Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 138 ความพิโรธของฮ่องเต้
ฤดูร้อนอันร้อนระอุร้อนจัด ย่างพื้นดินจนเหมือนควันขึ้น แต่ในตำหนักใหญ่ของพระราชวัง บรรดาขุนนางที่เข้าประชุมกลับประหนึ่งตัวตกอยู่ในห้องแช่แข็งนี่ไม่ใช่เพราะในตำหนักวางน้ำแข็งไว้ แต่เพราะฮ่องเต้หน้าเขียวคล้ำ รวมถึงฎีกาหลายเล่มที่โยนไว้บนพื้น“ข้ามอบแผ่นดินให้พวกเจ้า ข้าเชื่อใจพวกเจ้าเช่นนี้ พวกเจ้าต้องการคนให้คน ต้องการเงินให้เงิน ต้องการสิ่งใดข้าก็ให้พวกเจ้า พวกเจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้”ฮ่องเต้ที่อ่อนโยนเสมอมากำลังอ้าปากด่าเสียงดัง“บอกกับข้าทุกวันว่าบ้านเมืองสงบประชาชนร่มเย็นเป็นสุขบ้านเมืองสงบประชาชนร่มเย็นเป็นสุข ความจริงเล่า? ใต้อุทกภัยเงินทองธัญญหารของชาวบ้านเสียหายสาหัส เหนือชาวจินบุกทะลวงลึกเข้ามา กระทั่งเมืองเหอเจียนก็ถูกแย่งไปแล้ว นี่เรียกบ้านเมืองสงบประชาชนร่มเย็นเป็นสุขรึ? นี่เรียกแผ่นดินลุกเป็นไฟ นี่เรียกว่าประชาชนทุกข์ร้อน! พวกเจ้าคิดว่าข้าตายไปแล้วหรือตาบอด?”พระองค์ทรงตบโต๊ะ ฎีกากระถางธูปหอมบนนั้นเอนร่วงอีกครั้ง ส่งเสียงดังเกรียวกราวหลังจากตวาดด่า น้ำพระเนตรของฮ่องเต้ก็ไหลออกมาเช่นกัน“นี่เป็นสวรรค์ลงโทษข้าหรือ? นี่คือข้าไม่คู่ควรเป็นฮ่องเต้รึ?”ประโยคนี้ตะโกนออกมา บรรดาขุนนางที่อยู่ที่นั่นในใจล้วนหวาดหวั่นคู่ควรหรือไม่คู่ควรเป็นฮ่องเต้พระองค์หนึ่งคงเป็นความกังวลซ่อนเร้นที่ใหญ่ที่สุด แล้วก็เป็นข้อห้ามที่ใหญ่ที่สุดในใจของฮ่องเต้เวลานี้เอ่ยออกมาต่อหน้าผู้คน เห็นได้ว่าความโกรธเกรี้ยวในใจมาถึงขีดสุดแล้วบรรดาขุนนางเต็มตำหนักล้วนคุกเข่าลง น้ำตาไหลตะโกนกระหม่อมผิดไปแล้วฝ่าบาทโปรดระงับโทสะหวงเฉิงที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดร่ำไห้หนักหนาที่สุด เขาถอดหมวกขุนนางใหญ่ลงมา ศีรษะโขกพื้นเส้นผมขาวดอกเลายุ่งเหยิงกระเจิงกระจาย“ฝ่าบาท ทุกสิ่งล้วนเป็นความผิดพลาดของพวกกระหม่อม ล้วนเป็นความรับผิดชอบของกระหม่อม” เขาร้องไห้จนหายใจไม่ทัน เสียงสั่นเครือตะโกนท้องพระโรงของตำหนักใหญ่วุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่ว่าร้องไห้จริงหรือร้องไห้หลอกล้วนก้มศีรษะไม่กล้ายืนเด่นลำพัง กระทั่งผู้ตรวจการก็ลืมเลือนมารยาทพิธีการในท้องพระโรงคุกเข่าลงร้องไห้ด้วยมีเพียงคนเดียวยังยืนอยู่ลู่อวิ๋นฉีผู้สวมอาภรณ์สีแดงทั้งร่างสีหน้านิ่งสนิท ประหนึ่งไม่เห็นทุกสิ่งตรงหน้านี้ แล้วก็ไม่โศกเศร้าคับแค้นเพราะประชาชนทุกข์ร้อนบรรดาขุนนางที่คุกเข่าลงก็ไม่รู้สึกว่าลู่อวิ๋นฉีกบฏ เพียงทำให้ความโศกเศร้าโกรธแค้นของตนเองยิ่งเพิ่มความสมจริงขึ้น เลี่ยงไม่ให้ภายหลังเหตุการณ์ถูกลู่อวิ๋นฉีใส่ร้ายโจมตีพวกเขาฮ่องเต้ด่าแล้วก็ด่าไปแล้ว ร้องไห้ก็ร้องไปแล้ว ทุบก็ทุบไปแล้ว เสียงร้องไห้เกลี้ยกล่อมของบรรดาขุนนางก็ค่อยๆสงบลง“ข้าปวดใจนัก” พระองค์ปาดน้ำพระเนตรเอ่ยบรรดาขุนนางก็ล้วนโล่งอกหยุดร้องไห้ยอมรับผิดอีกครั้ง แต่เสียงร้องไห้ของหวงเฉิงยังไม่หยุด ในตำหนักใหญ่ที่เงียบลงเสียดแทงหูเป็นพิเศษใครจะรู้เขาร้องไห้ให้ประชาชนที่แดนเหนือหรือคิดถึงบุตรชายของตนขึ้นมาอีกแล้วขุนนางมากมายที่อยู่ที่นั่นในใจล้วนเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แน่นอนคำพูดนี้ไม่มีใครจะพูดฮ่องเต้มองขุนนางเฒ่าคนนี้ น้ำพระเนตรไหลลงมาอีกครั้ง ให้ขันทีพยุงเขาพระราชทานเก้าอี้นั่ง“ตอนนี้ทำอย่างไรเล่า?” ฮ่องเต้ตรัสถามขุนนางใหญ่คนหนึ่งลังเลชั่วครู่“ที่จริงตีแตกแค่เมืองเดียว…” เขาเอ่ยคำพูดนี้ทำหใฮ่องเต้ที่สงบลงเมื่อครู่โกรธขึ้นอีกครั้งทันที“สุนัขกัดทีหนึ่งไม่นับว่ากัดรึ? ข้ายังต้องยื่นขาอีกข้างให้มันกัดขาดถึงตะโกนว่าเจ็บได้เรอะ?” พระองค์ตวาดด่าขึ้นมา “นั่นเป็นประชาชนของข้า ไม่ต้องพูดถึงเมืองหนึ่ง ต่อให้เป็นประชาชนคนหนึ่งก็ปวดใจนัก”ขุนนางคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกศีรษะระรัวยอมรับผิดฮ่องเต้ยังคงไม่คลายโทสะเรียกคนปลดขุนนางคนนี้ลากออกไปรับโทษมองเห็นฉากนี้ สีหน้าพวกหนิงเหยียนขุนนางใหญ่หลายคนทะมึนขึ้นนิดๆ หวงเฉิงที่ได้ขันทีพยุงนั่งลงในดวงตาฉายรอยยิ้มหยันจางๆ“ฝ่าบาท” หนิงเหยียนก้าวออกมาเอ่ย “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ นี่เป็นข่าวด่วนที่เพิ่งได้รับมา”เขาเอ่ยค้อมกายหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมา“เฉิงกั๋วกงทวงคืนเมืองเหอเจียนกลับมาได้แล้ว”ได้ยินข่าวนี้บรรยากาศในตำหนักใหญ่เห็นชัดว่าผ่อนคลายลงบ้าง แต่ฮ่องเต้ไม่ตื่นเต้นดีใจอะไร เห็นชัดมากว่าเขารู้ข่าวนี้แล้ว“วัวหายล้อมคอก! ประชาชนที่ตายไปฟื้นกลับมาได้หรือ?” ฮ่องเต้ตบโต๊ะตวาดขึ้น“ฝ่าบาท” หวงเฉิงเสียงสั่น “กองทหารม้าของชาวจินยังไม่ออกจากชายแดน ยังคงตั้งค่ายอยู่ เห็นได้ว่าจิตใจชั่วช้าของเขายังไม่ถดถอย”“ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงนำกองกำลังรับศึกแล้ว มีแนวโน้มว่าจะโจมตีโจรจินล่าถอยได้” หนิงเหยียนเอ่ยต่อทันที ท่าทางจริงจังอยู่บ้าง “ฝ่าบาท เฉิงกั๋วกงทำศึกมานานปีปานนี้ ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย”เขาไม่พูดคำนี้ยังดี ได้ยินคำนี้ฮ่องเต้พิโรธอีกครั้ง“เฉิงกั๋วกงทำศึกมานานปี ข้าเชื่อใจเขา มอบแดนเหนือให้เขา วันนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ นี่คือที่เขาเรียกว่าเฝ้าทวารให้ข้าค่ำคืนไม่นอน ให้ข้าหลับสบายหรือ?” เขาเอ่ย ตบโต๊ะทีหนึ่ง “จูจั้นล่ะ? หิ้วจูจั้นออกมาจากคุก ข้าจะถามเขาสิ พวกเขาพ่อลูกใช่วันๆ หลับอุตุอยู่ที่แดนเหนือหรือไม่?”