ราชันเร้นลับ 589 : ยุแยง
ในวินาทีนี้ ไคลน์คาดหมายว่าเทรซี่จะจู่โจมเข้ามาทันที เพราะใบหน้าอีกฝ่ายกำลังแดงก่ำไปด้วยโทสะเดือดดาล ดวงตาสีฟ้าทวีความเข้มคล้ายกับคลื่นทะเลก่อนพายุตั้งเค้าแต่ท้ายที่สุด เทรซี่มิได้ลงมือบุ่มบ่าม เพียงชำเลืองไปด้านข้าง มองคาร์เทอริน่า·เปลเล่ รอให้อีกฝ่ายช่วยตัดสินใจเธอทราบดี แม้ลำดับ 4 และ 5 จะต่างกันเพียงหนึ่งขั้นพลัง แต่ความแตกต่างในเชิงคุณภาพนั้นมากมายราวฟ้ากับเหว มิอาจเอาชนะได้ด้วยกลยุทธ์อันแยบคายหรือพลังใจ ฝ่ายหนึ่งเป็นเพียงมนุษย์ที่มีพลังพิเศษมากหน่อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือครึ่งเทพ สิ่งมีชีวิตชั้นสูง ลำพังระดับตัวตนก็เหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติดยิ่งไปกว่านั้น เทรซี่ทราบดี ระดับพลังของทั้งสองมิใช่แค่เพียงลำดับ 4 เธอจึงรู้สึกราวกับตนเป็นเพียงผู้วิเศษปลายแถวแม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า·เปลเล่ มิได้แสดงท่าทีโกรธเคืองไคลน์ เพียงจ้องมองชายหนุ่มที่สวมรูปลักษณ์พลเรือโทวายุ คีลิงเกอร์ ด้วยดวงตาซึ่งคล้ายกับมีพายุหมุนวนอยู่ด้านในคาร์เทอริน่าหัวเราะคิกคักก่อนจะกล่าว“เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจมาก… หากมิได้มาพร้อมท่านกงสุลมรณะ ฉันคงไม่ระงับอารมณ์ที่กำลังวูบวาบอยู่ในใจ และชวนคุณพูดคุยเกี่ยวกับความรักแสนบริสุทธิ์ตามลำพังสักพัก”มาดาม คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้…เชี่ย! แค่ฟังก็ขนลุกไปทั้งตัว…ไคลน์ไม่กล้าจ้องตาอีกฝ่ายโดยตรง รีบเบือนหน้าไปหาเทรซี่ด้านข้างคาร์เทอริน่ามิได้กล่าวสิ่งใดกับอะซิก·อายเกส หล่อนเบือนหน้ากลับ พูดกับเทรซี่ด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหลราวกับบทเพลง“จงโอบกอดความเจ็บปวดเหล่านั้นเอาไว้ มันจะดีกับตัวเธอในบางแง่มุม”ถัดมา แม่มดยุพนิรันดร์หันมาจ้องอะซิกด้วยสายตาเคารพนับถือ“ฉันพอจะจำเนื้อหาในเอกสารได้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความพยายามในการคืนชีพเทพมรณาของอดีตราชวงศ์ไบลัม แต่น่าเสียดาย ทุกการทดลองล้วนประสบความล้มเหลว ในท้ายที่สุด พวกเขายอมถอดใจและเปลี่ยนไปคิดเรื่องการสร้างมรณาเทียมแทน คุณยังสนใจอยู่ไหม?”มรณาเทียม? มนุษย์สามารถสร้างเทพมรณาเทียมได้ด้วยหรือ… แล้วจะไปหา ‘เอกลักษณ์’ กับ ‘ตะกอนพลัง’ ที่เป็นสิ่งสำคัญในการเลื่อนลำดับ 0 มาจากไหน? ของแบบนั้นไม่น่าจะมีอยู่อีกแล้ว ไม่ใช่กะหล่ำปลีบนแผงผักในตลาดสักหน่อย… ราชวงศ์ไบลัมในอดีตและนิกายวิญญาณ มีแต่พวกเสียสติมารวมตัวกันหรือไง…ไคลน์พึมพำ ระหว่างนั้น ยังไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติมจากสองครึ่งเทพอะซิกครุ่นคิดหลายวินาที ก่อนจะถามอีกครั้ง“ผมต้องจ่ายด้วยอะไร”คาร์เทอริน่าเผยรอยยิ้มซุกซนของเด็กสาว“ไม่จำเป็น ฉันไม่ต้องการ ฉันแค่คิดว่าคงน่าสนุกไม่น้อย หากจะช่วยคุณฟื้นฟูความทรงจำทีละนิดจนกลับมาเป็น ‘กงสุลมรณะ’ ได้อีกครั้ง… โลกจะน่าตื่นเต้นมากขึ้นหลายเท่า และเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่มีใครคาดเดาได้”ฟังดูเหมือนกับ… เด็กผู้หญิงในวัยต่อต้อนพ่อแม่ที่ต้องการเห็นทุกสิ่งพังพินาศ… อย่าบอกนะว่าโอสถแม่มดยุพนิรันดร์ ไม่เพียงทำให้ร่างกายกลับสู่ความอ่อนเยาว์ แต่รวมไปถึงสมองและจิตใจด้วย?ไคลน์ตระหนักว่า ตนมิอาจไล่ตามความคิดและอารมณ์ของอีกฝ่ายทันแม้แต่น้อยคงมีแต่เส้นทาง ‘ผู้ชม’ ลำดับ 6 กระมัง… หรืออาจต้องเป็นลำดับ 5 ไม่ก็ 4 จึงจะทราบว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่…ชายหนุ่มตัดพ้อห่อเหี่ยวอะซิกพยักหน้า มือขวาเหยียดออก กระดาษและปากกาภายในห้องลอยมาอยู่บนฝ่ามืออย่างเป็นปริศนา ราวกับมีวิญญาณล่องหนคอยรับใช้เมื่อขีดเขียนเสร็จ มันพับและโยนกระดาษไปทางคาร์เทอริน่า“ส่งมาทางผู้ส่งสารของผม”เขามีนกหวีดทองแดงแค่อันเดียว และนั่นอยู่กับเรา… ผ่านมานานกว่าพันปี แต่ยังใช้งานได้เหมือนของใหม่ ต้องไม่ใช่สมบัติธรรมดาแน่…ไคลน์เกิดอยากจะใช้มือล้วงนกหวีดทองแดงในกระเป๋าเสื้อ แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจไว้แม่มดยุพนิรันดร์ คาร์เทอริน่า รับกระดาษพร้อมกับกวาดสายตาอ่านอย่างคร่าวเธอหัวเราะคิกคัก“นึกว่าคุณจะบอกพิกัดของโลกแห่งความตายให้ฉันเสียอีก”หญิงสาวเชิดคาง ดวงตาสีฟ้าที่อัดแน่นด้วยความอ่อนโยนเหนือพรรณนามองตรงมาข้างหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม“ฉันยังคงไม่ลืมความไร้เทียมทาน อำมหิต และเย็นชาของกงสุลมรณะเมื่อพันปีก่อน ชายคนนั้นทำให้ฉันรู้สึกประทับใจมิรู้ลืม ฉันจึงค่อนข้างประหลาดใจ ที่เห็นคุณในปัจจุบันสุภาพอ่อนโยนขึ้นมาก”อะซิกยกกำปั้นจ่อปลายคางในท่าครุ่นคิด เผยรอยยิ้มขื่นขมพลางส่ายหน้า“ถึงผมจะเป็นอมตะ แต่มิได้ไม่แก่เฒ่า เมื่อผู้ชายเราอายุมากขึ้น ความสุขุมลุ่มลึกและอ่อนโยนก็ยิ่งเพิ่มตาม”“ผิดแล้ว” คาร์เทอริน่าหรี่ตาลง กล่าวความรู้สึกที่แท้จริงโดยไม่ปิดบัง “ฉันจะเฝ้ารอจนถึงวันที่คุณฟื้นฟูความทรงจำอย่างสมบูรณ์และกลับเป็นคนเก่า ฉันอยากเห็นว่า คุณจะยังคิดเหมือนกับตัวเองในวันนี้หรือไม่… คิคิก”เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวยกมุมปากเล็กน้อย หันมาขยิบตาให้ไคลน์“บางที… พวกเราอาจกำลังปลดปล่อยอสุรกายที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าจอมมารออกมาก็ได้นะ”กำลังยุแยงให้พวกเราแตกคอ? เป็นนิสัยของนักกระตุ้น หรือว่าแผนอะไรไว้กันแน่…ไคลน์พึมพำ แต่ถึงอย่างนั้นก็สลัดคำพูดของเธอไม่หลุด ย้อนกลับไปในอดีต เหตุการณ์ ‘ภัยพิบัติไร้ชีวิตชีวา’ ได้ถูกบันทึกลงบนเอกสารเชิงประวัติศาสตร์ของโบสถ์หลักอย่างละเอียด ถูกตีแผ่ออกไปอย่างแพร่หลาย ทำให้ชนรุ่นหลังได้ทราบว่า มีผู้คนมากมายล้มตายไปในเหตุการณ์คราวนั้น ทวีปเหนือทั้งหมดกลายเป็นนรกบนดินต้นตอของเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ใครนอกจาก ‘เทพมรณา’ จากทวีปใต้ และ ‘แม่มดบรรพกาล’ จากนิกายแม่มด จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า มิสเตอร์อะซิกผู้เป็นทายาทโดยตรงของมรณา และมีศักดิ์เป็นกงสุลมรณะ ต้องเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของภัยพิบัติดังกล่าวอะซิกยืนนิ่งหลายวินาที ก่อนจะจับไหล่ไคลน์และพาเข้าสู่โลกวิญญาณ ทิ้งให้เทรซี่ถูกทิ้งให้อยู่กับคาร์เทอริน่าตามลำพังในห้องกัปตันเรือกาฬมรณะสตรีแห่งโรคภัยยืนจ้องจุดที่ทั้งสองหายตัวไปเป็นเวลานาน กัดฟันกรอดอย่างเจ็บใจ“ฉันจะไม่ลืมหนี้แค้นในวันนี้แน่!”คาร์เทอริน่าเผยรอยยิ้มสง่างาม“ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ระทมหรือความทรมาน ยิ่งเจ้าได้ลิ้มรสมากเพียงใด ก็ยิ่งสัมผัสถึงความอ่อนแอของตัวเองได้ชัดเจนเท่านั้น หากเจ็บปวดเจียนตายจนถึงระดับหนึ่ง จิตใต้สำนึกจะบอกให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงตัวเอง สิ่งนั้นจะเป็นผลดีต่อการดื่มโอสถลำดับถัดไป เจ้าจะกลายเป็นครึ่งเทพได้ง่ายขึ้น กลายเป็นผู้ครอบครองส่วนหนึ่งของพลังเทพ”ได้ยินคำดังกล่าว พลเรือโทโรคภัย เทรซี่ พลันฉุกคิดบางสิ่งได้ จึงรีบหันไปถามโดยไม่ปิดบังอารมณ์บิดเบี้ยวบนใบหน้า“หรือสาเหตุที่เอลเลนหลบหนีออกจากกาฬมรณะได้ในตอนแรก จะเป็นเพราะ…”คาร์เทอริน่ายิ้ม“แม้เจ้าจะเป็นทายาทคนเล็กของแม่ แต่ก็มีโอกาสกลายเป็นครึ่งเทพมากกว่าใคร ฉะนั้น หน้าที่ของแม่คือการช่วยสนับสนุนลูกให้ถูกทาง”มุมปากเทรซี่พลันสั่นกระตุก ใบหน้าทวีความบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า“ใช่… คุณเป็นแม่ของฉัน… เป็นแม่คนเดียว แล้วทำไมถึงไม่ยอมบอกความจริงแต่แรก! ในฐานะครึ่งเทพ คุณต้องรู้จักโอสถเส้นทางอื่นอีกนับไม่ถ้วน! ต้องมีสูตรโอสถตั้งแต่ลำดับ 9 จนถึงลำดับกลางอีกหนึ่งหรือสองเส้นทาง! แล้วทำไมถึงปิดบังเอาไว้!”คาร์เทอริน่ามองไปรอบห้อง ชุดคลุมสีขาวสะบัดพลิ้วแผ่วเบา ตามด้วยเสียงล่องลอย“พวกเราทุกคนต้องเข้าใกล้ ‘ท่านแม่มดบรรพกาล’ ให้มากที่สุด เราทุกคนคือทายาทของท่าน”ขณะกำลังพูด เพลิงทมิฬเกิดลุกโชนอย่างเงียบเชียบรอบเรือใบลำใหญ่ที่มีความยาวหลายสิบเมตร เพลิงปกคลุมทุกส่วนของเรือ แต่มิได้ทำร้ายโจรสลัดคนใด เพียงแผดเผาสิ่งของชิ้นเล็ก ๆ ตามพื้นและมุมทางเดินให้กลายเป็นขี้เถ้า…ขณะทัศนียภาพกำลังถูกซ้อนทับด้วยชั้นสีสันฉูดฉาด สัมผัสวิญญาณของไคลน์พลันถูกกระตุ้นชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ‘เบาะแส’ ที่ตนทิ้งไว้บนกาฬมรณะถูกทำลายจนหมดสิ้นสมกับเป็นแม่มดยุพนิรันดร์…ไคลน์ถอนหายใจยาว ขณะเตรียมกล่าวสิ่งใด ภาพรอบพลันตัวแปรเปลี่ยนเป็นดำดิ่งอีกครั้งมันเดินทางออกจากโลกวิญญาณพร้อมอะซิกทั้งสองโผล่ออกมาท่ามกลางหุบเขา มีลำธารหลายสายพาดผ่าน ใจกลางเป็นทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ไม่ห่างออกไปเป็นซากเมืองขนาดเล็ก รวมถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบโลเอ็นไคลน์มองไปรอบตัว พบว่าตนกำลังยืนอยู่ ณ กลางสุสานร้างบรรยากาศหม่นหมองแห่งหนึ่ง คล้ายกับที่นี่ถูกทอดทิ้งมานานมาก“มิสเตอร์อะซิก…” ชายหนุ่มร้องเรียกด้วยสีหน้าประหลาดใจอะซิกเดินไปยังหินใหญ่ก้อนหนึ่งและยกออก เบื้องล่างเป็นวัชพืชปกคลุมหลุมศพใครบางคนกงสุลมรณะกล่าวด้วยเสียงแผ่ว“หลังจากได้พบคาร์เทอริน่า·เปลเล่ ผมนึกบางสิ่งขึ้นได้ เคยเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหม หนึ่งในความฝันของผม ภายในช่วงชีวิตหนึ่ง ผมเคยมีลูกสาวผมสีดำยาวสลวย เธอชอบนั่งบนชิงช้าที่ผมสร้าง และมักขอลูกอมจากผมเสมอ เมื่อครู่ ระหว่างกำลังท่องโลกวิญญาณ ผมได้ยินเสียงเรียกจากสายเลือดตัวเอง”ไคลน์เริ่มซึมซับอารมณ์ของอีกฝ่าย ซักถามด้วยเสียงต่ำ“นี่คือเธอ?”อะซิกพยักหน้า นั่งยอง ใช้มือลูบไปบนแผ่นหินของสุสาน ผิวสีแทนบนใบหน้าเผยความอ่อนโยนเจือความเศร้าและสับสน“นี่คือหลุมศพของเธอ… ถ้าผมจำไม่ผิด เธอเสียชีวิตมาแล้วเก้าร้อยหกสิบสองปี”“เก้าร้อยหกสิบสอง…” ไคลน์ต้องการกล่าวบางสิ่ง แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงเว้นวรรคเป็นเวลานานหากไม่เพราะโบสถ์หลักออกกฎหมายให้ศพของทุกคนต้องเผาหรือฝังในสุสาน รวมถึงการผลัดเปลี่ยนคนมาคอยดูแล และหากไม่เพราะนับตั้งแต่ยุคสมัยที่ห้า ยังไม่เคยเกิดสงครามเต็มรูปแบบเลยสักครั้ง หลุมศพของลูกสาวอะซิกคงไม่หลงเหลือจนกระทั่งทุกวันนี้มนุษย์มีอายุขัยเพียงไม่กี่สิบปี แต่สุสานกลับยังคงอยู่นานถึงเก้าร้อยยี่สิบหกปีบรรยากาศของสุสานร้างเงียบงันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งอะซิกลุกขึ้น จับบ่าไคลน์“ผมจะส่งคุณกลับไปก่อน”หลังจากท่องโลกวิญญาณอีกไม่กี่นาที ไคลน์มองเห็นผ้าปูเตียงสีขาวและพื้นสีน้ำตาลอีกครั้งอะซิกกดหมวกลง กล่าวด้วยเสียงต่ำ“ผมจะยังคงเดินไปบนเส้นทางของตัวเอง