ราชันเร้นลับ 492 : นักผจญภัย
หลังจากย่างกรายขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ ขณะเตรียมเดินเข้าไปในเขตห้องพัก จากมุมสายตา ไคลน์เหลือบเห็นร่างของบุคคลผู้หนึ่งกำลังเดินแหวกฝูงชนเข้ามาใกล้ตนชายหนุ่มมองข้ามไหล่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่แฝงจิตสังหารไว้อย่างเจือจาง มันมองเห็นใบหน้าของชายวัยประมาณสามสิบ สวมหมวกทรงสูงสีดำ และเสื้อกันลมสีเดียวกันใบหน้าแห้งเหี่ยว ลักษณะคล้ายคนเถื่อน ร่างกายกำยำแต่หุ่นสันทัด ดวงตาสีฟ้าซีดของมันไม่ปรากฏความเป็นมิตร แต่แฝงประสบการณ์อันโชกโชนไว้เต็มเปี่ยมเคยเห็นจากไหนนะ… อ้อ… นึกออกแล้ว เราหันไปมองเขาเมื่อวานขณะกำลังต่อแถวซื้อบัตรโดยสาร และเข้าใจว่าเป็นนักผจญภัยเหมือนกัน… กล้าสวมเสื้อกันลมในทะเลช่วงเดือนมกราคมเชียว แข็งแรงเอาเรื่อง….ไคลน์ยกไม้ค้ำขึ้นและชี้ไปในแนวทแยงมุมพลางเผยรอยยิ้ม“อรุณสวัสดิ์ เจอกันอีกแล้วนะครับ”ท่าทีประหนึ่งกำลังทักทายเพื่อนเก่าชายใบหน้าดุดันไม่เผยความประหลาดใจ เพียงหยุดเดินและพยักหน้าเคร่งขรึม“คลีฟส์ อดีตนักผจญภัย สหาย คุณก็เหมือนกันใช่ไหม”“ผมคิดว่าคุณคงทราบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เกอร์มัน·สแปร์โรว์” ไคลน์ยิ้มมันไม่เปลี่ยนมาถือไม้ค้ำด้วยมือขวา เนื่องจากไม่มีเจตนาจะจับมือกับคลีฟส์“ผมพอจะเดาออก” คลีฟส์เงียบงันนานสองวินาที “น่าเสียดาย ชีวิตนักผจญภัยของผมไม่สวยหรู ต้องลงเอยด้วยการเปลี่ยนมาทำงานบอดี้การ์ดแทน โดยวันนี้รับภารกิจคุ้มกันครอบครัวของนายจ้างไปยังเมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์”มันหมุนตัวครึ่งรอบและชี้ไปยังมุมหนึ่งของดาดฟ้าเรือไคลน์มองตามและพบกับกลุ่มบุคคลเกือบสิบกำลังยืนกระจุก นำโดยสุภาพบุรุษร่างท้วมแก้มแดงเจ้าของดวงตามีชีวิตชีวา สายโซ่นาฬิกาพกสีทองห้อยออกจากกระเป๋าเสื้ออย่างโดดเด่น รวมถึงเข็มกลัดอัญมณีระยิบระยับบริเวณปกเสื้อถัดไปเป็นหญิงสาวสวมหมวกปีกกว้าง ใบหน้าถูกซ่อนภายใต้แผ่นตาข่ายสีน้ำเงินเข้มจนมิดชิด รูปร่างนับว่าค่อนข้างดีด้านหน้าสองสามีภรรยาเป็นเด็กชายและเด็กหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายยังไม่ถึงสิบขวบดี สวมสูทหางยาวสำหรับเด็ก ฝ่ายหญิงอายุราวสิบห้าสิบหก เปี่ยมด้วยความร่าเริงสดใส ใบหน้าอาจเรียกว่างดงามได้ไม่เต็มปากดวงตาสีน้ำตาลแฝงความฉลาดหลักแหลม รอยกระจางๆ บนโหนกแก้มทั้งสองข้างช่วยส่งเสริมความซุกคนรอบตัวพวกเขายังมีอีกสามบุคคลคอยถือสัมภาระและกระเป๋าเดินทาง เป็นชายหนึ่งและหญิงสอง