Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 141 มุ่งขึ้นเหนือ
คนขององครักษ์เสื้อแพรที่จริงตามมาอยู่ตลอด คุณหนูจวินก็รู้องครักษ์เสื้อแพรนี่มีแค่ห้าคน ตามอยู่ไม่ไกลไม่ใกล้ถึงขนาดไม่หลบไม่ซ่อนเรื่องที่หน่อฝีทำคนตายเกิดในเขตเซียงโจว จัดการครึ่งเดือนกว่าเรื่องราวก็สงบลงแล้ว หลังจากนั้นคุณหนูจวินพลันออกจากเซียงโจวเดินทางไปทางตะวันตก สามวันให้หลังก็หันขึ้นเหนือกะทันหัน เวลานี้เข้ามาในฉือโจวแล้วการเดินทางกะทันหันเช่นนี้ก็เพื่อสลัดองครักษ์เสื้อแพรห้าคนนี้“พวกเขาดูเหมือนเพียงแค่ติดตามควบคุม ไม่ได้ไม่หวังดีกับข้า” คุณหนูจวินเอ่ย “แต่ข้าไม่คุ้นกับพวกเขาจริงๆ พวกเขาตามข้าเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาลงมือเท่านั้น”“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ถึงเวลาลงมือแล้วรึ?” เหลยจงเหลียนเอ่ย ทั้งโมโหมากแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไม่ใช่ควรเดินทางกลับไปหรือ? ตามทางที่คุ้น”ทำไมมุ่งขึ้นเหนือสถานที่ซึ่ไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง?“ทางคุ้นก็ไม่มีปัญหาแล้วรึ?” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้าเคยพูดแล้ว พวกเขาก่อนหน้านี้ไม่ลงมือ ไม่ใช่เพราะพวกเราคนมากกำลังมาก เพียงยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาคิดจะลงมือเท่านั้น”เหลยจงเหลียนพยักหน้า แม้องครักษ์เสื้อแพรหลายคนนี้เขาไม่ได้เห็นใกล้ๆ แต่ก็มองเห็นรูปร่างผ่านตาทีสองทีไกลๆ บางครั้งคนหลายคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา“ส่วนข้าทำไมเดินทางมาด้านนี้ที่ดูไปแล้วอ้อมทางไกล” คุณหนูจวินยิ้ม มองเหลยจงเหลียน “เรียนมาจากคุณชายหลิงจิ่ว”คุณชายหลิงจิ่วเหลยจงเหลียนอึ้งแล้ว คิดถึงคนตัดฟืนคนนั้นขึ้นมา“ตอนแรกเขาจากแดนเหนือไปเมืองหลวง” คุณหนูจวินเอ่ย “แต่กลับอ้อมทางไปซานซีก็เพื่อสลัดองครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้”ที่แท้คุณชายหลิงจิ่วคนนั้นก็ต้องการไปเมืองหลวงเหลยจงเลหียนคิด แล้วมองคุณหนูจวินอีกนางรู้ชัดปานนี้ หรือว่าพวกเขาพบกันที่เมืองหลวงอีก? แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่คนที่ชอบเอ่ยถามว่าทำไมคนนั้นตอนนั้นแล้วแต่เขาไม่ถามก็มีคนถาม“คุณชายหลิงจิ่วเป็นใครหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถามอยู่ด้านข้าง“บุตรชายเฉิงกั๋วกงไง” คุณหนูจวินเอ่ยตอบเหลยจงเหลียนพริบตาตะลึง ไม่รู้ควรพูดอะไรบุตรชายเฉิงกั๋วกงเรอะ! ที่แท้คุณชายหลิงจิ่วคนนั้น! เฉิงกั๋วกง!เหลยจงเหลียนพลันรู้สึกว่าทั้งร่างร้อนประหนึ่งไฟลุกไหม้“…องครักษ์เสื้อแพรพวกเขายังตามอยู่ก็อย่าเคร่งเครียดเกินไป” เสียงของคุณหนูจวินเอ่ยต่อ “ให้พวกเขาตามมาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย หากพวกเขาค้นพบว่าพวกเราหายไปไม่อาจคุมได้คงยิ่งระแวงบีบคั้นพวกเราหนักขึ้น กลับไม่เป็นประโยชน์ยามพวกเราสลัดพวกเขา”เหลยจงเหลียนรู้สึกว่าความคิดล่องลอยอยู่บ้าง“นี่ก็เป็นคุณชายหลิงจิ่ว…ไม่ไม่ วิธีการของบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือขอรับ?” เขาหลุดปากเอ่ยถามไม่ทันรู้ตัวคุณหนูจวินยิ้มเอ่ยว่าใช่ เขาก็อาศัยอิสระที่ให้องครักษ์เสื้อแพรตลอดทางแต่ไม่อาจตามควบคุมเขาไปถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่น รับประกันว่าอิสระมากพอทำเรื่องที่ตนเองต้องการทำ นอกจากนี้ยังดูมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำคุณหนูจวินมองไปทางด้านหน้า ตอนนี้มาถึงฉือโจว ห่างจากเป่าโจวที่เฉิงกั๋วกงอยู่…ระยะทางยังอีกไกลนักแต่ บางที อาจลองเดินทางไปด้านนั้นได้?คุณหนูจวินเหม่อลอยอยู่บ้าง เหลยจงเหลียนก็เหม่อลอยอยู่บ้าง จำไม่ได้เหมือนกันว่าตนเองพูดอะไรไปประโยคหนึ่ง ควบม้าเหม่อลอยกลับมาในขบวนผู้คุ้มกัน“นายท่านเหลยเกิดอะไรขึ้น? คุณหนูจวินพูดอะไรหรือ?” ผู้คุ้มกันหลายคนมองเห็นเขาสีหน้าไม่เข้าที รีบเอ่ยถามเป็นห่วงเป็นใยเหลยจงเหลียนได้ยินคำพูดของเขา ประหนึ่งฉุกคิดได้สติ ถลึงตามองพวกเขา“พวกเจ้ารู้ไหมว่ารูปขบวนที่พวกเจ้าร่ำเรียนเป็นผู้ใดสอน?” เขาเอ่ยบรรดาผู้คุ้มกันสบตากันทีหนึ่ง พวกเขารู้ว่ารูปขบวนที่พวกเขาใช้แตกต่างจากสำนักคุ้มภัยที่อื่น ล้วนรู้ว่าเหลยจงเหลียนติดตามคุณหนูจวินตระกูลฟางไปหรู่หนาน นอกจากนี้ยังเคยฝ่าค่ายสังหารของทหารทางการที่แสร้งเป็นโจรภูเขาด้วยพวกเขาคิดว่านี่เป็นตระกูลฟางสอนให้มาตลอด“เป็นบุตรชายเฉิงกั๋วกง” เหลยจงเหลียนเสียงแหบเอ่ย สีหน้าตื่นเต้น “นั่นเป็นถึงบุตรชายเฉิงกั๋วกงเชียวนะ เป็นกระบวนทัพของเฉิงกั๋วกง”ถึงกับเป็นเฉิงกั๋วกงบรรดาผู้คุ้มกันที่อยู่ที่นั่นก็ล้วนตื่นเต้นขึ้นมาด้วย“มิน่าถึงร้ายกาจเช่นนี้”“พวกเรานี่นับว่าได้สืบทอดวิชาของเฉิงกั๋วกงแล้ว”“ที่แท้นายท่านเหลยท่านก็รู้จักบุตรชายเฉิงกั๋วกง”บุตรชายเฉิงกั๋วกงเชียวนะ เหลยจงเหลียนคิดถึงชายหนุ่มหนวกหูที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็จะเอาเงินคนนั้น คิดไม่ถึงจริงๆ เขาถึงกับเคยฝ่าสนามรบด้วยกันกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง“อย่างไรคุณหนูจวินต้องรู้จักแน่”“ใช่สิ ได้ยินว่าที่เมืองหลวงบุตรชายเฉิงกั๋วกงตีกับหัวหน้ากองพันลู่เพื่อคุณหนูจวิน”เรื่องที่คุณหนูจวินอยู่ที่เมืองหลวงถูกคนแย่งกัน ย่อมแพร่มาถึงหยางเฉิงด้วย เพียงแต่ว่าเรื่องเล่าเช่นนี้ไม่เคารพคุณหนูจวิน พูดต่อหน้าผู้คนจะถูกถ่มน้ำลายด่า ดังนั้นจึงพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวเท่านั้นได้ยินเหลยจงเหลียนก็ได้สติขึ้นมาทันทีจริงๆ“พูดจาเหลวไหลอะไร” เขาเอ็ดบรรดาผู้คุ้มกันเงียบเสียงยิ้มกระอักกระอ่วนทันทีเหลยจงเหลียนก็ย่อมรู้ข่าวลือเหล่านี้เช่นกัน ข่าวลือเหล่านั้นบอกว่าบุตรชายเฉิงกั๋วกงชมชอบความงามของคุณหนูจวินดังนั้นจึงลงมือแย่ง ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่าอาจเป็นเช่นนี้ อย่างไรหญิงงามอ่อนหวาน วิญญูชนย่อมปรารถนา แต่ตอนนี้ได้รู้ว่าหลิงจิ่วก็คือบุตรชายเฉิงกั๋วกง เหลยจงเหลียนก็เข้าใจว่าเรื่องเป็นอย่างไรแล้ว“เรื่องเป็นอย่างไร?” บรรดาผู้คุ้มกันเอ่ยถามอย่างสงสัย“เพราะคุณหนูจวินจ่ายเงินแล้ว” เหลยจงเหลียนหน้าตาจริงจังเอ่ย……………………………………….“ฮัดชิ้ว”หางม้าพวงหนึ่งสะบัดผ่าน จูจั้นที่สวมชุดคนงานอยู่จามทีหนึ่ง เขาหงุดหงิดนิดๆ เตะม้าเสียทีหนึ่ง“ไปไปไป ไปด้านข้างกิน”ม้าส่ายหางไปที่รางอาหารแล้ว จูจั้นยื่นมือแคะหู นั่งยองๆ ลงด้านหน้าหลักผูกม้า สีหน้าบึ้งตึง“พี่รอง”มีคนร้องเรียกด้านนอก พร้อมกันนั้นคนสองคนก็ยื่นศีรษะชะเง้อมองด้านในซื่อเฟิงยังใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกจูจั้นที่นั่งยองยู่หน้าหลักไม้ก็ไม่ได้เงยหน้า ยกมือซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังเดินเข้ามา“ที่นี่เหม็นเป็นบ้า ท่านมาเลี้ยงม้าจริงรึ?” ซื่อเฟิ่งเอ่ยจูจั้นไม่สนใจเขา จดจ่อสมาธิครุ่นคิดซื่อเฟิ่งเลิกคิ้ว“คุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นอีกจูจั้นเงยหน้า ขมวดคิ้ว“นางเป็นอะไรอีกแล้ว?” เขาท่าทางรังเกียจอยู่บ้างและรำคาญอยู่บ้าง “หน่อฝีเกิดเรื่องถูกคนตีหรือ?”ซื่อเฟิ่งหัวเราะคิก กำลังจะหยอกอีกสักสองประโยค จางเป่าถังรอไม่ไหวแล้ว“ไม่ใช่ หน่อฝีไม่เป็นไร คลี่คลายแล้ว” เขาเอ่ย “แต่คุณหนูจวินหายไปแล้ว”จูจั้นแค่นเสียงสองที“ผู้หญิงคนนั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก” เขาว่า “ใครจะรู้ว่านางเกิดคิดจะวิ่งไปไหนอีก”“คนของลู่อวิ๋นฉีก็กำลังจับนางอยู่” ซื่อเฟิ่งเอ่ยจูจั้นแค่นเสียงเหอะอีกสองที“จับก็จับสิ จับได้แล้วค่อยว่ากัน” เขาเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ค่อยตีให้ตายอีกคนก็จบเรื่อง”ค่อยตีให้ตายอีกคน?คำว่าอีกนี่มีความหมายมากมายนักจางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งมองรอบด้านระแวดระวังทันที“ไม่ต้องกังวล ที่นี่นอกจากเดรัจฉานไม่มีคนอื่น” จูจั้นเอ่ย คิดอีกทีก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “นอกจากม้าเดรัจฉานชนิดนี้ ไม่มีเดรัจฉานอื่น” ……………………………………….
คอมเม้นต์