ตอนที่ 1536 เผ่าเพลิงอาทิตย์
เวลานี้อสรพิษหนุ่มคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปก็ชำแหละปูยักษ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว และทยอยกันใช้หนังอสูรอ่อนนุ่มห่อวัตถุดิบและของที่กินเอาไว้แล้วแบกเอาไว้บนหลัง ของที่ถูกห่อหุ้มอยู่ล้วนมีความสูงมากกว่าสองจั้ง แทบจะมีขนาดมากกว่าร่างของมนุษย์อสรพิษเท่าหนึ่ง แต่แผ่นหลังของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้กลับดูผ่อนคลายไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังวังชาของพวกเขาช่างน่าประหลาดใจยิ่ง เมื่ออสรพิษหญิงทั้งสี่คนแบกหานลี่เดินไปแล้ว ทันใดนั้นชายร่างใหญ่พลันร้องตะโกนเรียก อสรพิษชายเหล่านั้นจึงแบกของเข้ามารวมกลุ่ม คนกลุ่มนั้นจึงเดินออกไปนอกหุบเขา เมื่อเดินมาถึงทางเข้าหุบเขา เบื้องหน้าของหานลี่พลันทอประกาย แล้วถึงได้พบว่าห่างจากทางเข้าหุบเขาไปแค่สองสามลี้ มีคลื่นน้ำสีเขียวมรกต คาดไม่ถึงว่าหุบเขาแห่งนี้จะอยู่ห่างจากชายฝั่งไปแค่คืบ มิน่าเล่าถึงได้มีสัตว์ประหลาดอย่างปูยักษ์เข้ามาในหุบเขา ทว่าเวลานี้ผิวน้ำนั้นเงียบสงบ นอกจากความชื้นและกลิ่นอายความเค็มจากลมทะเลแล้ว ก็ไม่มีคลื่นลูกใหญ่อะไรนัก และด้วยเหตุนี้ยามที่หานลี่อยู่ในหุบเขาจึงไม่ได้ยินเสียงน้ำทะเลกระทบกัน มนุษย์อสรพิษเหล่านั้นแบกหานลี่เดินไปตามชายฝั่ง หลังจากเดินไปชั่วครู่ เส้นทางพลันคดเคี้ยวเป็นอย่างมาก หานลี่พิจารณาไปรอบๆ ด้าน ในใจพลันรู้สึกถึงบางอ้อ ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่ติดทะเลอะไร แต่เป็นเกาะกลางทะเลที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง และเกาะแห่งนี้ก็ไม่ได้กว้างใหญ่นัก เดินไปอีกสิบกว่าลี้ กลุ่มมนุษย์อสรพิษก็มาถึงหน้ากองหินโสโครกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางกองหินโสโครกเหล่านี้มีเรือกระดูกพิสดารบางยาวจอดอยู่เจ็ดแปดลำ นอกจากลำหนึ่งที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นั่งได้สี่ห้าคนแล้ว ที่เหลือมากสุดก็นั่งได้เพียงสองคนเท่านั้น ทั้งสองด้านของเรือกระดูกล้วนเล็กบาง ด้านหนึ่งมีรูปปั้นหัวสัตว์ประหลาดรูปร่างต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ ล้วนถูกแกะสลักขึ้นจากไม้ หานลี่และสตรีอสรพิษสองคนขึ้นไปบนเรือกระดูกลำที่ใหญ่ที่สุด ส่วนคนที่เหลือต่างนั่งอยู่บนเรือลำเล็กๆ ลำอื่น ไม้พายกระดูกที่ติดอยู่บนตัวเรือทยอยกันพาตัวเรือพุ่งตรงไปยังกลางทะเล มนุษย์อสรพิษเหล่านี้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนมีกำลังเหนือมนุษย์ทั่วไป ออกแรงพายเรือไปแทบไม่หยุดพักเลยสักนิด นี่จึงทำให้เรือกระดูกพุ่งผ่านระลอกคลื่นไปราวกับลูกศร ผิวทะเลเงียบสงบเป็นพิเศษ ไม่เห็นจะมีอสูรทะเลอะไรออกมาโจมตีเรือลำเล็ก ผลคือหลังจากผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยาม เบื้องหน้าพลันมีจุดสีดำปรากฏขึ้น เกาะกลางมหาสมุทรอีกเกาะปรากฏขึ้น หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย รูม่านตามีลำแสงสีฟ้าเปล่งประกายอยู่รางๆ มองเห็นสถานการณ์บนเกาะกลางมหาสมุทรนั้นอย่างชัดเจน เกาะแห่งนี้เป็นเกาะขนาดกลางแห่งหนึ่ง น่าจะมีขนาดประมาณสองสามร้อยลี้ ด้านบนมีภูเขาสีเขียวขจีหลายลูกเชื่อมติดกัน ดูเหมือนว่าจะมียอดเขาและต้นไม้อยู่ไม่น้อย ช่างเหมาะกับการอยู่อาศัยเสียจริง ทว่าบนเขายักษ์ที่สูงที่สุดลูกหนึ่ง ยอดเขาเป็นสีแดงระเรื่อ ด้านล่างเป็นสีเทาขาว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นภูเขาไฟแห่งหนึ่ง ส่วนสิ่งอื่นๆ ที่อยู่บนเกาะนั้น เป็นเพราะพลังปราณของหานลี่ยังไม่ฟื้นฟูกลับมา จึงไม่อาจใช้อิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณเพิ่มประสิทธิภาพได้ แน่นอนว่าจึงไม่อาจมองเห็นรายละเอียดอะไรได้ เรือกระดูกเข้าประชิดเกาะตามความแรงของลมทะเลและระลอกคลื่น หลังจากผ่านหนึ่งมื้ออาหารก็อยู่ห่างจากเกาะแห่งนี้ไปไม่ถึงสิบลี้เศษแล้ว และในครานั้นเองท้องฟ้าที่เดิมทีสดใสก็เปลี่ยนไป เมฆทะมึนจำนวนนับไม่ถ้วนแทบจะปรากฏขึ้นในพริบตา จากนั้นพายุเกลียวคลื่นก็ก่อตัวขึ้น ฝนห่าใหญ่โปรยลงมาจากเมฆที่ปกคลุมเหนือศีรษะ บรรยากาศบนผิวน้ำเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ช่างทำให้ผู้คนไม่อยากจะเชื่อเสียจริง! แต่ของเหล่านี้ล้วนไม่อาจสร้างปัญหาอันใดให้กับเรือกระดูกได้ เพราะว่ามนุษย์อสรพิษบนเรือทยอยกันกดจุดต่างๆ ที่นูนขึ้นมาบนเรือกระดูก ชั่วขณะนั้นเขตอาคมขนาดเล็กพลันปรากฏขึ้นที่ท้องเรือกระดูก ม่านลำแสงสีขาวโพลนปรากฏขึ้นมา ปกคลุมเรือกระดูกเหล่านี้เอาไว้ข้างใน แต่สีหน้าของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้กลับไม่ได้ผ่อนคลายลงด้วยเหตุนี้ เป็นเพราะบรรยากาศของผิวน้ำได้เปลี่ยนไปเช่นกัน คลื่นยักษ์สูงใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าก่อตัวขึ้นพร้อมกัน โจมตีมายังเรือลำเล็กอย่างมืดฟ้ามัวดิน เรือลำเล็กเหล่านี้มีความยาวแค่สองสามจั้ง เมื่ออยู่ต่อหน้าคลื่นยักษ์เหล่านี้ก็เป็นเพียงสิ่งกระจิริดเท่านั้น แน่นอนว่าย่อมไม่อาจต้านทานอะไรได้ แต่เป็นเพราะมีลำแสงสีขาวปกป้องอยู่ จึงไม่ได้เกิดเหตุการณ์เรือล่มคร่าชีวิตผู้คนไปในทันที แต่พวกมันที่อยู่ท่ามกลางคลื่นลมทะเลนี้ก็เห็นได้ชัดว่าอันตรายมาก จึงทำได้เพียงยอมไหลไปตามระลอกคลื่น ไม่อาจตรงไปข้างหน้าได้เลยสักนิด หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันตะลึงงัน หลังจากที่สายตากวาดไปยังใบหน้าของสตรีอสรพิษทั้งสองบนเรือแล้วพบว่าแม้ว่าพวกนางจะมีสีหน้าเคร่งขรึม แต่ไม่ได้เผยสีหน้าประหวั่นพรั่งพรึงออกมา ดูแล้วมนุษย์อสรพิษเหล่านี้คงจะมีแผนการรับมืออะไรสักอย่าง เป็นดั่งที่หานลี่คาดการณ์เอาไว้ดังคาด ในยามที่เรือกระดูกเหล่านี้ตกอยู่ในอันตราย ฉับพลันนั้นเกาะกลางทะเลที่อยู่ไม่ไกลนักพลันมีเสาลำแสงสีขาวนวลสายหนึ่งพุ่งออกมา เสาลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเมฆสีดำบริเวณโดยรอบ ชั่วขณะนั้นกลางเมฆสีดำพลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ดวงแสงลูกยักษ์ระเบิดออก ไอคลื่นสีขาวหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะกวาดก้อนเมฆบนท้องฟ้าออกจนกลายเป็นรูยักษ์รัศมีร้อยจั้ง แน่นอนว่าหานลี่ย่อมตกตะลึง อดที่จะมองไปบนเกาะสองสามปราดไม่ได้ แต่ความเร็วของเสาลำแสงเมื่อครู่นั้นรวดเร็วเกินไป และยิ่งไปกว่านั้นเพียงกะพริบวาบ เขาก็มองไม่เห็นแล้วว่าสิ่งที่พุ่งออกจากเกาะนั้นมาจากจุดใด หลังจากทะลวงผ่านรูเมฆดำทะมึนนั้นไป ลมพายุขนาดยักษ์บนผิวน้ำก็อ่อนกำลังลง แม้ไม่อาจสงบนิ่งดุจก่อนหน้า แต่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์อสรพิษเหล่านี้ เรือกระดูกกลับแล่นไปยังเกาะกลางมหาสมุทรอีกครั้ง ครู่ต่อมาเรือกระดูกทั้งหมดพลันมาถึงท่าเรือตามธรรมชาติขนาดเล็กบนเกาะกลางมหาสมุทร จากนั้นทุกคนพลันทยอยกันลงจากเรือ หานลี่เองก็ถูกสตรีอสรพิษทั้งสี่ใช้ ‘เปลหาม’ ยกขึ้นฝั่งอีกครั้ง เวลานี้หานลี่ทนไม่ไหวหันหน้าไปมองท้องฟ้าในบริเวณรอบแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าไม่อาจอยู่ได้นานนัก ผ่านไปชั่วครู่รูยักษ์กลางอากาศก็ถูกเมฆดำทะมึนปกคลุมไว้อีกครั้ง ผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นขึ้นอีกครั้ง แต่สำหรับมนุษย์อสรพิษที่มาถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแล้ว กลับเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ หานลี่เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา กลับรู้สึกสนใจสิ่งที่ปล่อยเสาลำแสงสีขาวออกมาจากบนเกาะ แม้ว่าจิตสัมผัสของเขาจะแห้งเหือด แต่ก็ยังคงสัมผัสได้รางๆ ว่าเสาลำแสงนี้มีพลังวิญญาณผสมอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่ลงมือแน่ ดูเหมือนกับเขตอาคมหรือยุทธภัณฑ์อะไรสักอย่างที่อาศัยพลังของศิลาวิญญาณปล่อยออกมา แม้ว่าอานุภาพของขั้นตอนเหล่านี้จะไม่อยู่ในความสนใจของหานลี่ แต่มาปรากฏบนเกาะของชนต่างเผ่าที่ไม่ใหญ่โตนักเช่นนี้ กลับทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าความคิดเหล่านี้แค่แวบผ่านในจิตใจของหานลี่ไปเท่านั้น สายตาย้อนกลับไปยังทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ท่าเรือขนาดเล็กแห่งนี้มิใช่ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ไม่เพียงชายหาดจะมีบ้านหินขนาดสูงเตี้ยไม่เท่ากันสร้างอยู่สองสามหลัง และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสาหินสูงใหญ่ประมาณร้อยจั้งตั้งตระหง่านอยู่ ยอดเสาแห่งนี้มีบ้านไม้เล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง ด้านบนมีมนุษย์อสรพิษตนอื่นๆ อาศัยอยู่รางๆ ในเวลานั้นเองในบ้านหินตรงชายฝั่งพลันมีมนุษย์อสรพิษเจ็ดแปดคนเลื้อยออกมา กว่าครึ่งล้วนเป็นสตรี มีส่วนน้อยที่เป็นบุรุษ ผู้นำคือสตรีอสรพิษโฉมงามสะคราญ ร่างกายอรชนอ้อนแอ้น อายุยี่สิบปีเศษตนหนึ่ง สตรีตนนี้กวาดสายตาไปยังเรือนของเหล่าชายร่างใหญ่ เมื่อเห็นสิ่งที่ห่อกลับมาตุงๆ ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มจางๆ น่าหลงใหลออกมา แต่เมื่อสายตากวาดไปยังหานลี่ที่อยู่ด้านหลังฝูงชน กลับอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ เวลานี้ชายร่างใหญ่กลับเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทำความเคารพแล้ว พลันเอ่ยอะไรกับสตรีตนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่สตรีอสรพิษฟังจบแล้ว ดวงตาคู่งามพลันกวาดไปยังเท้าที่อยู่บนกายท่อนล่างของหานลี่วูบหนึ่ง เผยสีหน้าระวังภัยออกมา ฉับพลันนั้นร่างกายของสตรีผู้นี้พลันบิดไปมา หลังจากพลิ้วไหวสองสามครั้งก็เลื้อยอย่างอ้อยอิ่งมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่ เมื่ออ้าปากออกก็เอ่ยภาษาประหลาดๆ ออกมา หานลี่พลันขมวดคิ้ว แล้วสั่นศีรษะะ แต่สตรีอสรพิษผู้นี้กลับไม่ยอมแพ้ เปลี่ยนภาษาไปเจ็ดแปดภาษา เมื่อมาถึงภาษาสุดท้าย หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี คาดไม่ถึงว่าจะฟังออก เป็นภาษาของชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหิน! ทว่าสตรีผู้นี้พูดติดๆ ขัดๆ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยนัก “เจ้ารู้จักภาษาวิญญาณเหาะเหิน!” หานลี่เผยสีหน้าประหลาดใจออกกมา ขณะเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า “ใต้เท้าชนชั้นสูงเองก็เข้าใจภาษาวิญญาณเหาะเหิน ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าคือผู้ช่วยปุโรหิตเผ่าเพลิงอาทิตย์เหยียนอู่! ไม่ทราบว่าใต้เท้าชนชั้นสูงมีนามเรียกขานว่าอันใด” สตรีอสรพิษได้ยินหานลี่เข้าใจภาษาวิญญาณเหาะเหิน ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ ทำความเคารพตอบกลับ “เรียกข้าว่าท่านหานก็พอ เผ่าเพลิงอาทิตย์? ข้าเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ข้าบังเอิญตกมาที่นี่ น่านน้ำแห่งนี้คือที่ใดหรือ” หานลี่พลันขมวดคิ้ว เอ่ยถามอย่างแช่มช้า “เผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเราเป็นแค่ชนกลุ่มเล็กๆ ของเผ่าตระกูลวา ท่านหานไม่รู้จักเผ่าของเราก็ไม่แปลก ใต้เท้ามีฐานะยิ่งใหญ่บังเอิญตกลงมาในเผ่าเพลิงอาทิตย์ของพวกเรา นับว่าเป็นเรื่องมงคลของเผ่าเรายิ่ง ทว่าข้าเป็นแค่ผู้ช่วยปุโรหิต ไม่รู้เรื่องราวของชนเผ่าในน่านน้ำนี้มากนักและไม่มีคุณสมบัติพอจะดูแลท่านหาน ข้าจะพาใต้เท้าไปพบท่านปุโรหิตของเผ่าเรา หากใต้เท้ามีข้อสงสัย ท่านมหาปุโรหิตจะต้องตอบได้อย่างละเอียดแน่” สตรีอสรพิษผู้นี้ตอบกลับอย่างรู้จักวางตัว “ท่านมหาปุโรหิต!” หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย สตรีอสรพิษที่อยู่เบื้องหน้าม้วนตัวไปมาสองรอบ สัมผัสได้ว่าบนร่างของนางมีไอวิญญาณจางๆ แผ่ออกมา แม้ว่าสตรีอสรพิษผู้นี้จะมีพลังยุทธ์อยู่แค่ระดับฝึกปราณ แต่ก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรของจริง ทว่าสตรีผู้นี้มีพลังยุทธ์ต่ำต้อยเช่นนี้ ท่านมหาปุโรหิตผู้นั้นจะสูงกว่าไปสักเท่าใดนัก คงไม่มีอะไรน่ากลัว ชั่วพริบตาหานลี่พลันคิดคำนวณในใจเสร็จแล้ว แล้วถึงได้พยักหน้าอย่างราบเรียบ สตรีโฉมงามเห็นหานลี่ตอบรับ ก็ลอบผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ในสายตาของนางชนชั้นสูงตรงหน้ามีกลิ่นอายที่แปลกประหลาดไปหน่อย จะว่าแข็งแกร่งก็แข็งแกร่ง แต่พลังแรงกดที่อยู่บนร่างกลับเลือนราง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่านางเท่าใดนัก แต่จะว่าอ่อนแอ ยามนางกวาดจิตสัมผัสของตัวเองไปแล้ว กลับไม่อาจคาดเดาระดับพลังของอีกฝ่ายได้ ในสถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องให้ท่านมหาปุโรหิตเป็นผู้จัดการจะเหมาะสมที่สุด หลังจากที่สตรีอสรพิษออกคำสั่งกับเหล่าชายร่างใหญ่สองสามประโยค มือหนึ่งก็ควานไปที่เอว ควักถุงหนังออกมาใบหนึ่ง มือหนึ่งควักของด้านในออกมา คาดไม่ถึงว่าจะควักวิหควิญญาณสีขาวหิมะตัวหนึ่งออกมา วิหคตัวนี้มีขนาดเท่ากำปั้น รูปร่างคล้ายนกแก้ว แต่ดวงตาทั้งสองกลับเป็นสีแดงเพลิง คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนมีเปลวเพลิงสองกลุ่มฝังอยู่อย่างไรอย่างนั้น หลังจากที่สตรีอสรพิษใช้มือลูบไปที่วิหคตัวนั้นสองสามครั้ง ปากก็เปล่งเสียงประหลาดๆ อย่าง “กรู้ๆ” ออกมา จากนั้นพลันปล่อยมือ ชั่วขณะนั้นวิหคตัวนั้นพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกไปยังส่วนลึกของเกาะกลางมหาสมุทร แค่กะพริบวาบก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย “ข้ารายงานท่านมหาปุโรหิตแล้ว จากนี้ข้าจะคุ้มครองท่านหานไปยังเมืองเพลิงอาทิตย์เอง” สตรีผู้นี้เอ่ยด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม หานลี่พลันเลิกคิ้ว และไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืน กลับหลับตาทั้งสองข้างลง เมื่อเห็นว่าหานลี่มีท่าทียอมรับโดยดุษณีแล้ว สตรีผู้นี้ก็ไม่ลังเล ทันใดนั้นก็เป็นผู้พาสตรีอสรพิษทั้งสี่คนที่หามหานลี่มา เดินไปตามทางเดินสายเล็กๆ สายหนึ่ง ที่ตรงไปยังใจกลางของเกาะกลางมหาสมุทรเช่นกัน
คอมเม้นต์