แต่งกายตามตามมาตรฐานคนรับใช้ โดยสาวใช้คนหนึ่งมีผิวสีน้ำตาลแดง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นชาวทวีปใต้เจ็ดคนดังกล่าวถูกคุ้มกันโดยบอดี้การ์ดจำนวนสองคน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ด้านในสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวรีดเรียบ เสื้อกั๊กสีอ่อน เสื้อโค้ทดำ กางเกงขายาวสีเข้ม และรองเท้าหนังทะมัดทะแมงบอดี้การ์ดทั้งสองจงใจไม่ปกปิดการนูนของวัตถุรูปทรงคล้ายปืนตรงเอว ท่าทีเป็นไปอย่างระแวดระวังและไม่ประมาท คอยสอดส่องคนผ่านไปผ่านมาอย่างละเอียด ดวงตาเพ่งตรวจสอบในลักษณะเยือกเย็นเย็น“คนรับใช้สาม บอดี้การ์ดสอง?”ไคลน์ถามอย่างเป็นกันเองกลุ่มเดินทางระดับนี้นับว่าไม่ธรรมดา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นายจ้างของคลีฟส์คงร่ำรวยเป็นอย่างมาก…ไคลน์วิเคราะห์ตามความเคยชิน“ถูกต้อง” คลีฟส์พยักหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใด มันหันหลังกลับและเดินตรงไปยังกลุ่มครอบครัวดังกล่าว“…”ไคลน์ถึงกับเป็นงง มันกำลังไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดคลีฟส์ถึงต้องเดินมาทักทายตนเป็นการเฉพาะเจาะจงแต่หลังจากนึกทบทวนเนื้อหาภายในนิยายจากโลกเก่า ภาพยนตร์ และละครทีวีอีกหลายเรื่อง ชายหนุ่มเริ่มมองเห็นเจตนาแอบแฝงเขาระแวงเรา คงเป็นเพราะเราเคยประกาศตัวชัดเจนแถมยังมีกลิ่นอายความอันตราย จึงเดินมาแนะนำตัวและเปรยงานของตัวเองให้เราทราบ เพื่อบอกเป็นนัยว่า อย่าได้หมายตาผู้ว่าจ้างของเขา…หรือสรุปโดยสั้นเป็นภาษานักเลง :‘อยากทำอะไรก็เชิญ แต่ห้ามก้าวก่ายงานของกันและกัน’ …อดีตนักผจญภัยมักตักเตือนนักล่าค่าหัวด้วยวิธีการเช่นนี้เองหรือ…น่าสนใจมาก…ไคลน์อมยิ้มพลางถือกระเป๋าเดินทางและไม้ค้ำเดินหาห้องพักของตน ด้วยความช่วยเหลือจากข้อมูลบนบัตรโดยสาร เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบแอ๊ด—ประตูไม้เสียดสีจนเกิดเสียง ชายหนุ่มแทรกตัวเข้าไปในห้องของตนและปิดประตูไล่หลังขนาดของห้องไม่ใหญ่มาก มีไว้แค่ยัดเตียงนอน โต๊ะ และตู้เสื้อผ้าเข้าไปจนเต็ม ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้แล้ว แม้แต่เก้าอี้สักตัวก็ไม่ข้อดีคือเป็นห้องมีหน้าต่าง แสงแดดประจำท่าเทียบเรือกำลังสองเข้ามาด้านในอย่างสดใส ฉาบให้ผิวโต๊ะกลายเป็นสีทองอร่ามชั่วคราวลูกเรือช่วยชี้แจงให้ไคลน์ทราบว่า ห้องล้างหน้าและห้องน้ำจะต้องใช้ร่วมกันกับแขกอีกแปดห้องข้างเคียง แต่หากใครต้องการใช้ห้องสุขาแบบด่วนพิเศษ ทางเรือก็มีบริการห้องสุขาไม้ไว้ในราคาสามเพนนี เพื่อเป็นค่าทำความสะอาด…. ต้องขอบคุณสวรรค์ เนื่องจากโมราขาวลำนี้ถูกบูรณะให้ทันสมัย จึงมีการเดินท่อโลหะส่งแก๊สไปรอบลำเรืออย่างทั่วถึง ในห้องน้ำจึงมีเครื่องต้มน้ำไว้คอยบริการ นับว่าสะดวกสบายกับชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้น การล่องทะเลของเราคงกร่อยน่าดู…ไคลน์ถอนหายใจจากนั้น มันนำสิ่งของในชีวิตประจำวันออกจากกระเป๋าและวางเรียงบนโต๊ะ เพื่อให้ง่ายต่อการหยิบจับขณะจัดแจงสิ่งต่างๆ ให้เป็นระเบียบ ชายหนุ่มทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงซึ่งมีความสูงไม่มาก สองหูเงี่ยฟังเสียงหวีดของเครื่องจักรพลังไอน้ำ พลางสัมผัสได้ถึงพลังขับเคลื่อนอันหนักแน่นและเต็มไปด้วยกลิ่นอายวิทยาศาสตร์เมื่อเรือเริ่มแล่นออกจากท่า ไคลน์จ้องออกไปนอกหน้าต่างพลางใช้ความคิด มันกำลังกังวลถึงปัญหาใหญ่ในอนาคตของตนจะสวมบทบาทเป็นผู้ไร้หน้าอย่างไรดีขณะเผชิญหน้าพิธีกรรมของมิสเตอร์ A เกี่ยวกับการลงมาจุติของพระผู้สร้างแท้จริง ไคลน์ตัดสินใจล้มเลิกความคิดหลบหนี และหันกลับไปหาทางขัดขวางพิธีกรรมจนเกิดผลลัพธ์น่าพึงพอใจ โดยในขณะนั้น การย่อยโอสถมีพัฒนาการชัดเจนจนจับต้องได้ หากอ้างอิงจากความรู้สึกดังกล่าว ไคลน์สามารถจับหลักการของเทคนิคสวมบทบาทเป็นผู้ไร้หน้าได้อย่างคร่าว‘จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง’ นี่คือหลักยึดถือซึ่งนักเชิดหุ่นโรซาโก้ถูกสอนให้จดจำ…เราเคยคิดว่า ‘ตัวเอง’ จะต้องหมายถึงตัวตนแท้จริง ในกรณีนี้คือไคลน์·โมเร็ตติ…แต่เมื่อลองไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือน ‘การเป็นตัวเอง’ จะต้องตีความให้ลึกซึ้งมากกว่านั้น…ไคลน์โน้มตัวเข้าหาโต๊ะพร้อมกับอาบแสงแดดอบอุ่นด้านนอกเป็นเวลานาน จนดูคล้ายกับรูปปั้นคนนั่งในท่าครุ่นคิดผ่านไปสักพัก มันเริ่มสะกิดใจหรือว่า ‘ตัวเอง’ จะหมายถึงตัวตนภายในวิญญาณชั้นลึกสุด?ย้อนกลับไปในโลกเก่า โจวหมิงรุ่ยเคยสวมหน้ากากเป็นหลายบุคคลในโลกอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการสวมหน้ากากเข้าหาสังคมด้วยหลายบุคลิกตามแต่กลุ่มคนในแวดวงนั้นจะยอมรับโดยเกือบทั้งหมดจะเป็น ‘ตัวตนปลอม’อา… ขณะเราปลอมตัวเป็นใครสักคนบนโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ต้องมีการสร้างตัวตนปลอมในเชิงลึก และไม่หลุดพิมพ์ข้อมูลน่าสงสัยออกไป นั่นคือการสวมหน้ากากเข้าคนอื่น…หากทุกหน้ากากถูกถอดออกจนหมด สุดท้ายแล้ว ตัวเราคนนั้นคือ ‘ตัวเอง’ ในความหมายของโอสถผู้ไร้หน้า?ขณะเผชิญหน้าความชั่วร้าย เราเอาชนะความกลัวในใจและเลือกขัดขวางศัตรูทุกวิถีทางอย่างไร้เหตุผล โดยไม่ข้องเกี่ยวกับอุปนิสัยของตัวตนหรือใบหน้าในเวลานั้น…นี่คือเหตุผลให้โอสถถูกย่อยจนเกิดพัฒนาการชัดเจน?นั่นคือการไม่หลงลืม ‘ตัวเอง’ ?เรื่องนี้ต้องมีการทดลองและพิสูจน์…ครุ่นคิดมาถึงจุดนี้ ไคลน์เปลี่ยนอิริยาบถ พยายามทำตัวให้ผ่อนคลายหลังจากนึกทบทวนเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่วันก่อนอย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มผุดคำถามใหม่ภายในซากอาคารใต้ดิน เราปลอมตัวเป็นอินซ์·แซงวิลล์อย่างแนบเนียนจนสามารถหลบหนีจากอันตรายมาได้สำเร็จ แต่ทำไมโอสถจึงไม่มีความคืบหน้าเลย?จริงด้วย… นั่นเป็นแค่การใช้พลังพิเศษ มิใช่การสวมบทบาท!หากจะย่อยโอสถให้คืบหน้า เราต้องปลอมตัวเป็นคนคนนั้นโดยมีอุปนิสัยแบบเดียวกัน สวมรอยเป็นบุคคลเดียวกันจนคนรอบตัวไม่ตระหนักถึงความผิดปรกติในชีวิตประจำวันและในทางสังคม?หากเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องไม่พบความผิดปรกติ นั่นจึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ?ถ้าอย่างนั้น ความรู้สึกกลมกลืนอย่างน่าประหลาดหลังจากดื่มโอสถผู้ไร้หน้าเข้าไป เกิดจากการสวมรอยเป็นไคลน์·โมเร็ตติโดยคนในครอบครัวไม่รู้สึกเอะใจมาตลอด…กฎข้อแรกของผู้ไร้หน้า จะปลอมตัวเป็นใครก็ได้ แต่สุดท้ายต้องเป็นตัวเอง…กฎข้อสอง ต้องปลอมตัวในระดับลึกซึ้งถึงขั้นสามารถตบตาบุคคลใกล้ตัว…แต่การปลอมตัวจนถึงขั้นญาติพี่น้องแยกแยะไม่ได้ เราคิดอย่างอื่นนอกจากการทำชั่วไม่ออก…อย่าบอกนะว่า… ต้องตามหาคนตายในดินแดนห่างไกล จากนั้นก็เดินทางกลับไปพบญาติในบ้านเกิด และสวมรอยเป็นบุคคลดังกล่าวเพื่อสนองความต้องการสุดท้ายให้เขา…ยิ่งลำดับสูง การสวมบทบาทก็ยิ่งยาก…ชายหนุ่มถอนหายใจพลางลวงหยิบนาฬิกาพกออกมาตรวจสอบเวลาเนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน ประกอบกับภายในห้องพักคับแคบและอึดอัด ไม่เหมาะแก่การนั่งแช่นานๆ ไคลน์ตัดสินใจออกไปเดินรับลมทะเลบนดาดฟ้าเรือหลังจากความตื่นเต้นในชั่วโมงแรกของการล่องทะเลจบลง บนดาดฟ้าจึงเหลือผู้คนบางตา ชายหนุ่มเดินไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมาถึงมุมหลบแดดซึ่งมีเงาสีดำทอดยาวแสงแดดสดใส บรรยากาศอบอุ่น… นอกจากสายลมกระโชกซึ่งพยายามจะขโมยหมวกของเราแล้ว นอกนั้นก็ไม่มีข้อเสีย…ชายหนุ่มกดหมวกและเดินกลับเข้าไปในเขตห้องพัก จากนั้นก็ตัดสินใจเดินสำรวจโครงสร้างภายในเรือพลางฟังเสียงดนตรีอันไพเราะเป็นฉากหลังเพียงไม่นาน ไคลน์บังเอิญเดินมาพบอดีตนักผจญภัยคนเดิม คลีฟส์ กำลังก้มหน้าทำอะไรบางอย่างในมุมหนึ่งของเรือ บนพื้นด้านหน้ามีหอกสามง่าม มีดสั้น และมีดยาววางอยู่เมื่อสัมผัสถึงสายตาจ้องมอง คลีฟส์เงยหน้าขึ้นด้วยอากัปกิริยาขึงขัง ตามด้วยการกล่าวเสียงเรียบ“พวกนี้คือสหายเก่าของผมเอง จำเป็นต้องถูกบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ”จากนั้น มันเสริม“พอดีในห้องพักมีเด็กๆ อยู่”“เข้าใจได้” ไคลน์ยิ้มรับคลีฟส์ก้มหน้าจัดการงานของตัวเองต่อ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงซักถาม“ไม่ได้พกของพวกนี้มาด้วยหรือ”“ผมชินกับการใช้อาวุธประจำกาย” ไคลน์ตอบอย่างคลุมเครือ “และหมั่นบำรุงรักษามันอย่างสม่ำเสมอ”คลีฟส์ยกมีดสั้นขึ้นมาถืออย่างคล่องแคล่ว สายตาจ้องออกไปนอกหน้าต่าง“สำหรับท้องทะเล แค่ปืนมันยังไม่พอ เมื่อโจรสลัดบุกขึ้นเรือ จำนวนของพวกมันไม่ใช่หนึ่งหรือสอง แต่เป็นสิบเป็นร้อย หากคุณยิงปืนจนหมดกระสุน พวกมันจะไม่เปิดโอกาสให้เติมกระสุนเด็ดขาด จริงอยู่ สิ่งของพวกนี้พกติดตัวไม่ง่าย แต่ก็มีประโยชน์ในบางสถานการณ์”มืออาชีพมาก… สมกับอดีตนักผจญภัย…ไคลน์เอนตัวพิงกำแพงเรือและพูดติดตลก“หากโจรสลัดขึ้นเรือมา ผมมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ตอบโต้พวกมัน”คลีฟส์เงยหน้ามองอีกครั้ง คราวนี้จ้องนานราวสามวินาทีก่อนจะหันกลับ ตามด้วยการกล่าวเสียงแผ่วเบาขณะเริ่มเก็บข้าวของ“ผมคงไม่ต้องคอยเตือนคุณสินะ เข้าใจกฎเหล็กของทะเลก็ดีแล้ว นักล่าค่าหัวบนฝั่ง ส่วนมากมักเป็นนักผจญภัยในทะเลไม่ได้”คลีฟส์ซ่อนมีด ดาบสั้น และสามง่ามอย่างชำนาญภายในเสื้อผ้า ฉากดังกล่าวสร้างความทึ่งให้ไคลน์ไม่น้อย“ขอบคุณมาก” ชายหนุ่มยิ้มรับโดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม คลีฟส์หันหลังกลับและเดินเข้าไปในห้องพัก เผยให้เห็นเพียงแผ่นหลังขนาดใหญ่ไคลน์ยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า และหันไปออกไปมองนอกเรือคลื่นสีครามกำลังขยับขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง ปลาบินสีเงินคอยดีดตัวจากผิวน้ำไปในอากาศปลาชนิดนี้ทำได้ทั้ง ‘บิน’ และว่ายน้ำ ถือเป็นหนึ่งในครอบครัวของเทพวายุสลาตัน หากชาวประมงและลูกเรือส่วนมากพบว่าพวกมันติดมากับอวน จะรีบปล่อยกลับลงไปในทะเลทันที…ไคลน์กำลังชื่นชมภาพความงามของน้ำทะเลสีครามส่องสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ ด้านบนมีปลาสีเงินกำลังโบยบินอย่างองอาจความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวโดยไม่รู้ตัวเจ้านี่จะอร่อยไหมนะ………………………
คอมเม้นต์