คำพูดนี้ออกมา หนิงเหยียนที่เดิมถูกตำหนิในดวงตาก็ฉายแววยินดีจางๆ“พ่ะย่ะค่ะ” หนิงเหยียนก้มศีรษะ ซ่อนแววตายินดี เสียงหนักอึ้งเอ่ยย่อมมีขันทีกับองครักษ์รับคำสั่งมุ่งไป ในท้องพระโรงเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ ก็ดังขึ้น“ต้องลงโทษ!”“เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร”“หน้าหนาวปีที่แล้วเจินติ้งเพิ่งเสียหาย นี่เพิ่งนานเท่าไร ก็เสียเหอเจียนอีกแล้ว”“แดนเหนือนี่แข็งแกร่งดุจปราการเหล็กล้อมคูหรือว่าเต็มไปด้วยช่องโหว่กันแน่ฮึ?”ทั่วท้องพระโรงล้วนเป็นเสียงตั้งคำถาม แต่สีหน้าหวงเฉิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กลับไม่น่าดูยิ่งนัก……………………………………….ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่นอกตำหนัก มองดูจูจั้นที่เดินอาดๆ มากับองครักษ์และขันทีจูจั้นยังคงใส่ชุดนักโทษ หนวดเครารกรุงรังทำท่าทางน่าเวทนา แต่ทำอันใดแววตาสุกใสมีชีวิตชีวาของเขาไม่ได้ ขัดแย้งกันจริงๆ“ดูท่าคุกใหญ่ของกรมอาญาอาหารการกินไม่เลวเลยนะ” ลู่อวิ๋นฉีมองเขาเอ่ย “ท่านชายดูเหมือนจะอ้วนขึ้นมาหน่อยแล้ว”จูจั้นมองเขา พลันยกมือตบไปบนหน้าเขาฉาดหนึ่งขันทีองครักษ์ล้วนตกใจสะดุ้งโหยง ใครจะคิดว่าจูจั้นที่ยังสวมชุดนักโทษอยู่นอกตำหนักฉินเจิ้ง ได้ยินคำพูดไม่เข้าหูก็ตบตีคนลู่อวิ๋นฉียกมือขวาง ไม่ได้ให้มือของจูจั้นตกต้องใบหน้าเขาจูจั้นฉีกยิ้มให้เขา เผยฟันขาวสะอาด“ดูสิ ข้ายังเรี่ยวแรงมากอยู่หรือไม่?” เขาเอ่ยเหมือนว่าการกระทำนี้ของตนเองเพียงแค่ตอบประโยคนั้นที่ลู่อวิ่นฉีพูดว่าท่านอ้วนแล้วเท่านั้นลู่อวิ๋นฉีมองเขาที่เข้ามาชิด สีหน้านิ่งสนิทราบเรียบ“ท่านชายโชคดีจริงๆ” เขาเอ่ย “สวรรค์ช่วยท่านเสมอ”จูจั้นสบถทีหนึ่ง ถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาการกระทำนี้ขันทีกับองครักษ์ กระทั่งลู่อวิ๋นฉีก็ไม่มีหนทางขวางใครจะคิดว่าเขาจะถ่มน้ำลายดั่งเช่นเด็กน้อยเล่า ช่าง…“มีแต่เดรัจฉานจริงๆ ได้ยินว่าชาวบ้านชายแดนประสบหายนะประชาชนทุกข์ร้อน ยังคิดถึงเพียงโชคของผู้อื่น” จูจั้นมองลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเย็นชาองครักษ์กับขันทีมองพวกเขาวิตก“ท่านชาย ฝ่าบาททรง…” ขันทีเอ่ยเสียงแหลมเล็กเสียงยังไม่ทันเอ่ยจบ จูจั้นก็สะบัดลู่อวิ๋นฉีออก ก้าวยาวไปทางด้านในตำหนัก“ฝ่าบาท”คนยังไม่ทันเข้าไปข้างใน ก็เร่งเสียงตะโกนขึ้นมาก่อนแล้ว“ข้าถูกใส่ร้าย!”“ฝ่าบาทไม่พบหน้ากระหม่อมอีก กระหม่อมก็คงตายอยู่ในคุกใหญ่แล้ว”คำพูดนี้ตะโกนเหมือนคนใกล้จะร้องไห้ออกมา โศกเศร้าอย่างยิ่งแต่น่าเสียดายในเสียงนี้เรี่ยวแรงมากนัก แทบจะพลิกตำหนักฉินเจิ้ง ไม่เหมือนคนใกล้จะตายคนหนึ่งจริงๆในตำหนักที่เดิมทีบรรยากาศอึมครึมฉับพลันเปลี่ยนกลายเป็นครึกครื้นตามการเดินเข้ามาของจูจั้นลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่นอกตำหนัก หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดน้ำลายที่ถูกถ่มใส่บนหน้าช้าๆ……………………………………….
คอมเม้นต์