ตอนที่ 1358

อ่านนิยายจีนเรื่อง A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน ตอนที่ 1358 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

 
ลำแสงสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากป่า ด้านในมีสำเภายาวยี่สิบจั้งเศษรางๆ อยู่ลำหนึ่ง
 
สำเภาลำนี้แบ่งออกเป็นสองชั้น ตัวสำเภาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหลอมขึ้นจากหยกงาม ผิวของสำเภาสลักลวดลายโบราณที่ดูเหมือนเมฆหมอกเอาไว้ ตัวอักษรสีทองและเงินสองสีเปล่งแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าน่าเกรงขามไม่ธรรมดา
 
สำเภาหยกสั่นคลอนฉับพลันนั้นตัวอักษรสีทองและเงินพลันระเบิดออก ชัวร์คู่ก็กลายเป็นเมฆสีขาวผืนหนึ่งห่อหุ้มสำเภาลำนั้นเอาไว้ข้างใน กลายเป็นเมฆก้อนยักษ์ที่ดูธรรมดาสามัญก้อนหนึ่ง
 
จากนั้นเมฆก้อนยักษ์พลันหมุนโคจรรอบหนึ่ง แล้วพุ่งออกไปอย่างเงียบเชียบ
 
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
 
เมฆก้อนนั้นดูบางเบา ดูเหมือนจะบินอย่างเชื่องช้า แต่ชั่วพริบตาก็อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง เหมือนว่าความเร็วจะไม่ต่างอะไรกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเท่าใดนัก
 
“ไม่เลว คู่ควรกับตระกูลหล่งที่เป็นผู้ควบคุมงานประมูล แม้แต่สำเภาวิญญาณที่เหมาะสมกับการเดินทางระยะไกลก็ยังมี ถึงแม้ว่าสำเภาเมฆาวิญญาณจะไม่นับว่าหายากอะไรนัก แต่ความเร็วขนาดนี้ เกรงว่าคงเป็นของระดับสุดยอดสินะ” เสี่ยวหงยืนอยู่บนหัวเรือ กวาดตามองทุกอย่าง แล้วเอ่ยชื่นชมออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ
 
“หึๆ เซียนเสี่ยวชมเกินไปแล้ว เผ่าของข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดเผ่ามหาปีศาจ สมบัติอะไรบ้างที่ไม่เคยพบเห็น สำเภาวิญญาณลำนี้แค่มีความเร็วพอได้เท่านั้น ทว่าที่ว่างของสำเภาลำนี้นับว่ากว้างใหญ่จริงๆ มีห้องทำสมาธิอยู่สิบกว่าห้อง นอกจากต้องให้คนคนหนึ่งมาคอยตรวจตราภายนอกแล้ว คนที่เหลือก็สามารถพักผ่อนในห้องทำสมาธิได้ หากทุกอย่างราบรื่นล่ะก็ เวลาครึ่งปีก็ไม่ถือว่านานนักสำหรับพวกเรา บางทุกฝึกฝนเพียงครั้งหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว” หล่งตงเอ่ยอย่างมีมารยาท
 
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราเข้าเวรคนละสิบวัน ส่วนที่เหลือก็ตามอัธยาศัย ก่อนอื่นเลือกห้องทำสมาธิของตนเองก่อนเถิด” สตรีพยักหน้า
 
เมื่อได้ฟังคำพูดของทั้งสองคน แน่นอนว่าหานลี่และพวกไม่ได้มีท่าทีคัดค้าน ฉับพลันนั้นทุกคนก็เลือกห้องที่ตนเองพอใจมาหนึ่งห้อง แน่นอนว่าในเมื่อเป็นที่พักผ่อนของตนเอง จึงพากันวางเขตอาคมลงในห้อง เพื่อมิให้ถูกผู้อื่นแอบดูอะไร
 
จากนั้นทั้งห้าคนก็ปรึกษากันอีกเล็กน้อย แล้วเริ่มจัดลำดับการเข้าเวร
 
จะว่าไปแล้วก็บังเอิญมาก หานลี่ถูกจัดอยู่ในลำดับสุดท้ายพอดี และกว่าจะถึงเวรเขา ก็ยังเหลือเวลาอีกสี่สิบวัน
 
รอจนจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หานลี่ก็ไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นอีก ตรงเข้าไปในห้องทำสมาธิของตนเอง แล้วเปิดเขตอาคม
 
สตรีชุดดำและพวกเองก็ไม่ต่างกันมากนัก
 
นอกจากหล่งตงที่เข้าเวรแล้ว ผู้ที่เหลือก็เข้ามาในห้องของตนเองในทันใด
 
หล่งตงเห็นสถานการณ์เช่นนั้น มุมปากก็กระตุกเล็กน้อย แล้วมาอยู่ที่หัวเรืออีกครั้ง พลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ฟูกสีเขียวมรกตปรากฏขึ้น
 
วางลงบนพื้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น
 
“หึ ครึ่งปี…อยากให้ถึงไวๆ จัง” ชายหนุ่มไฝแดงริมฝีปากขยับสองสามครั้ง ใช้เสียงที่แผ่วเบาเอ่ยพึมพำกับตนเอง แล้วหลับตาลงอย่างช้าๆ แต่รอยยิ้มประหลาดๆ บนใบหน้ากลับประดับอยู่นานไม่คลายไป
 
ห้องทำสมาธิในสำเภาหยกห้องหนึ่งมีขนาดสองสามจั้ง เสี่ยวหงและชายหนุ่มคิ้วขาวนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง
 
“อันใด เจ้าหมายถึงแม่หนูที่ชื่อเยี่ยอิ่งคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเผ่าหงส์สวรรค์ และเป็นศิษย์ของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้หรือ” ชายหนุ่มคิ้วขาวดูเหมือนว่าได้ยินสตรีเอ่ยเรื่องที่น่าตกใจออกมา สีหน้าตะลึงพรึงเพริด
 
“เหตุใดสหายหลี่ต้องตกใจขนาดนั้น? เผ่าอินทรีทมิฬของพวกเราก็นับว่าเป็นเผ่าวิหคสวรรค์ที่หายาก ข้าไม่เชื่อว่าจะสัมผัสโลหิตเผ่าหงส์สวรรค์บนตัวแม่หนูนั่นไม่ได้ ส่วนเผ่าหงส์ทมิฬของพวกเรานั้นถึงแม้ว่าจะเป็นเผ่าปลีกย่อยของเผ่าหงส์ แต่เลือดบริสุทธิ์ของเผ่าหงส์สวรรค์นั้น ยังไม่อาจเทียบเทียมกับแม่หนูนั่นได้ ทว่าโลหิตหงส์สวรรค์ที่สัมผัสได้บนตัวของสตรีผู้นั้น กลับไม่ต้องสงสัยเลย ไม่มีทางผิดพลาดแน่” เสี่ยวหงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
 
“เช่นนี้นี่เอง! ข้าก็ว่าเหตุใดที่พบสตรีผู้นี้ ถึงรู้สึกจิตใจกระสับกระส่าย รู้สึกหวาดกลัวอยู่หลายส่วน ตอนที่อยู่ในป่า ข้าก็นึกว่ารู้สึกไปเองเสียอีก แต่เซียนเสี่ยวกล่าวเช่นนี้กับผู้แซ่หลี่ หรือว่ามีแผนอะไรงั้นหรือ?” ชายหนุ่มคิ้วขาวพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ใบหน้ากลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
 
“ไม่มีอะไร หากสตรีผู้นั้นมีโลหิตวิญญาณเที่ยงแท้เผ่าอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ดันเป็นโลหิตของหงส์สวรรค์ที่เลื่องชื่อว่าเป็นราชันย์หมื่นวิหค นั่นหมายถึงอะไร พี่หลี่คงเข้าใจสินะ” สตรีฉีกยิ้มเบิกบาน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเย็นชา
 
“หึ ข้าต้องเข้าใจความหมายของเจ้าอยู่แล้ว แต่อย่าลืมภารกิจที่อาวุโสในเผ่ามอบให้และความสำคัญของภารกิจครั้งนี้ที่มีต่อเผ่าปีศาจของพวกเราล่ะ หากล้มเหลวด้วยเรื่องส่วนตัว ต่อให้พวกเราสองคนได้โลหิตของหงส์สวรรค์ ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้” ชายหนุ่มคิ้วขาวขบคิดเล็กน้อย แล้วถึงได้ฉีกยิ้มเย็นชาออกมา
 
“จุ๊ๆ! น้องหญิงพูดตอนไหนว่าจะลงมือก่อนถึงที่หมาย แน่นอนว่าต้องทำภารกิจครั้งนี้ให้สำเร็จก่อน แต่หลังจากสำเร็จแล้ว พวกเราค่อยลงมือก็ไม่สาย” เสี่ยวหงเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มบางๆ
 
“ลงมือหลังเสร็จภารกิจ? อืม หากไม่กระทบต่อภารกิจ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่สองคนที่เหลือจะลงมือช่วยนางหรือไม่ ต่อให้ได้โลหิตของเผ่าหงส์สวรรค์มาจริงๆ เราสองคนจะแบ่งกันอย่างไร โลหิตนี้ไม่อาจแบ่งออกเป็นสองส่วนได้” ชายหนุ่มคิ้วขาวดวงตาเปล่งประกาย ขบคิดเล็กน้อยแล้วสั่นศีรษะ
 
“ถึงแม้ว่าโลหิตของเผ่าหงส์สวรรค์จะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าเช่นกัน แต่จะมีประโยชน์ต่อเผ่าหงส์ทมิฬของพวกเรามากกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอแค่พี่หลี่ช่วยข้านำโลหิตวิญญาณมา ข้ายอมใช้ยาลูกกลอนไฟกัลป์สามเม็ดเป็นการตอบแทน ส่วนคนที่เหลือทั้งสอง ข้าจะหาวิธีสลัดพวกเขาออก และยิ่งไปกว่านั้นป่าหินดำอันตรายขนาดไหน พวกเราจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก” สตรีกัดฟันเล็กน้อย และเอ่ยเงื่อนไขที่น่าตกตะลึงออกมา
 
“ยาลูกกลอนไฟกัลป์สามเม็ด พูดจริงหรือ?” ชายหนุ่มคิ้วขาวพลันชะงักงัน ทันใดนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา
 
“น้องหญิงนับว่ามีหน้ามีตาในเผ่าหงส์ทมิฬ ถึงแม้ว่ายาลูกกลอนไฟกัลป์สามเม็ดจะมีมูลค่าสูงมากในโลกภายนอก แต่ภายใต้การสะสมมาหลายปีของน้องหญิง ก็หลอมขึ้นมาได้สามเม็ด แต่เดิมคิดจะนำมาใช้กับการทะลวงระดับหลอมสุญตา” สตรีผู้นั้นหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา
 
“ตกลงตามนั้น ขอแค่ภารกิจสำเร็จ ระหว่างทางกลับข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง ทว่า โลหิตวิญญาณเที่ยงแท้นั้นไม่ได้เอามาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะโลหิตของตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ที่สืบทอดกันมาตั้งไม่รู้กี่รุ่น มันแทบจะผสมเข้ากับร่างของคนเผ่านั้นแล้ว ยิ่งยากเข้าไปใหญ่” ชายหนุ่มคิ้วขาวนึกอะไรขึ้นมาได้ พลางขมวดคิ้วขณะเอ่ย
 
“วางใจ บางทีเผ่าหงส์ทมิฬของพวกเราอาจจะจนปัญญากับโลหิตเที่ยงแท้ชนิดอื่น แต่การแยกโลหิตของเผ่าหงส์สวรรค์นั้น ข้าศึกษามาเนิ่นนานแล้ว อย่างน้อยที่สุดข้าก็มั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วน” สตรีผู้นั้นเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง
 
“เซียนมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นก็ดี” ชายหนุ่มคิ้วขาวได้ยินคำนี้ ถึงได้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
 
……
 
อีกห้องหนึ่ง หญิงสาวสวมชุดสีขาวเยี่ยอิ่งกำลังใช้สองมือร่ายอาคม ดวงตาทั้งสองปิดสนิทขณะนั่งสมาธิอยู่บนเตียงหยก ด้านหลังศีรษะมีลำแสงสีเขียวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสอสงามฉื่อลอยอ้อยอิ่งอยู่
 
หากพิจารณาอย่างละเอียด ลำแสงนี้ไม่เพียงจะเป็นทรงกลมที่แปลกประหลาด ตรงขอบยังมีเปลวเพลิงสีขาวความสูงสองสามฉื่อกะพริบระยิบระยับอยู่ และตรงกลางลำแสงคาดไม่ถึงว่าจะมีเงาร่างคนลวงตาสายหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ในนั้น
 
เงาลวงตานี้รูปร่างคล้ายคลึงกับหญิงสาวผู้นี้ แต่แค่ตัวเล็กกว่าสองสามเท่า แต่ก็หลับตาทั้งสองข้างลงเช่นกัน ฝ่ามือกำลังร่ายอาคม
 
ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉับพลันนั้นสตรีผู้นั้นพลันมุมปากกระตุก เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยออกมารางๆ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ใบหน้าของเงาลวงตาในลำแสงก็เผยสีหน้าที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วออกมา ราวกับว่าทั้งสองคือคนเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
 
สถานการณ์เช่นนี้ ช่างแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
 
……
 
หานลี่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำสมาธิของตนเอง สีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตาพลันเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้
 
ที่มุมห้องทำสมาธิ บนโต๊ะหยกตัวหนึ่งกลับมีของสองสิ่งวางอยู่
 
อันหนึ่งคือเสือดาวขนาดเท่าแมวป่า มีขาสี่ขา กำลังหมอบอยู่ตรงนั้น ท่าทางเกียจคร้าน
 
บนหัวที่มีขนปุกปุยของเสือดาว มีวานรขนาดจิ๋วสูงสองสามชุ่นนั่งอยู่ ขนสีดำเปล่งประกายมันวาว ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งมายังหานลี่ ท่าทางกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม
 
ฉับพลันนั้นหานลี่พลันชะงักฝีเท้า พลิกฝ่ามือ ขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งและคัมภีร์สีขาวนวลพลันปรากฏขึ้น
 
บนขวดมีลวดลายโบราณ สลักตัวอักษรโบราณเอาไว้ เมื่อพิจารณาอย่างงละเอียดนั่นก็คือคำว่า ‘ยาลูกกลอนชำระสิ่งโสม’
 
หานลี่ใช้นิ้วลูบไปบนขวดนั้นชั่วครู่ หลังจากถอนหายใจออกมาเบาๆ ลำแสงพลันเปล่งประกาย ขวดยาหายวับไป เหลือเพียงคัมภีร์ม้วนนั้น
 
คัมภีร์นั่นก็คือสิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับที่มาเยี่ยมเยียนทิ้งเอาไว้ ก่อนที่เขาจะออกจากเมืองเทวะสวรรค์
 
หานลี่ควงคัมภีร์เล่นอยู่ชั่วครู่ ฉับพลันนั้นพลันเอาคัมภีร์แตะไปที่หน้าผาก แผ่จิตสัมผัสเข้าไป
 
คาดไม่ถึงว่าในคัมภีร์จะมีแผนที่อันกว้างใหญ่อยู่ แต่แผนที่แผ่นนี้กลับดูเหมือนขาดไปครึ่งหนึ่ง ฝั่งที่ขาดไปของแผนที่ มีลำแสงสีทองจางๆ กะพริบวาบอยู่
 
ถึงแม้จะอ่านไปมากกว่าหนึ่งรอบ หานลี่ก็ยังทนไม่ไหวต้องพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ดูเหมือนว่าจะหาอะไรพบอย่างไรอย่างนั้น
 
……
 
ไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์ไปกี่หมื่นลี้ ภายในห้องลับใต้ดินที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่งและนักพรตรูปหนึ่งกำลังนั่งเผชิญหน้ากันล้อมโต๊ะหินสีเขียวที่ดูธรรมดาๆ ตัวหนึ่งเอาไว้
 
นักพรตอายุประมาณสี่ยสิบกว่าปี คิ้วหนาตาโต ใบหน้าสีทองอ่อน
 
ภิกษุกลับเป็นภิกษุชราที่มีหนวดยาวครึ่งฉื่อสีขาว ผิวมีรอยย่นเป็นชั้นๆ ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลงเป็นเส้นบางๆ ดูเหมือนว่าแก่ชราจนไม่อาจแม้แต่จะเบิกตาให้กว้างได้
 
“นับเวลาดูแล้ว คนของเผ่าต่างๆ ที่ส่งไปก็น่าจะไปรวมตัวกันและอยู่ระหว่างทางแล้วกระมัง” ภิกษุชราเอ่ยอย่างอ่อนแรง
 
“อืม พอสมควรแล้ว ข้าไม่ค่อยเข้าใจเลย เหตุใดหลังจากที่พี่จินเย่ว์ออกจากการกักตน กลับเปลี่ยนแผนอย่างฉับพลัน ต้องให้ชนรุ่นหลังเหล่านั้นไปยังดินแดนของเผ่าประหลาดให้ได้ คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งบินขึ้นมา และมีชื่อเสียงโดดเด่น ผู้อื่นไม่รู้ เจ้าก็น่าจะรู้ การไปนำข่าวกลับมาจากเผ่าประหลาดดูเหมือนจะง่าย แต่ความเป็นจริงแล้วอันตรายมาก ส่วนเผ่าปีศาจนั้นก็ทำเป็นส่งคนมาร่วมมือกับเรา แต่ความจริงแล้วอาจจะมีแผนการอื่นก็ได้” หลังจากที่นักพรตตอบกลับหนึ่งประโยค กลับเผยสีหน้าสงสัยออกมา
 
“ครั้งนี้เหตุใดเผ่าต่างๆ จึงเคลื่อนไหว เจ้าก็น่าจะรู้ดีสินะ” ภิกษุชราไม่ได้ตอบคำถามของนักพรตตรงๆ แต่กลับย้อนถามขึ้นมา
 
“จุดนี้อาตมาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็เพราะสมบัติในคัมภีร์หมื่นวิญญาณโกลาหลอย่างทมิฬสวรรค์ชิ้นนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ไม่ใช่หรือ และยิ่งไปกว่านั้นยังจัดอยู่ในหนึ่งในสามของสมบัติทมิฬสวรรค์ ว่ากันว่าเรียกว่า ‘กระบี่ทมิฬสวรรค์สับวิญญาณ’!” นักพรตได้ฟังคำถามของภิกษุชรา พลันใจหายวาบ สีหน้าอดที่จะเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วนมิได้ 

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด