ราชันเร้นลับ 547 : นักบวช
ดวงตาสีดำสลับขาวขนาดใหญ่มีลักษณะโปร่งแสง ลอยตัวอย่างเงียบงันท่ามกลางสีสันฉูดฉาดของบรรยากาศรอบข้าง ไม่เผยท่าทีมุ่งร้ายหรือเป็นมิตรให้เห็นทันใดนั้น ไคลน์หวนนึกถึงข้อความหนึ่งในหนังสือ ‘ประสบการณ์โลกวิญญาณ’ ที่เขียนโดยบรรพบุรุษตระกูลอับราฮัม :“พยายามอย่าสบตาสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณเกินสามวินาที เพราะนั่นถือเป็นพฤติกรรมยั่วยุ นอกเสียจากอีกฝ่ายแสดงท่าทีต้องการสนทนาอย่างสันติ ห้ามเผยอาการหวาดกลัวจนออกนอกหน้า เพราะนั่นจะเป็นการกระตุ้นให้นักล่าจู่โจมเข้าใส่”เมื่อถ้อยคำเตือนใจผุดขึ้นในความทรงจำ ไคลน์รีบรวบรวมสติเพื่อ ‘ไล่ตาม’ ไม้ค้ำเนื้อแข็งที่กำลังบินไปข้างหน้า ด้วยความเร็วไม่มากไม่น้อยลูกตากลมโตทำเพียงจ้องมองร่างสวมชุดเกราะเต็มอัตราศึกสีดำ มงกุฎและผ้าคลุมสีเดียวกัน ค่อยๆ เหาะผ่านไปอย่างเงียบงันโดยมิได้โจมตีหรือขัดขวาง จนกระทั่งลับสายตาไปอย่างสมบูรณ์ในทางทฤษฎี โลกวิญญาณคือสถานที่สุดแสนอันตราย หากไม่ระวังตัว อาจเผลอไปเผชิญหน้ากับตัวตนระดับครึ่งเทพเอาได้…ไคลน์เหาะตามไม้ค้ำพลางตระหนักถึงความน่าสะพรึงของโลกวิญญาณ ท่ามกลางมิติอันยุ่งเหยิงและซับซ้อน ถึงจะมีริ้วแสงเจ็ดสีบนท้องฟ้าคอยช่วยนำทาง แต่การก้มมองลงไปยังเบื้องล่าง หันซ้าย หันขวา ข้างหน้า หรือด้านหลัง ก็ยังคงพบริ้วแสงเจ็ดสีอยู่เช่นเดิมถ้าไม่เพราะมีไม้ค้ำช่วยนำทาง เราคงหลงไปนานแล้ว…ทันใดนั้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันว่างเปล่ารอบตัว หางตาไคลน์พลันเหลือบเห็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์เรียกว่าปราสาท กำลังลอยอยู่ตรงมุมสายตาหลังหนึ่ง สีดำล้วน ยอดแหลมสูงตระหง่าน กำแพงเต็มไปด้วยเถาวัลย์หนาทึบ แฝงกลิ่นอาย ‘โกธิก’ อย่างเต็มเปี่ยมยอดปราสาทมีหญิงสาวร่างกายโปร่งแสงคนหนึ่งกำลังยืนเด่นสง่า ตัวใหญ่ สูงเกือบเท่าปราสาท สวมเดรสสีดำยาว มอบความรู้สึกหรูหราและอึมครึม หล่อนไม่มีหัว รอยตัดตรงคอเรียบเนียนและไม่ชวนหวาดเสียว แขนสองข้างที่ห้อยลงมากำลังหิ้ว ‘ศีรษะ’ จำนวนสี่เศียร แบ่งเป็นข้างละสองเศียร หิ้วโดยการจับปลายเส้นผมยาวสลวยสีทองไว้แน่นกระชับ ทั้งสี่เศียรมีดวงตาสีแดงก่ำ ใบหน้าสะสวย หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า เศียรทั้งหมดเหมือนกันราวกับแกะเมื่อไคลน์ จักรพรรดิมืด เหาะผ่านหน้าหล่อนไป เศียรทั้งสี่พลันกะพริบตาพร้อมกันไคลน์ไม่หันไปตอบสนอง รีบบินตามไม้ค้ำโดยไม่เสียเวลาเหลียวมองหญิงสาวปริศนาหมุนตัวเล็กน้อย เพื่อให้ศีรษะในมือมองตามไคลน์จนกระทั่งลับสายตาหล่อนเป็นตัวอะไรกันแน่…ขณะกำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มเห็นไม้ค้ำสีดำพลันพุ่งลงไปลงด้านล่างอย่างรวดเร็วมันรีบเหาะตาม และเป็นอีกครั้งที่ได้สัมผัสประสบการณ์คล้ายกระโดดตึกราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา เบื้องล่างไคลน์ปรากฏภาพอันไม่คมชัดของอาคารซากปรักหักพังขนาดใหญ่ด้านนอกอาคารมีแมงกะพรุนยักษ์ตัวหนึ่งกำลังลอยเอื่อยเฉื่อย ดูแล้วน่าจะเป็นสัตว์วิญญาณ มันเหยียดหนวดยาวโปร่งใสที่ปกคลุมด้วยเมือกบางออกไปรอบตัว คล้ายกับบริเวณดังกล่าวเป็น ‘อาณาเขต’ ของมันสุดปลายหนวดแต่ละข้างมีกะโหลกมนุษย์สีขาวนมสดเชื่อมติด เบ้าตาลึก กำลังโยกเอนอย่างเชื่องช้าและอ่อนโยน ไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกายที่มีเพียงน้อยนิดไม้ค้ำสีดำพุ่งผ่านสิ่งมีชีวิตประหลาดไป ก่อนจะหยุดค้างเหนือซากอาคารมายาที่พังถล่มจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมพบเป้าหมายแล้ว? ไคลน์ดีใจในตอนต้น แต่ก็ต้องหันมาจ้องแมงกะพรุนยักษ์กำลังโบกกะโหลกมนุษย์ไปมาถึงจะอยู่ในสภาพพร้อมรบ แต่ไคลน์ก็ไม่คิดโจมตีบุ่มบ่าม ก่อนอื่น มันพยายามแผ่ออร่าความน่าเกรงขามด้วยลักษณะพิเศษของ ‘จักรพรรดิมืด’ และใช้ดวงตาเย็นชาจ้องมองเข้าไปในเบ้ากะโหลกดำลึกแต่เมื่อสามวินาทีผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไคลน์ตัดสินใจพ่นถ้อยคำเฮอร์มิสโบราณ :“ถอยไป!”หมวดแมงกะพรุนสั่นกระตุกสองหน ก่อนที่ร่างกายขนาดมหึมาของมันจะค่อย ๆ แหวกว่ายหนีไปอย่างเชื่องช้า เลือนหายไปในโลกวิญญาณอันกว้างใหญ่ไพ่จักรพรรดิมืดยังใช้การได้ดี…แต่ถ้าไม่ได้ผล เราจะโยนนกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิกออกไป ลูกหลานเทพมรณาคงมีอิทธิพลในโลกวิญญาณไม่มากก็น้อย…ไคลน์หายใจทั่วท้อง ร่อนลงเล็กน้อย และก้มหยิบไม้ค้ำเนื้อแข็งสีดำที่ลอยอยู่กลับมาถือถัดมา ด้วยสีหน้าคาดหวัง ชายหนุ่มเร่งความเร็วเพื่อร่อนลงไปให้ถึงพื้นซากปรักหักพังเบื้องล่างสำหรับมัน ถึงจะถูกโบสถ์วายุสลาตันกับกองทัพพบรังคาเวทูว่าตัดหน้าและกอบโกยสมบัติมีค่ากลับไป แต่หากยังมีเศษวัตถุวิเศษหลงเหลือแม้เพียงน้อยนิด ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วกับการยอมเสี่ยงถ่อมาถึงตรงนี้หรือต่อให้ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย แต่เรายังมีโอกาสศึกษาร่องรอยของซากโบราณสถานเอลฟ์ บางที อาจมีจิตรกรรมฝาผนังให้ตีความ เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว…ไคลน์ร่อนผ่านม่านล่องหน ทันใดนั้น อากาศรอบตัวพลันหนักอึ้งกะทันหันทัศนวิสัยรอบตัวแปรเปลี่ยนทันที ห้วงมิติทั้งหมดกลายเป็นดินแดนใต้น้ำ ของเหลวสีฟ้าครามกำลังเติมเต็มพื้นที่ทุกซอกมุมก้นทะเลคือโบราณสถานเก่าแก่บรรยากาศอึมครึม อาคารโดยรอบพังทลายจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่บางตึกก็พังลงไปเพียงครึ่งเสาหินต้นใหญ่ สลักลวดลายและอักขระพิสดาร ลอยสูงจากจุดใจกลางซากอาคารอย่างโดดเด่นในสภาพเอนเอียง มีแนวโน้มว่ามันเคยเหยียดตรงมาก่อนในอดีต ลักษณะดูคล้ายกับเสาเอกของอาคาร คอยค้ำยันดินแดนแห่งนี้ไว้อย่างมั่นคง แต่สำหรับปัจจุบัน เสาต้นยักษ์อยู่ในสภาพแตกหักและล้มเอนไปพิงกับอาคารใกล้เคียงไคลน์จดจำเสาหินได้ทันที เพราะเคยเห็นจากนิมิตบนมิติเหนือสายหมอก เป็นฉากของเทพสมุทร·คาเวทูว่ากำลังเลื้อยพันรอบเสาหินด้วยพฤติกรรมเสียสติ ที่นี่จึงเป็นรังของคาเวทูว่าบนโลกวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัยทันใดนั้น ชายหนุ่มเริ่มสัมผัสถึงความเจ็บปวด เคียดแค้น เดือดดาล และบ้าคลั่ง คุกรุ่นอยู่ในบรรยากาศรอบตัวอย่างเข้มข้น ไคลน์เดาว่า นี่คงเป็นผลพวงจากเสียงคำรามสุดท้ายของคาเวทูว่าก่อนเสียชีวิตตายแล้วสินะ…ชายหนุ่มกำไม้ค้ำแน่น ร่อนลงไปบนทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินสีเทาอมเขียวด้านหน้าซากโบราณสถานสองข้างทางถนนมีต้นเสาหินเรียงราย ลักษณะไม่ใหญ่ไม่สูง สลักลวดลายประหลาดที่แตกต่างจากเสาใจกลางใต้ต้นเสาหินทุกต้นจะมีใครบางคนนั่งอยู่เสมอ บ้างสวมชุดคลุมยาวโบราณ บ้างสวมแจ็คเก็ตสีน้ำตาลล้ำสมัยเมื่อตระหนักถึงผู้บุกรุก ทุกคนรีบชักอาวุธ มีทั้งดาบ ขวาน และอีกมากมาย เป็นการตอบสนองทันทีและด้วยอากัปกิริยาอืดอาด สายตาทุกคู่หันมาจ้องไคลน์ไม่กะพริบ เผยให้เห็นผิวหนังแห้งกร้านสีเทาซีด และร่างกายซูบผอมติดกระดูกจนแทบจะปราศจากเนื้อหนังพวกมันยืนเพ่งมองชุดเกราะและมงกุฎสีดำสนิทของไคลน์ ด้วยแววตาแฝงความคลั่งไคล้และว่างเปล่าสาวกของคาเวทูว่า…แต่ขณะเดียวกันก็หมายความว่า คนของโบสถ์วายุสลาตันและกองทัพยังหาที่นี่ไม่พบ…ไคลน์ถอนหายใจ พลังวิญญาณถูกถ่ายลงในเข็มกลัดสุริยัน พลางเปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ“ศักดิ์สิทธิ์!”มันเปิดใช้งานพลัง ‘คำสาบานศักดิ์สิทธิ์’ ที่ติดมากับเข็มกลัดสุริยัน สรรพคุณช่วยเสริมให้การโจมตีแฝงธาตุศักดิ์สิทธิ์กึก.ไคลน์สะบัดข้อมือ เหวี่ยงไม้ค้ำมันเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ซอยเท้าเข้าหา ‘องครักษ์เทพสมุทร’ ด้วยความเร็วขณะกำลังวิ่งเต็มฝีเท้า ไคลน์ฉากหลบไปทางซ้าย รอดพ้นจากการถูกจามด้วยขวานของศัตรูอย่างหวุดหวิด พลางหมุนตัวกลับหลังเพื่อแทงปลายไม้ค้ำใส่ผิวหนังสีเทาแห้ง จนเกิดเป็นแผลลึกและส่องสว่างเพลิงสีทองศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกจากรอยแผลดังกล่าว แผดเผาร่างองครักษ์เทพสมุทรจากภายในอย่างไร้ความปรานีกึก.ไคลน์ใช้เท้าเตะศัตรูจนเสียหลักล้ม ต่อด้วยการกระโจนเข้าหาเป้าหมายถัดไปที่ด้านหลัง องครักษ์เทพสมุทรซึ่งกำลังทิ้งตัวลงบนพื้น ถูกเปลวเพลิงสีทองคลอกร่างจนกลายเป็นเพียงเศษเถ้าถ่านกึก. ชายหนุ่มโน้มตัวไปข้างหน้า โยกตัวหลบการโจมตีจากองครักษ์เทพสมุทรซ้ายทีขวาทีด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วระหว่างนั้น ไม้ค้ำถูกกวัดแกว่ง เล็งแทง ฟาดทุบ หรือไม่ก็ตีกวาด สร้างรอยแผลสีทองลงบนร่างกายองครักษ์มัมมี่อย่างทั่วถึงกึก. กึก. กึก.ไคลน์วิ่งตรงไปตามถนนหิน จนกระทั่งหยุดยืนหน้าอาคารซากปรักหักพังด้านหลังผ้าคลุมสีดำสะบัดพลิ้ว องครักษ์เทพสมุทรถูกเปลี่ยนให้เป็นคบเพลิงสีทองสว่างไสว แสงอร่ามฉาบลงบนเสาหินและทางเดินไปพักใหญ่องครักษ์มัมมี่ล้มลงทีละคนสองคน ไม่หลงเหลือใครที่ยังมีท่าทีขัดขืนด้วยท่าทีระมัดระวัง ไคลน์ย่างกรายเข้าไปในอาคารหลังที่มีเสาหินต้นยักษ์วางตั้งอยู่สิ่งสะดุดตาอย่างแรกคือลำตัวขนาดมหึมาของงูทะเลยักษ์สีฟ้า ปกคลุมด้วยเกล็ดมันวาว ผิวเกล็ดสลักลวดลายแบบเดียวกับโบราณสถานแห่งนี้ปากขนาดยักษ์ของงูทะเลกำลังกัดลงบนโคนเสาหิน เขี้ยวสีขาวหลายซี่ฝังจมลงไปช่วงลำตัวถัดจากศีรษะพาดยาวไปตามพื้นห้องโถงใหญ่ กินพื้นที่มากถึงหนึ่งในสาม มองผิวเผินคล้ายกับสันเขาลูกหนึ่ง ทว่า ตามลำตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ บ้างเหวอะหวะ บ้างเห็นถึงกระดูกละอองแสงสีฟ้ากำลังลอยไปรวมตัวบริเวณฟันซี่หนึ่งที่ยาวกว่าท่อนแขนมนุษย์เล็กน้อย ส่งผลให้เขี้ยวลักษณะโค้งงอเริ่มเหยียดตรงทีละนิดเมื่อเวลาผ่านไปเสียงคำรามแฝงความเคียดแค้นยังคงอัดแน่นจนเต็มห้องโถง ส่งผลให้ร่างวิญญาณของไคลน์เริ่มสูญเสียเสถียรภาพที่นั่น ใกล้กับศพของคาเวทูว่า ชายชราคนหนึ่ง สวมหมวกนักบวช กำลังโน้มตัวลงไปบนท้องของคาเวทูว่าเส้นผมสีเทาซีจาง มองผิวเผินจึงเหมือนกับก้อนหินสีเทา ใบหน้าหันเข้าหาศพ เสียงประหลาดไม่เป็นภาษาเล็ดลอดออกจากลำคอตลอดเวลา ไคลน์มิอาจทราบได้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำสิ่งใดรอบศพงูทะเลยักษ์เต็มไปด้วยซากมัมมี่แห้งกรังนอนเรียงราย ลักษณะคล้ายกับ ‘องครักษ์เทพสมุทร’ ด้านนอก เพียงแต่พิสดารกว่าหลายเท่า บางศพท้องป่องจนผิดธรรมชาติ บางศพท้องแตก แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ รอบริมฝีปากจะถูกฉาบด้วยคราบสีแดงแห้งกรังคล้ายเลือด มีสีฟ้าเจือปนอยู่เล็กน้อยละอองพลังงานสีฟ้ากำลังหลั่งไหลออกจากศพมัมมี่ มุ่งหน้าไปรวมตัวกัน ณ ฟันโค้งซี่หนึ่งในปากศพคาเวทูว่ายังไม่ทันที่ไคลน์จะไขปริศนาเหตุการณ์จนกระจ่าง ร่างกายชายชราสวมหมวกนักบวชตรงท้องคาเวทูว่าเริ่มสั่นกระตุก ต่อด้วยยืนขึ้นและหันหลังกลับมาด้วยตาของมันส่องแสงสีฟ้าสว่างจ้า เลือดสดเปียกชุ่มเต็มปาก กรามกำลังบดเคี้ยวก้อนเนื้อปริศนาในจุดที่มันเพิ่งเอาหน้าออกมา บาดแผลบนศพคาเวทูว่ามีสภาพเหวอะหวะชวนอ้วกแตกอ้วกแตน มวลเนื้อแหว่งไปเป็นจำนวนมาก อีกนิดเดียวก็จะเผยให้เห็นกระดูกสีขาวชายคนนี้กินศพเทพสมุทร·คาเวทูว่า!นี่มัน…ไคลน์ขมวดคิ้ว เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวในหัว :หลังจากคาเวทูว่าตาย นักบวชและองครักษ์ในห้องโถงต่างพากันเสียสติ จึงเริ่มกัดกินศพอย่างบ้าคลั่ง!จนถึงตอนนี้ ตะกอนพลังของคาเวทูว่ายังควบแน่นกลายเป็นผลึกไม่เสร็จ ส่งผลให้พลังพิเศษส่วนใหญ่ยังคงฝังอยู่ในศพ เมื่อกินเนื้อจากศพเข้าไป บรรดาองครักษ์และนักบวชจึงเผชิญปัญหา ‘ดื่มโอสถเกินขนาด’ หรือไม่ก็ ‘ดื่มโอสถขัดแย้งกับเส้นทาง’ จนหลายคนเสียชีวิตคาที่แต่ก็มีหลายรายโชคดีพอจะรอดชีวิตมาได้ในอัตราต่ำ ไม่คลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด บางรายสามารถข้ามลำดับพลังจนกลายเป็นตัวตนแข็งแกร่ง บางรายได้ครอบครองพลังของหลายเส้นทาง กลายเป็นผู้วิเศษกึ่งเสียสติแต่ทรงพลังแต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ล้วนอันตรายทั้งสิ้น!สายตาไคลน์เบือนจากใบหน้าของนักบวช ลงมายังบริเวณช่องท้องบวมป่อง คล้ายกับสตรีตั้งครรภ์ ของอีกฝ่ายท้องของนักบวชกำลังยุบพองรุนแรง ราวกับด้านในมีหัวใจขนาดใหญ่ฝังอยู่!……………………
คอมเม้นต์