Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 2 ตอนที่ 188 สหายเก่ายืนกลางลมหิมะ

อ่านนิยายจีนเรื่อง Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ตอนที่ 188 สหายเก่ายืนกลางลมหิมะ 3Novel | อ่านนิยายออนไลน์ นิยายแปลไทย อ่านนิยายฟรี.

เขาไม่รู้จักนาง
นางรู้จักเขา
เขาคือบัณฑิตกู้
ตอนพระบิดากับพระมารดาสิ้น จิ่วหรงยังไม่เต็มสี่ขวบ ยังไม่ถึงวัยเริ่มเรียน ดังนั้นไม่ได้จัดการการเรียนไว้
หลังพวกนางมาถึงวังไหวอ๋อง พี่สาวก็รับผิดชอบเริ่มสอนหนังสือจิ่วหรง
ฮ่องเต้ก็ใส่พระทัยการเรียนของไหวอ๋องเช่นกัน กำชับให้เลือกครูแก่ไหวอ๋อง แต่เลือกไปเลือกมาก็ไม่ได้ตัวเลือกที่เหมาะสม
ทำไมไม่มีคนที่เหมาะสม พวกนางพี่น้องก็เข้าใจเช่นกัน วังไหวอ๋องสถานที่เช่นนี้ใครยินดีมาคลุกคลีด้วย
ต่อมานางกันลู่อวิ๋นฉีแต่งงาน ลู่อวิ๋นฉีหาอาจารย์คนหนึ่งให้จิ่วหรง
อาจารย์คนนี้ชื่อกู้ชิง คนหูโจว เป็นบัณฑิตชั้นก้งเซิงที่สอบไม่ได้จิ้นซื่อ ลู่อวิ๋นฉีว่าความรู้ไม่เลว
นางกับพี่สาวก็ดูแล้ว รู้สึกพอใจมาก ที่จริงต่อให้ไม่พอใจก็ไร้หนทาง
สำหรับพวกนางแล้ว ไม่มีสิทธิเลือกอย่างใด มีแต่ต้องยอมรับ
บัณฑิตกู้จึงมายังวังไหวอ๋องเริ่มสอนจิ่วหรง แม้เวลานั้นนางออกจากวังไหวอ๋องไปแล้ว แต่ปีใหม่ตอนพบจิ่วหรง จิ่วหรงก็มีความสุขมาก ระหว่างที่คุยกันมักจะเอ่ยถึงบัณฑิตกู้เป็นอย่างไรๆ ดูไปแล้วชอบบัณฑิตกู้ยิ่งนัก
จิ่วหลีก็บอกว่าดีมากไม่เลวเลย
อย่างไรออกมาจากปากจิ่วหลีก็ไม่มีสิ่งใดไม่ดี นางยังคงไม่วางใจ มาดูบัณฑิตกู้กับตาตนเองอีกครั้ง บัณฑิตกู้พูดจาอ่อนโยนมีอารมณ์ขัน เข้าหาถอยห่างท่าทางมีมารยาท
ที่จริงถามก็ถามอะไรออกมาไม่ได้ ต่อให้เขาเป็นคนที่ฮ่องเต้จัดให้มาสอนจิ่วหรงนิสัยเสีย พวกนางห้ามได้งั้นหรือ?
ขวางคนนี้ได้ ยังมีคนที่สอง
จิ่วหลิงหดหู่อยู่บ้าง
ดูท่าเขาคงเห็นความหดหู่ของนาง บัณฑิตกู้ที่เดิมทีจะขอตัวไปจึงหยุดอีกครั้ง
“อาจารย์ขององค์หญิงคือท่านหมอจางใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม
เรื่ององค์หญิงจิ่วหลิงติดตามเรียนวิชาแพทย์กับจางชิงซาน เก็บเป็นความลับกับภายนอก ยังไงองค์หญิงองค์หนึ่งจะติดตามคนวิ่งออกไปเรียนวิชาแพทย์ได้อย่างไร คำอธิบายที่พระบิดากับพระมารดาให้กับพระอัยยิกาและทุกคนก็คือ เพื่อขอพรให้แก่องค์รัชทายาท จึงฝากเลี้ยงองค์หญิงจิ่วหลิงไว้ที่วัดของราชวงศ์
สถานที่ไปขององค์หญิงคนหนึ่งคนไม่ใส่ใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำนี้ยังถูกทุกคนมองว่าองค์หญิงจิ่วหลิงไม่ได้รับความโปรดปราน
องค์หญิงจิ่วหลิงเดิมทีก็ไม่ได้รับความโปรดปราน เทียบกับองค์หญิงจิ่วหลี ชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ผู้คนห่างไกลเทียบไม่ได้กับองค์หญิงจิ่วหลี
แต่บัณฑิตกู้เอ่ยสิ่งนี้ออกมา นางก็ไม่ได้ตะลึงอะไรเหมือนกัน
หากเป็นคนที่ลู่อวิ๋นฉีหามา รู้เรื่องเหล่านี้ก็ปกตินัก
แม้เรื่องที่ตนเองร่ำเรียนวิชาแพทย์คนอื่นไม่รู้ ลู่อวิ๋นฉีน่าจะค้นหาพบ
“ท่านหมอจางเป็นยอดอัจฉริยะ” บัณฑิตกู้เอ่ย “ได้เดินทางกับท่านหมอจางช่วงเวลาหนึ่ง เป็นเรื่องโชคดีของชีวิตจริงๆ”
ตอนนั้นนางไม่รู้ว่านี่มีอะไรโชคดี ตนเองพูดให้ชัดแล้วน่าจะเป็นโชคไม่ดีมาก
“เห็นขุนเขาเห็นสายน้ำเห็นโลกสรรพสิ่ง รู้จักมิตรภาพรู้จักเรื่องสนุกลองลิ้มร้อยรสในโลกมนุษย์ นี่ไม่ใช่ผู้ใดล้วนมีได้” บัณฑิตกู้ยิ้มเอ่ย “คนเกิดเป็นคน ต้องมีชีวิตอยู่เช่นคนผู้หนึ่ง นี่คือโชคดียิ่งของชีวิตมนุษย์”
นี่ก็คือเรื่องโชคดีของชีวิตมนุษย์หรือ?ถ้าอย่างนั้นเรื่องโชคดีนี่ก็เรียบง่ายเกินไปแล้วกระมัง
“เรียบง่าย? แต่มีคนมากมายทำไม่ได้ เรื่องยิ่งเรียบง่ายยิ่งยาก” บัณฑิตกู้หัวเราะเอ่ย “ดังนั้นข้าหวังว่าองค์ชายจะกลายเป็นคนโชคดียิ่งคนหนึ่ง ใช้ชีวิตเรียบง่าย เป็นคนที่แท้จริงคนหนึ่ง”
พูดตรงๆ ก็คือให้จิ่วหรงอย่าคิดเรื่องตำแหน่งฮ่องเต้อีก เป็นองค์ชายทำตัวดีๆ คนหนึ่งก็พอแล้ว
เรื่องนี้พวกนางพี่น้องก็คิดเช่นนี้นานแล้ว แต่คิดไม่ถึงยังมีคนพูดให้เรื่องเช่นนี้มีความสุขและโชคดีเช่นนี้ได้
ไม่ว่าพูดอย่างไร ท่าทีเช่นนี้ของบัณฑิตกู้ก็นับว่าตรงไปตรงมาทั้งยังจริงใจ อย่างน้อยจิ่วหรงก็มีความสุขมาก
พี่สาวพูดถูก จิ่วหรงมีความสุขก็พอ
บัณฑิตกู้จึงอยู่ที่วังไหวอ๋อง เช่นเดียวกับไหวอ๋องและท่านพี่ไม่ออกจากบ้านอีก อย่างน้อยตอนนางมีชีวิตอยู่สองปีนั้นบัณฑิตกู้สักครั้งก็ไม่เคยออกมา กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับวังไหวอ๋องเช่นเดียวกับพี่สาวและน้องชาย
วันนี้ทำไมเขาออกมาข้างนอกแล้วเล่า?
เขาก็เสแสร้งมาตลอดเหมือนกันหรือ?
ตอนนี้ตนเองตายแล้ว พี่สาวแต่งงานแล้ว เขาก็ไม่ต้องแสร้งทำต่ออีกแล้ว?
กั้นด้วยเกล็ดหิมะ อาศัยใบหน้าใหม่ดวงนี้และหีบยา คุณหนูจวินไม่หลบเลี่ยงสักนิดมองเขา
บัณฑิตกู้กลับไม่มองนางอีก เพราะใบหน้าแปลกหน้าดวงนี้กับหีบยา
เขาไม่รู้จักพวกนาง เขามองว่าพวกนางเป็นหมอเร่
สายตาของเขากวาดผ่านทีหนึ่ง รั้งกลับไป ลงบันไดก้าวไวๆ ไปทางตะวันออก
สายตาของคุณหนูจวินไล่ตามเขาไป ทิศทางที่เขาไปคือจวนสกุลลู่?
“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์กางธงยกขึ้นเหนือศีรษะคุณหนูจวิน “คนผู้นั้นมีลางร้ายหรือเจ้าคะ?”
คุณหนูจวินมองประตูใหญ่วังไหวอ๋องที่ถูกปิดลง จิ่วหรง…อยากพุ่งเข้าไปนัก ใกล้เพียงนี้
นางสูดหายใจลึกหลายทีมองไปทางบัณฑิตกู้อีกครั้ง
บัณฑิตกู้ยืนอยู่หน้าประตูจวนสกุลลู่จริงๆ
“พวกเรากลับเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย
ไม่รอหลิ่วเอ๋อร์ตอบสนองทัน คนก็ย้อนกลับไปทางเดิม เดินไปทางจวนสกุลลู่แล้ว
กลับ? หลิ่วเอ๋อร์อึ้ง นางไม่ทันคิดมากรีบยกธงไล่ตามไป
ส่วนคนเฝ้าประตูจวนสกุลลู่ด้านนี้ก็ถูกทำให้ตกใจสะดุ้งโหยง
น้อยนักจะเห็นคนที่ไม่ใช่องครักษ์เสื้อแพรมาร้องตะโกนที่จวนสกุลลู่
“เจ้าเป็นใคร?” คนเฝ้าประตูเอ่ยถามจากด้านใน
“ข้าเป็นคนของวังไหวอ๋อง” บัณฑิตกู้เอ่ยขึ้นด้านนอก
วังไหวอ๋อง?
หลังประตูเงียบไปครู่หนึ่ง
ฟ้าดินพริบตาได้ยินเพียงเสียงเกล็ดหิมะแสกสาก
“ข้าเพียงอยากพบใต้เท้าลู่” บัณฑิตกู้เอ่ย
ด้านในยังคงเงียบไปพักหนึ่ง
มองเห็นแผ่นหลังผู้ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะถูกขวางไว้นอกประตูคนนี้ คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า
เขาก็เหมือนกับพวกนาง ไม่อาจพบคนได้ตามใจรึ? ส่วนคนอื่นก็ไม่พบเขาง่ายๆ รึ? ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่พบหรือ?
ด้านในไม่มีเสียงตอบอีก บัณฑิตกู้ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก แค่ยืนอยู่ข้างประตู
เกล็ดหิมะค่อยๆ กลายเป็นปุยหิมะ ลมเหนือพัดหอบมา เป่าปุยหิมะขยับเริงระบำระหว่างฟ้ากับดิน
หิมะบนร่างพริบตาปกคลุมชั้นหนึ่ง
แม้พวกนางสวมเสื้อผ้าหนา ฝ่าเท้าก็เริ่มหนาวอยู่บ้างแล้ว
คุณหนูจวินค่อยๆ เดินผ่านไป ปลายหางตามองเห็นบัณฑิตกู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูกระทืบเท้านิดๆ
เสื้อผ้าที่เขาสวมบางอยู่บ้าง ดูท่าคงรีบร้อนออกมา แม้กระทั่งผ้าคลุมก็ไม่สวม ใต้เท้าก็ยังเป็นรองเท้าที่สวมในจวนเรือนนี่?
