนข้างต่ำ และสถานการณ์ตรงหน้ากำลังยืนยันในเรื่องนั้นแต่โชคยังดีที่สามารถเก็บเกี่ยวสมบัติวิเศษได้จากศพสัตว์ประหลาด… ขณะเดอร์ริคคิดในใจ เสียงคำสั่งจากเจ้าเมืองดังขึ้น“ทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ จับกลุ่มสามถึงสี่คน แยกย้ายค้นหาในแต่ละจุด”“ขอรับ ท่านเจ้าเมือง!” สมาชิกทีมสำรวจส่วนใหญ่มีประสบการณ์โชกโชน ใช้เวลาไม่นานก็จัดกลุ่มเสร็จทีมของเดอร์ริคมีสามคน นอกจากเด็กหนุ่ม ก็เป็นโจชัวและฮาอิมที่เคยร่วมงานกันในซากวิหารร้าง คนแรกอยู่ในลำดับ 7 ‘เจ้าศาสตรา’ มาพร้อมถุงมือเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมเพลิง รายหลังเพิ่งเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘พาลาดินรุ่งอรุณ’ เจ้าของส่วนสูง 2.3 เมตรเนื้องด้วยเส้นทางนักรบ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเส้นทางคนยักษ์ เป็นเส้นทางหลักของเมืองเงินพิสุทธิ์ ส่วนสูงเฉลี่ยของชาวเมืองจึงมากถึง 1.8 เมตร (นับรวมเด็กอายุหกขวบ) ถึงแม้ตะกอนพลังจะยังไม่แสดงผลในเด็กเล็ก แต่พันธุกรรมได้ถ่ายทอดมายังรุ่นสู่รุ่น ส่งผลให้เดอร์ริคที่อายุยังน้อย มีส่วนสูงมากถึงเกือบ 1.8 เมตร และยังเหลือที่ว่างสำหรับการเจริญเติบโตอีกมากจากคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย เดอร์ริค โจชัว และฮาอิม เดินเข้าไปในตรอกซ้ายมือด้วยรูปขบวนสามเหลี่ยม สำรวจบ้านหลังที่ยังเข้าไปได้อาจเป็นเพราะเคยถูกเก็บกวาดไปแล้วหนหนึ่ง พวกมันจึงไม่พบสัตว์ประหลาด สีหน้าเผยความโล่งใจโดยไม่รู้ตัว“ฉันได้ยินมาว่า หกสภาอาวุโสต้องการตั้งค่ายถาวรที่นี่ เปลี่ยนหมู่บ้านยามบ่ายให้กลายเป็นป้อมปราการ” โจชัว ผู้สวมถุงมือสีแดงข้างซ้าย กล่าวหลังจากตรวจสอบห้องโถงของบ้านหลังหนึ่งฮาอิมพยักหน้า มองลงไปหาพวกพ้องทั้งสอง“เป้าหมายที่แท้จริงน่าจะเป็น…”มันชี้นิ้วลงล่างในแนวทแยงมุม“วังราชาคนยักษ์?” เดอร์ริคถามด้วยเสียงประหลาดใจไม่ใช่ว่าเบื้องบนกำลังตามหา ‘ทะเล’ ที่แจ็คและคนอื่นเดินทางมาหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ควรอ้อมวังราชาคนยักษ์มากกว่า… เดอร์ริคเต็มไปด้วยคำถามฮาอิมส่ายหน้า“ไม่แน่ใจ ก็แค่ได้ยินมา”มันกวาดตาไปทางอื่น ชี้นิ้วไปยังประตูบานหนึ่ง“รีบทำงานให้เสร็จกันเถอะ”เดอร์ริค ‘อืม’ เป็นการตอบรับ อาศัยดวงตาที่มองเห็นตอนกลางคืนและพลังในการแผ่แสงสว่าง เด็กหนุ่มไม่หวาดกลัวต่อความมืด เดินตรงเข้าไปในห้องใต้ดินเป็นคนแรก โดยมีฮาอิมถือตะเกียงหนังสัตว์เดินตามเข้าไปพร้อมโจชัวห้องใต้ดินของบ้านหลังนี้ค่อนข้างกว้าง มีบ่อน้ำซึ่งเต็มไปด้วยคราบสีดำแห้งกรัง ไม่มีใครทราบว่าผ่านมาแล้วกี่ปี เพราะกลิ่นคาวเลือดยังคงเตะจมูกอย่างเจือจางเดอร์ริคกวาดตาไปรอบห้อง ตระหนักได้ว่าเคยมีพิธีกรรมถูกจัดขึ้นที่นี่คงผ่านมานานแล้ว… เด็กหนุ่มเสริมในใจ ยิ่งได้พบโต๊ะหินที่คล้ายแท่นบูชา มันก็ยิ่งมั่นใจในสมมติฐานในหมู่บ้านยามบ่าย… เหตุใดชาวเมืองถึงต้องซ่อนตัวประกอบพิธีกรรมในห้องใต้ดิน? ขณะราชาคนยักษ์กำลังเรืองอำนาจ ทุกคนย่อมต้องเป็นสาวกของราชาคนยักษ์ ความศรัทธาเป็นรองเพียงพระผู้สร้างต้นกำเนิด… เจ้าของบ้านหลังนี้แอบนับถือเทพองค์อื่น? คำถามแล้วคำถามเล่า เดอร์ริคเดินเข้าใกล้แท่นบูชา พบว่าโต๊ะหินดังกล่าวเคยมีข้อความสลักอยู่ แต่ถูกทำลายไปเกือบหมดจากปัจจัยที่เป็นและไม่เป็นธรรมชาติหลังจากวิเคราะห์อย่างละเอียด เดอร์ริคเอ่ยนามของสามชื่อที่เขียนไว้“โอโรเลอุส… เมดีซี… ซาสเรีย…”โอโรเลอุส? นั่นมันพระนามของ ‘เทวทูตโชคชะตา’ ไม่ใช่หรือ? อีกทั้งมิสเตอร์ฟูลยังเคยกล่าวไว้ว่า เมดีซีเองก็เป็นหนึ่งในราชาเทวทูต… หมายความว่าซาสเรียก็เช่นกัน? เดอร์ริคพลันตื่นเต้น เจือความหวาดกลัวเล็กน้อย เด็กหนุ่มรีบหันหลังกลับ หวังตะโกนเรียกเพื่อนมามุงดูแต่สิ่งที่ได้เห็นกลับมีเพียง ห้องใต้ดินอันว่างเปล่าและมืดมิด ฮาอิมกับโจชัว สองเพื่อนร่วมทีมที่ควรยืนอยู่ข้างหลัง กลับหายตัวไปอย่างน่าฉงน!……………………………………………..
คอมเม้นต์