ราชันเร้นลับ 453 : ขั้นบันได
ณ คฤหาสน์กุหลาบแดง ด้านนอกห้องพักหรูหราซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องเรือนเก่าแก่ไคลน์ยืนริมประตูพลางตั้งคำถามกับสาวใช้ขององค์ชาย มันทำเช่นนี้มาแล้วห้าคนสาวใช้วัยรุ่นสวมเดรสขาวดำอันเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัยปัจจุบัน ใบหน้าค่อนไปทางสะสวย กำลังอยู่ในวัยเบ่งบาน เส้นผมสีน้ำตาลหยักศกดูเป็นธรรมชาติ กลิ่นอายรอบตัวแฝงความขี้เล่นไว้พอประมาณ“ก่อนเสียชีวิต มิสเตอร์ทาลิมพบใครบ้าง”ไคลน์ทวนคำถามเดิมอย่างเฉื่อยชาสาวใช้ร่ายยาวไม่พักหายใจ“มิสเตอร์ทาลิมจะเข้าพบองค์ชายเป็นส่วนใหญ่ พาพระองค์ไปขี่ม้าและพูดคุยเรื่องราวต่างๆ แต่ถ้าองค์ชายไม่อยู่ มิสเตอร์ทาลิมจะเข้าไปพบผู้หญิงคนนั้น พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน และมิสเตอร์ทาลิมได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากคุณพ่อบ้าน”ทาลิมเป็นเพื่อนสนิทกับหญิงสามัญชนซึ่งองค์ชายเอ็ดซัคหลงรัก? แถมยังเคยแอบพบกันหลายหน? อา… คงเป็นเพราะเขาหวังโน้มน้าวให้เธอถอนตัวกระมัง องค์ชายจะได้ไม่เสื่อมเสียเกียรติ…ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง“พวกเขา เอ่อ หมายถึงมิสเตอร์ทาลิมกับหญิงสาวคนนั้น มักสนทนาเรื่องใดเป็นพิเศษ”หลังจากถามออกไป ชายหนุ่มเพิ่งนึกได้ว่า ก่อนจะตาย ทาลิมแสดงอากัปกิริยาของคนมีความรักชัดเจน ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนของนักสิงเว็บบอร์ดสมัยโลกเก่า ไคลน์เริ่มจินตนาการเค้าโครงของบทละครรักโรแมนติกได้หนึ่งเรื่องสาวใช้มิได้หวาดระแวงนักสืบ เพียงอมยิ้ม และส่ายหัวอ่อนโยน“ถ้าพวกเขานัดพบกัน สาวใช้ทุกคนจะถูกสั่งให้ออกจากห้องค่ะ”นี่มัน…ยิ่งได้ฟัง ไคลน์ก็ยิ่งนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวรักต้องห้ามในความทรงจำโดยไม่รอให้ชายหนุ่มซักถาม สาวใช้เผยรอยยิ้มขี้เล่นและเริ่มเล่าต่อ“มิสเตอร์นักสืบ ถ้าคุณอยากทราบว่ามิสเตอร์ทาลิมพูดอะไรกับเธอบ้าง คุณสามารถถามเอาจากเธอได้โดยตรง”“พ่อบ้านชราไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นแน่” ไคลน์รีบผลักภาระให้คนอื่นจากนั้น ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางสวมรอยยิ้มเปื้อนหน้า“แล้วทำไมคุณถึงทราบเรื่องราวมากกว่าสาวใช้คนอื่น? คุณทราบแม้กระทั่งชื่อผม”สาวใช้มองไปรอบห้อง ก่อนจะบีบเสียงกระซิบกระซาบ“เพราะว่าดิฉันเคยเป็นเวรประจำตัวของเธอคนนั้น นักสืบโมเรียตี้ เธอเองก็อยากพบคุณเช่นกัน จึงเอ่ยชื่อคุณออกมาหลายครั้ง และต้องไม่ลืมว่า เธอกับมิสเตอร์ทาลิมสนิทกันมาก จึงไม่แปลกหากอยากจะทราบสาเหตุการตายแท้จริง แต่น่าเสียดาย เธอคลาดกับคุณตลอด”“ตลอด?”ไคลน์ค่อนข้างอ่อนไหวกับคำว่า ‘ตลอด’ ‘คลาดกัน’ ‘แต่น่าเสียดาย’ และคราวนี้ดันรวมมาอยู่ในประโยคเดียวพร้อมกัน!สาวใช้พยักหน้ารับ“ย้อนกลับไปในตอนแรก เมื่อครั้งองค์ชายเชิญคุณมาเป็นแขกในสนามกอล์ฟ เธอพยายามออกไปพบคุณ แต่กลับถูกองค์ชายสั่งห้ามโดยเด็ดขาด ค่อนข้างน่าเสียดาย ทางคุณเองก็รีบกลับไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงมีโอกาสได้พบเธอสักนิด หลังจากนั้น เธอเสนอตัวเป็นคนนำช่อดอกไม้ขององค์ชาย ไปวางหน้าหลุมศพของมิสเตอร์ทาลิม แต่น่าเสียดายอีกเช่นกัน เธอไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน จึงพลาดโอกาสในการพบคุณ และในวันนี้ เธอมีกำหนดต้องไปขี่ม้าเล่นในสนามกอล์ฟเผื่อผ่อนคลายร่างกาย ไม่อย่างนั้น ต่อให้ถูกพ่อบ้านชรายืนกรานสั่งห้าม แต่เธอก็คงหาวิธีพบคุณเข้าจนได้”ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้…ไคลน์ถอนหายใจยาว พลางขบคิดถึงประเด็นสำคัญจากคำพูดเมื่อครู่สาวใช้คนสวยเล่าว่า หญิงสาวสามัญชนผู้องค์ชายตกหลุมรัก ได้เสนอตัวนำดอกไม้ไปวางหน้าหลุมศพให้แทน!ในวันดังกล่าว ไคลน์ไม่มีวันลืมหญิงสาวสวมเดรสสีดำ หมวกห้อยตาข่ายดำ และสวมแหวนพลอยสีฟ้าเม็ดใหญ่บนนิ้วก้อย ชายหนุ่มเกิดสันนิษฐานว่า เธออาจเป็นผู้ครอบครองสมบัติปิดผนึกระดับ 0 หรือไม่ก็ตัวตนลำดับครึ่งเทพ!ทันใดนั้น ไคลน์เริ่มนึกถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์ในวันเดียวกัน หญิงสาวปริศนาคนดังกล่าว เดินออกจากงานศพอย่างไม่รีบร้อนพร้อมกับสาวใช้จำนวนสองคน…หนึ่งในสองสาวใช้มีผมสีน้ำตาลหยักศก…ทันใดนั้น ภาพเค้าโครงของสาวใช้ในความทรงจำเมื่อวันก่อน ได้ซ้อนทับกับสาวใช้เบื้องหน้าพอดิบพอดี!กล้ามเนื้อไคลน์พลันกระตุก เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นกลางหลัง แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉยราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นอาศัยพลังตัวตลก มันแสร้งนึกทบทวนเหตุการณ์ในวันนั้น และทำเป็นซักถามโดยมิได้ให้ความสำคัญมากนัก“ขณะวางดอกไม้หน้าหลุมศพ คุณเองก็อยู่กับเธอด้วยใช่ไหม?”สาวใช้ขานรับโดยแทบไม่คิดนาน“ใช่ค่ะ”…ฉิบหายแล้ว เป็นหล่อนจริงด้วย!ไคลน์ยังคงปั้นหน้ายิ้ม“ครับผม สำหรับคำถามต่อไป…”มันตีหน้าซื่อพลางยิงคำถามจิปาถะอีกหลายข้ออย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนจะเปลี่ยนไปสอบปากคำคนรับใช้อื่นในคฤหาสน์จนเกือบครบแต่มันแอบเร่งให้เสร็จเร็วขึ้นเล็กน้อยไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เราก็ต้องรีบออกจากคฤหาสน์กุหลาบเวรตะไลแห่งนี้โดยด่วน! ต้องกลับก่อนหล่อนจะขี่ม้าเสร็จและวกกลับมา!กระทั่งสี่โมงเย็น ไคลน์ขอตัวกลับก่อนท้องฟ้าจะมืด และได้พ่อบ้านชราช่วยจัดแจงหารถม้ากลับมาส่งในตัวเมืองเมื่อได้นั่งริมหน้าต่างและเอนหลังพิงเบาะบุด้วยผ้าไหม ไคลน์เริ่มผ่อนคลาย ปล่อยให้ความคิดล่องลอยอย่างอิสระ สมองเริ่มวิเคราะห์เกี่ยวกับหญิงสาวสามัญชนซึ่งองค์ชายสามตกหลุมรัก เธอยังเป็นผู้ร่ายคำสาปจนทาลิมถึงแก่ความตายทำไมหล่อนถึงต้องลงมือกับทายาทตระกูลอดีตขุนนาง? เพื่อแก้แค้นทาลิม ผู้เข้ามาขัดขวางความรักระหว่างตนกับองค์ชาย?แต่ไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองสักหน่อย ขณะทำเรื่องอย่างว่าบนเตียง หล่อนมีโอกาสมากมายในการบอกองค์ชายเอ็ดซัค ระดับองค์ชายสามคงมีวิธีทำให้ทาลิมหายไปจากโลกอย่างไรร่องรอยอยู่แล้ว…ทาลิมมีอาการตกหลุมหลังก่อนตาย… อาการดังกล่าวเพิ่งเริ่มขึ้น หลังจากเขาพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวสามัญชนหนีไปจากองค์ชาย… พวกเขาสองคนได้เสียกันแล้ว? และเมื่อหญิงสาวสามัญชนถูกนำตัวกลับมายังคฤหาสน์ เธอจึงต้องรีบปิดปากทาลิม?ในทางทฤษฎี สมมติฐานของเราค่อนข้างสมเหตุสมผล แต่จุดน่าสงสัยก็ยังมี เช่น เหตุใดเจ้าของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 ถึงถูกองค์ชายสามกักตัวไว้ง่ายดายนัก? เพราะจึงจะเป็นตระกูลเทวทูตซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปีอย่างออกัสตัส แต่การกักขังบุคคลระดับดังกล่าวก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องพึ่งพาเทคนิคพิเศษ อาจรวมถึงสมบัติผนึกทรงพลังอีกหลายชิ้น บุคคลระดับองค์ชายสามจึงไม่น่าจะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้ได้ด้วยพลัง…แล้วทำไมหล่อนถึงสนใจในตัวทาลิม?อยากพบเราไปทำไม? หรือเริ่มตระหนักแล้วว่า เราใช้ห้วงมิติสายเหนือหมอกเทาทำนายจนพบเบาะแสคำสาปของเธอ?ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เราคงถูกฝังไปพร้อมทาลิมในวันงานศพ… เหนือสิ่งอื่นใด จากคำบอกเล่าของสาวใช้ เธออยากพบเราตั้งแต่การเยือนคฤหาสน์กุหลาบหนแรก โดยในช่วงดังกล่าว เรายังไม่มีเส้นผม เลือด หรือสิ่งของประจำตัวทาลิมสำหรับทำนาย…เมื่อยิ่งวิเคราะห์ลงลึก ไคลน์ยิ่งพบความประหลาดใจ แต่ในตอนสุดท้าย มันตัดสินใจปล่อยวางทุกสิ่ง และไม่คิดขุดคุ้ยเรื่องดังกล่าวไปมากกว่านี้อีก!ได้แต่หวังว่าจิตแห่งจักรกล ซึ่งเราบอกใบ้ความผิดปรกติไว้ล่วงหน้า จะสืบสวนคดีนี้อย่างสุดความสามารถ ไม่ผิดแน่ พวกเขาคงวางลำดับความสำคัญของราชวงศ์ไว้สูงสุดเสมอ ไม่เกี่ยวกับความเป็นองค์ชาย แต่ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ!ได้แต่หวังว่า ทางเชื้อพระวงศ์จะช่วยป้องกันไม่ให้หญิงสามัญชนคนนั้นแอบมาพบเราได้ง่ายนัก… จากนั้นก็ต้องรอสักสามวัน ให้ถึงเวลาเหมาะสมมากกว่านี้ จึงค่อยขอถอนตัวจากภารกิจและแสดงให้องค์ชายเห็นว่า ตัวเราอ่อนแอและไร้พลังมากเพียงใด…จากนั้นจะเป็นการหนีลงใต้โดยใช้ข้ออ้างลาพักร้อน แต่ในความเป็นจริง เราจะใช้ชีวิตด้วยตัวตนอื่นสักพักจนกว่าเรื่องราวจะซาลง!จิตใจไคลน์เริ่มกลับมาเยือกเย็น…ท้องฟ้ายามเย็นถึงหัวค่ำของเบ็คลันด์มักมีสีดำสนิทและฝนตกปรอยเสมอ ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งจับปีกหมวก สองเท้าก้าวฝ่าสายฝนไปบนถนนมินส์อันเปียกแฉะ อาศัยแสงสว่างจากเสาตะเกียงริมถนน มันส่งตัวเองมาถึงอาคารหมายเลข 15 ได้ไม่ยากเย็นหลังจากนั่งผ่อนคลายสักพัก ท่ามกลางบรรยากาศอันมืดมิด ไคลน์เดินทวนเข็มสี่ก้าวและเข้าไปยังห้วงมิติสายเหนือหมอกเมื่อกลายเป็นลำดับ 6 มันต้องการตรวจสอบมาตลอดว่า มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับห้วงมิติเหนือสายหมอกเทาหรือไม่ แต่เป็นเพราะเมื่อคืนเหน็ดเหนื่อยเกินไป และนอนไม่ตื่นจนถึงเช้า แถมตอนกลางวันยังต้อง ‘ทำตัวขยัน’ ต่อหน้าเหล่าสายลับในเงามืด โอกาสตรวจสอบห้วงมิติเหนือสายหมอกจึงล่วงเลยมาจนปัจจุบันยิ่งไปกว่านั้น ไคลน์มีบางสิ่งต้องการทำนายตรวจสอบเป็นพิเศษ และนั่นอาจใช้เวลานาน การแวะเข้าห้องจึงไม่เพียงพอความคาใจของมันคือ หลังจากเลื่อนเป็นลำดับ 6 และพลังวิญญาณยังไม่สงบนิ่ง ทำไมตนถึงไม่ได้เสียงเพรียก ‘โฮนาซิส… เฟรเกีย…’ เหมือนกับการเลื่อนลำดับสามครั้งก่อนหน้า!มันต้องการทราบให้ได้ว่า เรื่องนี้เป็นผลพวงมาจากพลังของลำดับ 6 หรือเกิดจากสาเหตุอื่นกันแน่ท่ามกลางพระราชวังโบราณ โต๊ะทองแดงเก่าแก่และเก้าอี้ยี่สิบสองตัว ยังคงถูกวางอย่างสงบนิ่งภายในห้วงมิติไร้ขอบเขต ราวกับพวกมันคงอยู่มานานนับหมื่นปีโดยไม่เปลี่ยนสภาพเช่นเดียวกันกับสายหมอกสีเทาใต้ฝ่าเท้า และเช่นเดียวกันห้วงมิติไร้ขอบเขตรอบตัวทันใดนั้น เมื่อจิตไคลน์ถูกส่งเข้ามาด้านใน มันพลันตระหนักทันทีว่า มีบางสิ่งในห้วงมิติเหนือสายหมอกเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยชายหนุ่มไม่รีบร้อนสำรวจ เพียงสงบสติตัวเองให้เยือกเย็น ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เดอะฟูล มือขวาตวัดเสกกระดาษและปากกาหมึกซึมขึ้นมาเขียนคำทำนาย :“เหตุผลของการไม่ได้ยินเสียเพรียกหลังจากเลื่อนลำดับ”สองมือถือเศษกระดาษ ไคลน์เอนกายพิงเก้าอี้พร้อมกับหลับตาลง สะกดจิตส่งตัวเองเข้าสู่โลกความฝันด้วยการเข้าฌานท่ามกลางโลกสีเหลืองอมแดงคล้ายยามตะวันตกดิน ฉากแล้วฉากเล่ากะพริบเปลี่ยนผันต่อหน้าไคลน์ จนกระทั่งหยุดลงบนฉากหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญบุคคลในฉากคือตัวไคลน์เอง ผิวหนังทุกซอกมุมกำลังถูกปกคลุมด้วยก้อนเนื้อจำนวนมากอย่างเบียดเสียด ลักษณะเป็นเม็ดกลมเล็ก สีซีดจาง ขณะเดียวกัน รอบตัวยังมีหมอกมายาสีเทาโปร่งใส รายล้อมอย่างเจือจางจนยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่าความฝันพลันแตกละเอียด ไคลน์ลืมตาขึ้นและพยายามตีความพลังหมอกสีเทาเริ่มส่งกับตัวเราบนโลกจริง และช่วยปิดกั้นเสียงเพรียกไม่พึงประสงค์ได้…หลังจากกลายเป็นลำดับ 6 สายสัมพันธ์ระหว่างเรากับมิติสายหมอกแน่นแฟ้นขึ้น ถึงขั้นยอมให้เรายืมพลังบางส่วนมาใช้บนโลกความจริง?ไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้อีก…ดีล่ะ! ต้องลองสำรวจจนกว่าจะทราบว่า ห้วงมิติแห่งนี้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปบ้าง…ไคลน์ลุกยืนอย่างไม่รีบร้อน สองขาก้าวเดินตามการนำทางของสัมผัสวิญญาณ ใต้ฝ่าเท้ายังคงเป็นทะเลหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งและขอบเขตผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ สัญชาตญาณเริ่มเตือนไคลน์ว่าควรหยุดเดิน ทันใดนั้น ปลายทางข้างหน้าพลันส่องแสงสุกใสอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าราวเจ็ดแปดวินาทีถัดมา มันได้พบขั้นบันไดขนาดมหึมา ประหนึ่งกำลังนำพาไปสู่สรวงสวรรค์ก็มิปาน!ขั้นบันไดก่อตัวขึ้นจากแสงบริสุทธิ์ ลักษณะโปร่งใสไร้มลทิน ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องทึ่งในความงามขั้นบันไดมีเพียงสี่ในปัจจุบัน ปลายทางด้านบนเป็นความว่างเปล่าขั้นบันไดมีขนาดใหญ่โต ใหญ่เสียจน แม้แต่คนยักษ์ก็ยากจะเหยียดขาก้าวเดินได้ตามปรกติ ประหนึ่งสร้างไว้รองรับสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมายิ่งกว่านั้นไคลน์เงยหน้ามอง และพบว่าข้างบนมีม่านหมอกสีเทาหนาทึบกำลังลอยค้างกลางอากาศ ราวกับกำลังค้ำจุนบางสิ่งไว้ ระยะห่างระหว่างม่านหมอกด้านบนกับขั้นบันได ยังเหลืออีกมากพอสมควรหรือว่า… สี่ขั้นบันไดจะหมายถึงโอสถแต่ละลำดับ 9 8 7 6…?เหนือม่านหมอกขึ้นไป ข้างบนมีสิ่งใดอยู่?ไคลน์เดินเข้าไปใกล้กับบันไดแสง ขาข้างหนึ่งทดสอบเหยียบลงไปอย่างทุลักทุเลไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเกี่ยวกับขั้นบันได คล้ายกับกำลังเหยียบบันไดหินธรรมดาไคลน์เดินขึ้นไปจนถึงขั้น 4 ศีรษะแหงนมองและพยายามสอดส่อง แต่น่าเสียดาย หมอกสีเทาหนาทึบเกินว่าจะมองทะลุผ่านมันยืนครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะตัดสินใจวิ่งกระโดด และพยายามใช้แขนเอื้อมให้ถึงม่านหมอกเหนือศีรษะอย่างสุดความสามารถแต่ในวินาทีฝ่าเท้าลอยออกจากขั้นบันได ความสามารถในการบินของร่างวิญญาณพลันถูกลิดรอน ชายหนุ่มล้มไม่เป็นท่าและลงไปกลิ้งหัวคะมำบนพื้นสายหมอกสงสัยต้องรอให้มีบันไดอีกสามขั้น เมื่อถึงลำดับ 4 เมื่อใด พลังวิญญาณของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตอนนั้นคงได้พบเบาะแสมากกว่าเดิม…ไคลน์เงยหน้ามองพลางตรึกตรองลำพัง……………………
คอมเม้นต์