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
คุณหนูจวินเดินมาถึงด้านในตรอกเล็กอย่างช้าๆ หยุดยืน แม้ที่นี่หลบเลี่ยงสายตาของบัณฑิตกู้ได้ แต่นางรู้ว่าที่นี่หลบสายตาขององครักษ์เสื้อแพรไม่ได้
แต่นางก็ไม่อยากไป อาศัยใบหน้านี้ หีบยานี้รวมถึงความขัดแย้งตอนนี้เสี่ยงสักครั้งเถอะ
คนผู้นี้ต้องมีลางร้ายหนักแน่ หลิ่วเอ๋อร์คิด ออกแรงกางธงผืนน้อยออกขวางเหนือศีรษะคุณหนูจวิน แม้นี่ขวางอะไรไม่ได้สักนิดก็ตาม
แต่รอไม่นานนัก เสียงกีบเท้าม้าเร่งร้อนก็ดังมาจากบนถนน ท่ามกลางสายลมและหิมะลู่อวิ๋นฉีขี่ม้าเร็วรี่มา บรรดาองครักษ์เสื้อแพรที่เดิมทีล้อมอยู่หน้าหลังซ้ายขวาตลอดถูกสลัดทิ้งไว้ข้างหลัง
ไม่รอม้าหยุดนิ่งเขาก็กระโดดลงมา บนร่างบนศีรษะก็เป็นหิมะชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่เช่นกัน เช่นเดียวกันกับบัณฑิตกู้ เขาก็ไม่ได้สวมผ้าคลุมหรือหมวก ดั่งรีบร้อนพุ่งออกมาจากในจวน
จวน
จวนของเขาเดิมทีก็คือที่นี่ แต่กลับมาจากด้านนอก นั่นย่อมเป็นจวนอีกแห่งหนึ่ง
คุณหนูจวินนิ่งไม่ขยับ แม้รู้ดีว่าการมาถึงของลู่อวิ๋นฉี สายตาที่วางอยู่ในที่แห่งนี้จะยิ่งทั่วทุกหนแห่ง
ตอนที่บัณฑิตกู้ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าก็ก้าวไวๆ เข้ามารับจากประตู
คุณหนูจวินมองพวกเขายืนอยู่ด้วยกัน บัณฑิตกู้พูดอะไร ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยถามต่อพลิกตัวขึ้นม้าไปข้างหน้า บัณฑิตกู้ก้าวไวติดตามทันที
บรรดาองครักษ์เสื้อแพรก็ตามพวกเขาไป
คนม้าขบวนหนึ่งแทบจะไม่หยุดเคลื่อนไปข้างหน้า
ทิศทางคือวังไหวอ๋อง
คุณหนูจวินมองคนกับม้ากลางสายลมหิมะ
แม้ไม่ได้ยินว่าบัณฑิตกู้พูดอะไร แต่นางมองรูปปากสองคำของบัณฑิตกู้ออก
ไหวอ๋อง
จิ่วหรง
ไม่โชคร้ายขนาดนี้กระมัง หรือจิ่วหรงเกิดเรื่องเหมือนกันแล้ว?
นางหมุนตัวโดยพลันจากไปตามตรอก หลิ่วเอ๋อร์ตอบสนองไม่ทันอีกครั้ง สลัดแขนที่ปวดล้ารีบตามไป
ท่ามกลางสายลมหิมะ สายตาเย็นเยียบที่จ้องคุณหนูจวินอยู่รั้งกลับไป
“ทำไมไปหักขานางไม่ได้เล่า?”
“ใช่แล้ว หักขานางจะเป็นไร? ราชโองการนางก็คงไม่พกติดตัวเสมอหรอกกระมัง”
“ถ้าหากพกติดตัวเล่า”
“ถึงกับมาท้าทายหน้าประตูใต้เท้าเช่นนี้ ทนไม่ได้จริงๆ”
“ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่สนนาง ใต้เท้ามีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าทำ”
เสียงเบาๆ กระจายไป เงาร่างคนหลายคนก็เร้นหายไปท่ามกลางสายลมและหิมะอีกครั้งด้วย
……………………………………….

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด