Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 102 ลอบปกป้อง
ฝนยิ่งตกยิ่งหนัก ชะล้างกำแพงเทาหม่น เสียงดังสับสนแต่เสียงนี้ไม่ได้รบกวนใจคนให้หงุดหงิด ในคุกหลวงของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือปิดสนิท เสียงด้านนอกไม่ลอยเข้ามา เสียงด้านในก็ไม่อาจลอยออกมาให้คนกลัวในห้องขังที่ลึกที่สุด กลิ่นยาเข้มข้นลอยออกมา ผู้เฒ่าหลังค่อมยืนอยู่ด้านใน แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ให้ยาจูจั้นอีกอาจเป็นเพราะด้านในห้องขังนอกจากองครักษ์เสื้อแพรยังมีขันทีคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย“ท่านชาย ท่านก็ยอมรับผิดเสียเถอะ ไม่ใช่ข้าตำหนิท่าน แต่ครั้งนี้ท่านก่อเรื่องเกินไปแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อย มองดูจูจั้นบนเตียงไม้กระดาน เหมือนกับกำลังกล่อมเด็กคนหนึ่งส่วนจูจั้นที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงไม้กระดานได้ยินประโยคนี้ก็เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยุติธรรม“ข้าก่อเรื่องที่ไหน?” เขาตะโกนโกรธเกรี้ยว ยันร่างขึ้นมา “ข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ๆ หลังจากนี้ข้าจะไม่ยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว สนทำไมม้าตื่นหรือลาตื่น สนทำไมคนจะตายเท่าไร ล้วนโบ้ยมาไม่ถึงบนศีรษะข้า”ขันทีรีบร้อนยื่นมือพยุงเขา“ท่านดูสิท่านดู ท่านนี่อารมณ์ร้ายอะไรกัน พูดดีๆ ไม่ได้หรือ” เขาเอ่ยตำหนิจูจั้นยิ่งโกรธแล้ว“ข้าพูดจาดีๆ มีประโยชน์อะไร” เขาเอ่ย “มีคนฟังคำพูดข้าหรือ? ข้าจะถูกตีตายอยู่แล้ว…”ขันทีรีบยื่นมือตบปลอบเขา“ท่านตะโกนอะไรเล่า นี่ไม่ใช่ให้ท่านพูดจาดีๆ หรือ” เขาเอ่ย “ฝ่าบาทให้ท่านไปกรมอาญา ท่านไปถึงที่นั่นก็พูดจาดีๆ อย่าเป็นแบบนี้อีก”คำพูดนี้ออกมา หัวหน้ากองร้อยเจียงด้านนอกห้องขังคิ้วขมวดไปคุกใหญ่ของกรมอาญาก็พ้นจากการควบคุมของพวกเขาองครักษ์เสื้อแพรแล้ว คนของกรมกลาโหมรวมถึงคนที่ปกป้องเฉิงกั๋วกงย่อมสอดมือได้แล้วฮ่องเต้เร็วขนาดนี้ก็ตกลงส่งจูจั้นไปกรมอาญาแล้ว?นี่เพิ่งไม่กี่วัน เฉิงกั๋วกงเส้นสายในราชสำนักไม่น้อยจริงๆก่อนหน้านี้ตนเองก็รู้จักหลบเลี่ยงจึงซ่อนงำกำลังไว้ ครั้งนี้เพื่อบุตรชายไม่สนมากมายปานนี้แล้วนี่เป็นโอกาสรวบพรรคพวกของเฉิงกั๋วกงให้หมดคราวเดียว“ใต้เท้า…” เขาหันหน้าเอ่ยลู่อวิ๋นฉีที่คล้ายกลืนเป็นเนื้อเดียวกับกำแพงหลังร่างเขา ยกมือให้เขา หัวหน้ากองร้อยเจียงกลืนคำพูดกลับไป ฟังเสียงโวยวายของจูจั้นด้านในต่อจูจั้นเหมือนไม่ได้สนใจว่าไปถึงกรมอาญาหมายความว่าอย่างไร ยังคงโมโหมาก“ข้าไม่ได้พูดจาดีๆ ยังไง?” เขาตะโกน คนก็พรวดลุกขึ้นมาจากเตียงไม่รู้ว่านอนคว่ำนานเกินไปหรืออาการบาดเจ็บบนร่างหนักเกินไป ร่างกายโงนเงนหวิดจะล้มคุกเข่ากับพื้นในห้องขังเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายของขันทีดังขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงร้องประหลาดแหบพร่าก็ดังขึ้นด้วย“ท่านชาย ท่านระวังหน่อย” ขันทีตะโกนเกินจริง คนก็ไปพยุงมีคนเร็วยิ่งกว่าเขา มือผอมแห้งประหนึ่งกิ่งไม้คู่หนึ่งคว้าจูจั้นไว้ขันทีตกใจสะดุ้งโหยงราวกับกลัวถูกมือเช่นนี้แตะ รีบร้อนถอยหลัง ท่าทางรังเกียจอยู่บ้าง“ท่านถึงกับลงจากเตียงได้แล้ว” เขาก็ตะโกนเกินจริงจูจั้นสะบัดมือเขาออก แม้ยังโงนเงนอยู่บ้าง ร่างกายกลับยืนตรง“แค่ไม่กี่ทีของพวกเจ้านั่น ข้าจะพิการได้รึ?” เขาแค่นเสียงเอ่ยตาเฒ่าผีไม่ได้สนใจเขา เพียงดวงตาเป็นประกายประเมินเขา ประหนึ่งมองสมบัติประหลาดล้ำค่าอะไร“ยาของคุณหนูจวินถึงกับสุดยอดปานนี้เชียว” เขาเอ่ยคำพูดนี้จูจั้นไม่ชอบฟังแล้ว“อะไรเรียกยาของนางสุดยอด?” เขาเลิกคิ้วเอ่ย “เป็นข้าสุดยอดชัดๆ”ตาเฒ่าผียังคงไม่สนใจเขา วนรอบเขามองดู พลันยื่นมือคว้าผ้าคาดเอวของจูจั้น“ให้ข้าดูแผลหน่อย ทำไมหายเร็วปานนี้” เขาพึมพำเอ่ย “ที่แท้ยาอะไร ข้าอยากดมสักหน่อย ชิมสักหน่อย…”คำพูดเขายังพูดไม่ทันจบ มือเพิ่งแตะถูกผ้าคาดเอวของจูจั้นก็ถูกจูจั้นหนึ่งเท้าถีบไปถึงมุมกำแพง“โว้ย ตอนนี้ใครๆ ก็ถอดกางเกงข้าได้แล้วรึ?” เสียงด่าของจูจั้นกังวานก้องในห้องขังขันทียื่นมือลูบหน้าผาก“ท่านชาย ท่านรีบนั่งลงเถอะ” เขากังวลใจเอ่ยเมื่อครู่การเคลื่อนไหวหนึ่งเท้านั้นเห็นชัดว่ากระเทือนถูกแผลของจูจั้นแล้ว เขาส่งเสียงซี๊ดหลายที นั่งลงตามการประคองของขันทีไปโดยไม่รู้ตัว เพิ่งแตะถูกเตียงก็กระโดดขึ้นมาอีก“ข้าบาดเจ็บจนเป็นอย่างไรแล้วยังจะนั่งอะไรอีก! “ เขาตะโกนเจ้าบาดเจ็บจนเป็นอย่างไรแล้ว? ขันทีถลึงตามองเขา ยื่นมือนวดใบหู อย่างน้อยก็กำลังมากพอ เสียงดังกังวาน“ไม่นั่งแล้ว” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่บอกว่าจะไปกรมอาญารึ? ไป ไป ไป”พูดจบก็โขยกเขยกเดินไปข้างนอกคนแรก ขันทีรีบตามไปเดินถึงนอกห้องขังมองเห็นลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ที่นี่ เท้าของจูจั้นหยุดชะงักลง ลู่อวิ๋นฉีก็ไม่ได้เอ่ยห้าม ร่างกายถอยกลับไปหลีกทางให้ มองจูจั้นจูจั้นไม่มองเขาสักหนเดินผ่านไปแล้ว“ใต้เท้า…” หัวหน้ากองร้อยเจียงมองจูจั้นเดินออกไป ไม่ยินดีอยู่บ้าง “จะปล่อยเขาไปเช่นนี้หรือขอรับ? เรื่องนี้จะแล้วกันไปอีกหรือขอรับ?”ลู่อวิ๋นฉีขานอือ“คนเล่า?” เขาเอ่ยถามหัวหน้ากองร้อยเจียงอึ้งไปนิดหนึ่ง ยื่นมือชี้ประตูห้องขัง“ไปแล้วขอรับ” เขาเอ่ย“ข้าหมายถึงคุณหนูจวิน” เขาเอ่ยที่แท้ยืนอยู่ตรงนี้คิดถึงคุณหนูจวินอยู่ตลอดหรือ? หัวหน้ากองร้อยเจียงอึ้งไปนิดหนึ่ง“ออกจากเมืองหลวงแล้วขอรับ” เขารีบร้อนเอ่ย ชะงักนิดหนึ่ง “คนของพวกเราก็ตามไปแล้ว จะหาโอกาสจับนางไว้ ใต้เท้าโปรดวางใจ”“ไม่ต้องหาโอกาส” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย มุมปากขยับนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้ม “ใครก็รู้ว่าเป็นข้าทำ แล้วอย่างไร”ทำให้คนผู้หนึ่งหายไปหาไม่พบ องครักษ์เสื้อแพรย่อมทำได้ไม่ยอมรับ ไม่มีหลักฐาน ใครจะทำอย่างไรได้?หัวหน้ากองร้อยเจียงขานรับ เพิ่งถอยออกไปก็มีองครักษ์เสื้อแพรรีบร้อนเข้ามา สีหน้าเขาวิตกอยู่บ้าง สีหน้าลังเลครู่หนึ่ง เดินมาถึงหน้าร่างหัวหน้ากองร้อยเจียงกระซิบแผ่วเบาหลายประโยคสีหน้าหัวหน้ากองร้อยเจียงเปลี่ยนไปทันที ด่ามารดามันเสียงเบาคำหนึ่ง กำลังจะเอ่ยปากกับลู่อวิ๋นฉี ลู่อวิ๋นฉีก็เอ่ยปากก่อน“เป็นจูจั้นสินะ?” เขาเอ่ยคำพูดนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่หัวหน้ากองร้อยเจียงที่คุ้นชินแล้วกลับฟังเข้าใจ“ใช่ขอรับ” เขาเอ่ย “เป็นหลี่ซานปิงพาคนมาขวางคนของพวกเรา ต้องเป็นเขาจัดการแน่ แต่ใต้เท้าวางใจ พวกเราจะส่งคนไปเพิ่ม…”“ช่างเถอะ” ลู่อวิ๋นฉียกมือขัดเขา สีหน้านิ่งสนิท “ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักหน่อย ไม่รีบร้อนตอนนี้”…รองเท้าหนังข้างหนึ่งเตะหินก้อนหนึ่งทีหนึ่งเพราะหลายวันก่อนฝนตกดินอ่อนนุ่ม ก้อนหินจึงกลิ้งลงไปทันทีเสียงสบถทีหนึ่ง ซื่อเฟิ่งลุกขึ้นยืน ถ่มหญ้าก้านหนึ่งในปากออกมา หมุนตัวมองบรรดาพี่น้องด้านหลัง“เจ้าพวกไม่ได้เรื่องฝูงนั้นกลัวแล้ว” เขาเอ่ย “ถอยหลับไปหมดแล้ว”จางเป่าถังโคลงศีรษะ ขยับหัวไหล่แขนนิดหนึ่ง ส่งเสียงใสกังวาน“นี่ก็คือแข็งนอกอ่อนในอะไรนั่นใช่ไหม?” เขาเอ่ยซื่อเฟิ่งยื่นมือผลักหัวเขาทีหนึ่ง“บอกแล้วให้เจ้าอ่านหนังสือมากเข้า แข็งนอกอ่อนในอะไรเล่า” เขาเอ่ยจางเป่าถังยิ้มซื่อบื้อลูบศีรษะ“พวกเรายังเฝ้าอีกไหม?” เขาเอ่ยถามซื่อเฟิ่งมองไปยังทิศของเมืองหลวง ตบร่างกายลุกขึ้นมา“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอ่ย “พี่รองบอกว่าหากคนของลู่อวิ๋นฉีที่อยู่ใกล้ๆ เมืองหลวงถอยกลับไปแล้ว นั่นก็ไม่ต้องกังวลใจแล้ว พวกเขาต้องไปคิดวิธีอื่นแล้วแน่นอน”……………………………………….
คอมเม้นต์