ส่วนคุณก็ต้องผจญภัยในเส้นทางของคุณต่อไป”ไคลน์พยักหน้ารับ ขณะเตรียมตอบกลับ มันเห็นอะซิกยกมุมปาก เผยรอยยิ้ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความเศร้า“คุณกังวลไหม? หากความทรงของผมจำฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์ และกลายเป็นบุคคลชั่วร้ายตามที่แม่มดคนนั้นพูด”โดยไม่รอคำตอบจากไคลน์ มันถอนหายใจ“ผมเองก็กังวล… แต่ผมต้องการค้นหาตัวตนในอดีตให้พบ”เมื่อกล่าวจบ รอบกายอะซิกเกิดคลื่นน้ำกระเพื่อมอย่างอ่อนโยน กงสุลมรณะหายตัวไปจากห้องนอนโรงแรมโดยสมบูรณ์ไคลน์ยืนนิ่งเช่นนั้นเป็นเวลานานก่อนจะส่ายหน้าและรำพันกับตัวเองแผ่วเบา“บางที หากเรากลายเป็นเทวทูตที่แข็งแกร่งในอนาคต อาจก่อตั้งโรงพยาบาลจิตเวชขึ้น เจาะจงรักษากลุ่มคนที่มีบุคลิกภาพต่อต้านสังคม และให้มิสจัสติสเป็นหัวหน้าจิตแพทย์”เมื่อคืนสติ ไคลน์นั่งลง ทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาตามอุปนิสัย“ในตอนแรก เราวางแผนจะใช้ยุบพองหิวโหยเขมือบตะกอนพลังของแม่มดทุกข์ระทม รวมไปถึงการหาเอกสารโบราณแห่งมรณา และเบาะแสของการลักพาตัวทาสตามเกาะอาณานิคมและทวีปใต้… ใครจะไปคิดว่าเหตุการณ์ดันกลับตาลปัตร สำเร็จแค่จุดมุ่งหมายเดียว เฮ่อ… เราบังคับให้มิสเตอร์อะซิกลงมือไม่ได้ พลังของเขายังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์ อีกฝ่ายเป็นถึงแม่มดยุพนิรันดร์… บนโลกแห่งความรุนแรงใบนี้ ความแข็งแกร่งสำคัญเหนือสิ่งใด เราต้องการพลังสำหรับจัดปัญหาของตัวเองได้ทุกเรื่อง… ฮะฮะ… เมื่อลองคิดดูให้ดี ในระยะหลัง เราก็จัดการปัญหาด้วยตัวเองแทบทุกเรื่องอยู่แล้ว สำหรับคดีค้ามนุษย์ เราสามารถเบนเป้าไปยังผู้ซื้อ… กัปตันคลั่ง คอร์เนอร์·วิกเตอร์”ไคลน์เปลี่ยนอิริยาบถ พยักหน้ากับตัวเองพลางพึมพำในใจรางวัลที่ดีที่สุดคือในคราวนี้คือ การได้ตระหนักถึงเทคนิคแปลงโฉมโดยไม่นำจิตใจเข้าไปพัวพัน เข้าถึงแต่ไม่หลอมรวม อีกทั้งยังได้ทลายกำแพงทางใจที่เคยต่อต้านมานาน ไม่เพียงเท่านั้น เรายังได้ตื่นตัวกับผลด้านลบหากสวมบทบาทเป็นใครสักคนนานเกินไป…ถ้าเป็นผู้ไร้หน้าคนอื่น ด้วยเทคนิคสวมบทบาทตามปรกติ กว่าโอสถจะย่อยสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี แต่ในกรณีของเราจะใช้เวลาอีกเพียงสามถึงสี่เดือนเท่านั้น หรือก็คือ ภายในครึ่งปีหลัง โอสถจะถูกย่อยโดยสมบูรณ์…เมื่อเสร็จสิ้นการวิเคราะห์ทบทวน ไคลน์เตรียมเข้านอน วางแผนไว้ว่าเมื่อรุ่นอรุณวันพรุ่งมาถึง มันจะนำเครื่องรับโทรเลขออกจากห้วงมิติสายหมอก และติดต่อกับกระจกวิเศษอาโรเดสแน่นอน ต้องมีการทำนายยืนยันระดับอันตรายล่วงหน้าเสียก่อน……………………
คอมเม้นต์