ราชันเร้นลับ 412 : จดหมาย
เมื่อตระหนักว่าเจ้าของสุนัขปีศาจอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไคลน์ตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นการเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับไอเซนการ์ดอย่างละเอียดชายหนุ่มเริ่มเกริ่นตั้งแต่ ยอดนักสืบไอเซนการ์ดทำการรวบรวมกลุ่มนักสืบขึ้นมาช่วยกันไขปริศนาคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง ความสำเร็จของทุกคน และการแจกจ่ายเงินรางวัล“ในคดีดังกล่าว งานของผมคือการเสนอแนวคิดเพียงเล็กน้อย… เป็นผู้ให้คำปรึกษาเบื้องหลังมากกว่าลงภาคสนาม แต่ในสายตามิสเตอร์สแตนธอน ผลงานของผลมีส่วนสำคัญในการปิดคดี จึงได้รับเงินส่วนแบ่งค่าหัวเป็นจำนวนมาก” ไคลน์ร่ายยาวพนักงานสอบสวนคนหนึ่งก้มหน้าจดบันทึกคำให้การ ส่วนอีกคนซักถามว่า มีใครสามารถเป็นพยานได้บ้าง ไคลน์จึงเอ่ยชื่อสจ๊วต คาสลาน่า และนักสืบเอกชนคนอื่น“ไม่เลว นักสืบโมเรียตี้ คำให้การของคุณเป็นประโยชน์มาก” ตำรวจคนหนึ่งหยุดเขียนและเงยหน้า “คำถามถัดไป คุณใช้เวลาอยู่ในบ้านมิสเตอร์สแตนธอนนานกี่นาที ผมหมายถึง นับตั้งแต่เริ่มเข้าไปในบ้าน จนกระทั่งตำรวจเปิดประตูเข้าไปพบคุณ”ไคลน์ก้มหน้านึก และมอบคำตอบโดยไม่ปรึกษานักกฎหมายเยอร์เก้นด้านข้าง“ราวสองสามนาที”มันกะเกณฑ์เอาจากความรู้สึกตำรวจอีกคนพลันขมวดคิ้ว“ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุณเข้าไปในบ้านมิสเตอร์ไอเซนการ์ดเวลา 14.10 น. และหน่วยของพวกเราไปถึงเวลา 14.28 น. หมายความว่าคุณอยู่ในบ้านหลังนั้นนานสิบแปดนาทีเต็ม! ไม่ใช่สองหรือสามนาที! ด้วยเวลานานขนาดนั้น คุณมัวทำอะไรอยู่กันแน่? ทำไมถึงไม่รีบหนีออกจากบ้านและเรียกตำรวจ”สิบแปดนาที…? ไคลน์ขมวดคิ้วบ้างมันค่อนข้างมั่นใจว่า ขณะกำลังยืนคุมเชิงจากสายตาอาฆาตซึ่งกำลังจดจ้อง กระแสเวลาน่าจะไหลผ่านไปเพียงหนึ่งนาทีหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นสิบแปดนาทีไปได้?เป็นเพราะความกดดัน เราจึงรับรู้เวลาผิดปรกติ? หรือเกิดจากพลังพิเศษของอีกฝ่าย?หืม… เจ้าของสุนัขตัวนั้นต้องมีลำดับ 6 เป็นอย่างต่ำ โดยมีโอกาสเป็นลำดับ 5 ค่อนข้างมาก…ขณะไคลน์กังวลเรื่องอื่น เยอร์เก้นเอนตัวไปด้านหน้า เตรียมตำหนิเจ้าพนักงานสอบปากคำในเรื่อง พวกมันใช้คำถามชักจูงให้ผู้ต้องสงสัยเกิดความไขว้เขวจริงอยู่ ตำรวจมีสิทธิ์ถาม และข้อโต้แย้งของเยอร์เก้นฟังไม่ขึ้น แต่นักกฎหมายหนุ่มหวังทำไปเพื่อให้ตำรวจลดความแข็งกร้าวลง รวมถึงลดความกดดันฝั่งลูกค้าตนทันใดนั้น ไคลน์เลื่อนมือขึ้นมาลูบหน้าผาก“ผมพูดความจริง… กะเกณฑ์เอาจากความรู้สึกส่วนตัว ผมเข้าไปในบ้านมิสเตอร์สแตนธอนไม่เกินสามนาทีแน่นอน”เมื่อพูดจบ มันเน้นย้ำ“หรืออย่างน้อย ผมก็รู้สึกแบบนั้น”ตำรวจมองหน้ากันเล็กน้อย คนหนึ่งก้มลงไปจดบันทึกความเงียบงันครอบงำสักพัก จนกระทั่งตำรวจอีกคนเริ่มซักถามต่อ“ในช่วงสิบแปดนาทีดังกล่าว คนรับใช้ได้กลับจากการแวะออกไปข้างนอก เขาเล่าว่าตัวเองสั่นกริ่งบ้านหลายหน แต่ไม่มีการตอบสนอง จึงมองเข้าไปทางมุขหน้าต่าง และได้เศษเนื้อกระจัดกระจายเต็มพื้น เลือดสีแดงเจิ่งนอง รวมถึงตัวคุณซึ่งกำลังยืนนิ่งบนทางเดินระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องรับแขก เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก รีบวิ่งแจ้นมายังสถานีตำรวจราวกับคนบ้า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงล้วนให้การตรงกัน”ไคลน์เมินเฉยสายตาคัดค้านของเยอร์เก้น ชายหนุ่มส่ายศีรษะปฏิเสธหนักแน่น“ผมไม่ได้ยินเสียงกริ่ง”เจ้าพนักงานทั้งสองหันมองตากันอีกครั้ง แต่ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด เพียงก้มหน้าจดบันทึกอย่างละเอียดถัดมา พวกมันคอยยิงคำถามให้สอดคล้องกับรูปคดี โดยทางไคลน์ ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องและมิได้ก่อความผิดใดเลย ตอบทั้งหมดกลับไปตามความเป็นจริงและในตอนสุดท้าย มันตัดสินใจถามกลับ“ทางตำรวจพบตัวนักสืบไอเซนการ์ดไหม? ในห้องไม่มีศพใครเลย ผมสันนิษฐานว่าเขาน่าจะยังมีชีวิตรอด… คิดว่านะ”ตำรวจคนหนึ่งใช้ปากกาเคาะโต๊ะเป็นจังหวะแผ่วเบา ก่อนจะยอมเปิดเผยรายละเอียดของคดี“พวกเราเองก็กำลังหาคำตอบในเรื่องนี้เช่นกัน ภายในบ้านหลังนั้น นอกจากห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ ก็ไม่จุดใดปรากฏร่องรอยการต่อสู้อีก หน้าต่างถูกปิดตาย ไม่มีการงัดแงะหรือถูกใช้งานเป็นเวลานาน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร เพราะทุกบ้านในเบ็คลันด์ล้วนมีสภาพหน้าต่างเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด โดยเฉพาะฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ผู้โจมตีและมิสเตอร์ไอเซนการ์ดได้หายตัวไปจากบ้านอย่างเป็นปริศนา พวกเราไม่พบเบาะแสใดในบ้านและละแวกใกล้เคียง แม้แต่เลือดสักหยดก็ไม่มีปรากฏ”โดยไม่รอให้ไคลน์ถาม พนักงานสอบสวนตั้งคำถามแทนและตอบด้วยตัวเอง“คุณคงกำลังสงสัยว่า ผู้โจมตีอาจนำร่างมิสเตอร์ไอเซนการ์ดออกมาทางประตูห้องนั่งเล่นใช่ไหม? และคงลากออกไปทางประตูหน้าบ้านตามปรกติ แต่ไม่ใช่แบบนั้นแน่ พวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ไม่พบคราบเลือดหรือรอยเท้าแม้แต่จุดเดียวระหว่างทางเดินและบริเวณรอบประตูหน้า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่พบบุคคลต้องสงสัยลักพาตัวประกันหรือศพออกจากบ้านหลังดังกล่าว”คนร้ายอาจลงมือก่อเหตุกลางดึกก็ได้… หรือถ้าไม่ใช่ ทั้งสองก็คงมีพลังในการเคลื่อนย้ายตัวเองผ่านกำแพง…ไคลน์โต้แย้งในใจ ตามด้วยการภาวนาเทพธิดารัตติกาล ได้โปรดช่วยอวยพรให้นักสืบไอเซนการ์ดรอดพ้นจากหายนะตรงหน้าอย่างปลอดภัย…พระองค์คือจักรพรรดินีแห่งหายนะ มีพลังอยู่ในขอบเขตดังกล่าว…เมื่อการสอบปากคำจบลง ไคลน์ถูกคุมตัวไว้ในห้องแคบแห่งหนึ่ง ส่วนเยอร์เก้นต้องกลับไปยัง 15 ถนนมินส์พร้อมกับตำรวจเพื่อค้นหาจดหมายของไอเซนการ์ดกว่าไคลน์จะได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเย็น โดยชายหนุ่มต้องยอมจ่ายมากถึงห้าสิบปอนด์เพื่อแลกกับอิสรภาพ“แพงกว่าคราวก่อนตั้งหลายเท่า ผมไม่คิดว่านักสืบเอกชนทั่วไปจะสามารถหาเงินก้อนใหญ่เช่นนี้มาประกันตัวเองได้ทันหรอกนะ”ขณะเดินออกจากสถานีตำรวจซีซาร์ ไคลน์จัดแต่งปกเสื้อโค้ทพลางบ่นกับเยอร์เก้นอย่างหัวเสียเยอร์เก้นยังคงสวมสีหน้าขึงขังและเอาจริงเอาจังเหมือนเคย“สำหรับคราวก่อน สภาพแวดล้อมค่อนข้างเป็นใจให้คุณ แต่ในกรณีนี้ หลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าคุณคือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างจนปัญญาจะปฏิเสธ”นักกฎหมายหนุ่มหยุดยืนหน้ารถม้าเช่า หันกลับมาจ้องไคลน์และกล่าวเสียงขรึม“เชอร์ล็อก ผมเป็นนักกฎหมายประจำตัวคุณ ก่อนจะตอบคำถามกับตำรวจ คุณควรปรึกษาผมก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรสังเกตแววตากันบ้าง การตอบคำถามโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบคอบ ถึงจะฟังดูไม่มีปัญหา แต่ในบางครั้งอาจกลายเป็นหลักฐานมัดตัวได้”สหาย… คุณอาจไม่ทราบ แต่ผมสามารถโกหกคำเว้นคำ และตีหน้าซื่อได้เก่งฉกาจชนิดเกินความคาดหมายคุณไปมาก…ไคลน์นึกทบทวนการสอบปากคำเมื่อครู่ ตามด้วยการหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย“ตกลง คราวหน้าผมจะระวัง”โดยไม่มีใครกล่าวสิ่งใดเพิ่ม เยอร์เก้นเดินขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารรถม้า ไคลน์ตามเข้าไป นั่งลงฝั่งตรงข้าม และเอาแต่ไตร่ตรองเหตุการณ์ไอเซนการ์ด·สแตนธอนถูกบุกทำร้ายถึงบ้านตลอดทางขณะกำลังใช้ความคิด ท้องไส้ไคลน์พลันโครกครากโครมครามเลยเวลาอาหารเย็นของเรามาแล้ว…ชายหนุ่มรีบหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบมันไม่อยากเสียเวลาและพลังงานไปกับการประกอบอาหาร จึงเริ่มมองหาภัตตาคารสำหรับเติมเต็มความหิวโหยทันใดนั้น เยอร์เก้นลืมตาขึ้นและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ“ผมบอกให้คุณย่าเตรียมอาหารเย็นไว้สำหรับสามคน”“แล้วใครจะปฏิเสธลง” ไคลน์ฉีกยิ้มกว้าง “อาหารรสมือคุณนายดอริสยอดเยี่ยมเสมอ”…เมื่อกลับมาถึงถนนมินส์ในเขตเชอร์วู้ด ท้องฟ้าด้านบนกลายเป็นสีคล้ำเกือบดำสนิท แสงจากเสาตะเกียงริมถนนกำลังสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจันทร์แดงนวลยามค่ำคืนหลังจากรับประทานอาหารค่ำในบ้านเยอร์เก้นและเล่นกับแมวจนหนำใจ ไคลน์เดินเท้ากลับมายังอาคารหมายเลข 15 ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บตามนิสัยเดิม ชายหนุ่มรื้อกล่องจดหมายหน้าบ้าน และหยิบหนังสือพิมพ์เบ็คลันด์ภาคค่ำซึ่งเพิ่งมาส่ง ติดมือกลับออกมาในสภาพมือซ้ายถือไม้ค้ำ มือขวาถือหนังสือพิมพ์ มันใช้มือขวาหมุนลูกบิดประตูบ้านเข้าไป ขณะเตรียมวางไม้ค้ำพิงราวแขวน ไคลน์พลันตระหนักถึงความผิดปรกติสัมผัสวิญญาณของนักทำนายกำลังร้องเตือนว่า ใครบางคนได้ถือวิสาสะลอบเข้ามาในบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต!หมายถึงตำรวจกับเยอร์เก้นเมื่อช่วงเย็น?ไคลน์กวาดสายตามองหนึ่งรอบ และพบจดหมายฉบับหนึ่งบนโต๊ะกาแฟตามปรกติแล้ว บนโต๊ะกาแฟควรมีเพียงกองหนังสือพิมพ์เท่านั้น!ชายหนุ่มย่างกรายเข้าไปในห้องนั่งเล่นอย่างระมัดระวัง สติเตรียมรับมือการซุ่มโจมตีทุกรูปแบบ มันบรรจงย่างกรายเข้าใกล้โต๊ะกาแฟทีละนิด ตลอดระยะเวลาดังกล่าว บรรยากาศรอบบ้านยังคงเงียบงัน ปราศจากความผิดปรกติโดยสิ้นเชิงสายตาชำเลืองซองจดหมายเล็กน้อย ตามด้วยการนำถุงมือสีดำออกมาสวม จึงค่อยเลื่อนลงไปหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดภายในซองมีกระดาษแผ่นเล็กถูกพับอย่างเรียบร้อย และเมื่อคลี่ออกมา กลิ่นฉุนกึกพลันกระทบปลายจมูก ตามด้วยภาพของตัวอักษรสีแดงเข้มขยุกขยิกเนื้อหาด้านในถูกเขียนด้วยเลือดแห้ง :“พวกแกทุกคนต้องตาย!”นี่มัน… ลายมือเจ้าของสุนัขปีศาจตัวนั้น? มันกำลังตามแก้แค้นกลุ่มคนผู้ทำให้บริวารของมันเสียชีวิต?ไอ้ขี้ขลาด… เก่งแต่กับคนอ่อนแอหรือไง… ทำไมถึงไม่ไปลงมือกับเหยี่ยวราตรี? คนกลุ่มนั้นต่างหากเป็นผู้สังหารสุนัขปีศาจ!ไคลน์เริ่มเคร่งเครียด สมองกำลังประมวลผลหลายสิ่งพร้อมกันเพียงไม่นาน มันเลิกตัดพ้อถึงความขี้ขลาดของอีกฝ่าย เพราะเมื่อไตร่ตรองดูให้ดี พฤติกรรมของตนก็ไม่ต่างจากเจ้าของสุนัขปีศาจสักเท่าไรหลังจากย้ายมาอยู่เบ็คลันด์ ไคลน์เลือกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอินซ์·แซงวิลล์ผู้เป็นต้นเหตุความตายของตนและดันน์ แต่เลือกมุ่งเป้าการแก้แค้นไปยังลาเนวุสแทนชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบตัวอีกครั้งอย่างหวาดระแวง และพบว่าสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลอีกฝ่ายไม่เกรงกลัวหน่วยพิเศษของทางการเลยหรือ? ถึงได้กล้าใช้วิธีโฉ่งฉ่างเช่นนี้ในการสะสางความแค้น… บางที นี่อาจเป็นเงื่อนไขสำคัญในเทคนิคสวมบทบาทของมัน…หรืออีกหนึ่งความเป็นไปได้ นักสืบไอเซนการ์ดอาจหนีพ้นจากเงื้อมมือของมันแล้ว อีกฝ่ายจึงต้องเปลี่ยนวิธีการตามล่า… แต่วิธีเช่นนี้ช่วยให้ตามแก้แค้นง่ายขึ้นตรงไหน?ไม่เพียงเท่านั้น ขณะอยู่ในบ้านนักสืบไอเซนการ์ด มันมีโอกาสมากมายในการฆ่านักสืบเอกชนธรรมดาอย่างเรา… แล้วทำไมถึงไม่ยอมลงมือ?หรือว่า… มันจะทราบว่าเราเป็นผู้วิเศษ…เป็นไปได้… จากเหตุการณ์ในคราวก่อน เราเกิดหลงทางเพราะผลข้างเคียงของมาสเตอร์คีย์ จึงไปโผล่ในจุดฆาตกรรมของสุนัขปีศาจเข้าพอดี… บางที ผู้เป็นเจ้านายอาจมองเห็นภาพร่วมกับสัตว์เลี้ยง จึงจดจำลักษณะทางกายภาพของเราได้บางส่วน…ถึงเราจะปลอมตัวอยู่ แต่ห้ามประมาทพลังการจำแนกของปีศาจเด็ดขาด…แต่ในเหตุการณ์ข้างต้น เราเอาแต่หนีหัวซุกหัวซุนไม่ใช่หรือ? สู้ไม่ได้แม้กระทั่งสุนัขปีศาจซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยง แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับเจ้าของผู้มีลำดับสูงกว่า…ถ้าอย่างนั้น มันกลัวอะไรเรา? หรือกังวลว่าไอเซนการ์ดอาจยังซ่อนตัวในละแวกใกล้เคียง และโผล่ออกมาช่วยเราทันเวลา?แล้วทำไมมันถึงกล้าเขียนจดหมายข่มขู่อย่างเอิกเกริกเช่นนี้? คิดว่าผู้วิเศษนอกกฎหมายจะไม่กล้าแจ้งตำรวจเลยหรือ?ขณะสมองไคลน์เต็มไปด้วยคำถาม ชายหนุ่มย่างกรายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านอย่างระมัดระวังเมื่อเปิดห้องนอน มันพบจดหมายอีกฉบับซองสีขาวถูกวางบนโต๊ะอย่างเงียบงัน ราวกับกำลังรอให้ไคลน์หยิบขึ้นมาอ่านชายหนุ่มกระทำเช่นเดิม เดินเข้าไปใกล้ ใช้ถุงมือดำแกะซอง และคลี่กระดาษด้านในอย่างระมัดระวัง เนื้อความเขียนไว้ด้วยอักษรเลือดแห้งกรังว่า :“แกคือรายต่อไป!”รายต่อไป… โอหังชะมัด… ไคลน์ส่ายหัวทันใดนั้น คล้ายกับมีบางสิ่งดลใจ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่างฝั่งตรงข้ามเป็นบ้านสองชั้น บรรยากาศกำลังสว่างไสวแสงจากเสาตะเกียงบนถนนฝั่งบ้านไคลน์ ได้ส่องสว่างจนฉาบกำแพงด้านนอกของบ้านฝั่งตรงข้ามจนมีสีเหลืองนวลทันใดนั้น เงาดำบนหลังคาเริ่มกระเพื่อมยุบพอง บิดเป็นเกลียว และก่อตัวเป็นเงามนุษย์สีดำสนิท แต่งกายคล้ายกำลังสวมโค้ทหางยาวเงาดำทำมือเป็นรูปปืน เล็งมาทางไคลน์ก่อนจะกระตุกข้อมือเล็กน้อย เชิงว่าทำท่ายิงใส่ จึงค่อยชักมือกลับไปและแสร้งเป่า ‘ปากกระบอก’เพียงพริบตา เงาดำพลันกระจัดกระจายและเลือนหายไปพร้อมกับความเงียบงัน……………………
คอมเม้นต์