Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 81 การลอบสังหารพลีชีพ
คนมักปรารถนาความงามเสมอ จิตใจรักชอบคนงามผู้คนล้วนมีใต้เท้าน้อยหวงก็เป็นคนที่ชื่นชมและรักถนอมคนงามมากผู้หนึ่ง“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยนเป็นมิตร “รีบลุกขึ้นเถอะ”เขาไม่ได้ก้าวเข้าไปประคองเด็กสาวคนนี้ เช่นนั้นย่อมไม่ใช่กิริยางดงามอะไร ได้แต่ทำให้เด็กสาวคนนี้ยิ่งกลัวเด็กสาวได้ยินประโยคนี้ราวกับไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง เงยศีรษะขึ้นมองทีหนึ่งอย่างขลาดๆเงยหน้าครั้งนี้ทำให้ใต้เท้าน้อยหวงยิ่งอุทานเอ่ยชมสายตาของตนเองแล้วเป็นคนงามคนหนึ่งจริงๆเขามองตะกร้าที่กลิ้งอยู่บนพื้น ก้มตัวหิ้วขึ้นมา“น่าเสียดายนักตกหมดแล้ว” เขาเอ่ย “รีบรับไปเถอะ”พูดคำนี้ก็เดินเข้ามาหลายก้าว ส่งตะกร้าให้เด็กสาวผู้นี้รสนิยมของใต้เท้าน้อยหวงบรรดาผู้ติดตามล้วนรู้ มองความคิดในใจของเขาออกทันที ล้วนพากันเผยรอยยิ้มมีเลศนัยเช่นกันเด็กสาวหวาดกลัวอยู่บ้างทั้งเต็มไปด้วยความขอบคุณ“ขอบคุณนายท่าน” นางเอ่ยเสียงสั่น ยื่นมือน้อยขาวนุ่มนิ่มรับตะกร้าไปใต้เท้าน้อยหวงไม่ได้ปล่อยมือ แต่ออกแรงดึงเด็กสาวคนนี้ขึ้นมาเด็กสาวมึนๆ งงๆ ถูกดึงขึ้นมา ประหนึ่งยังไม่ทันได้สติ คนก็ถูกใต้เท้าน้อยหวงผู้จับตะกร้าอยู่ดึงมาถึงตรงหน้าแล้ว“ขนมแป้งม้วนของเจ้านี่ขายยังไงหืม?” ใต้เท้าน้อยหวงยิ้มเอ่ยถามเด็กสาวเงยหน้ามองเขา ข้างในดวงตาดั่งสายธารฤดูใบไม้ร่วงมีความสับสน ความไม่เข้าใจแล้วยังมีความขอบคุณเหตุการณ์ที่ได้คนสูงศักดิ์ปฏิบัติอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ เด็กสาวทุกคนล้วนปรารถนาล่ะนะ“สองชิ้น…เงิน…หนึ่ง…” เด็กสาวเอ่ยติดอ่างใต้เท้าน้อยหวงไม่สนใจคำพูดที่นางเอ่ย เงินเป็นเรื่องที่เขาสนใจหรือ? เขาสนใจเพียงคนเท่านั้น มือของเขากวักไปข้างหลัง รอเด็กสาวคนนี้เอ่ยจบ เขาก็จะเอาเงินให้เด็กสาวคนนี้ตามใจ ค่อยถือโอกาสไปที่บ้านเด็กสาวคนนี้ซื้อขนมแป้งม้วนสักหน่อย…รวมถึงซื้อคนผู้นี้ด้วยส่วนอีกฝ่ายยอมไม่ยอมขาย นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายตัดสินใจได้เงินส่งมาถึงตรงหน้าไม่เอา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถนอมลาภแล้วเสียงอ่อนหวานข้างหูยังคงโพล่งคำสุดท้ายออกมาต่อ“…หนึ่งแผ่น”บนหน้าใต้เท้าน้อยหวงผุดรอยยิ้ม ศีรษะก็หันหลังกลับไป“ใครมา..” เขาเอ่ย คำพูดเพิ่งออกจากปาก ปลายหางตาก็มีแสงสีขาวฉายวูบ ตามติดด้วยเด็กสาวคนนั้นโถมเข้ามาแย่แล้ว!เขายกมือขึ้นขวางโดยไม่ทันคิดความเจ็บแปลบทะลุผ่านฝ่ามือ แทงเข้าในลำคอความเจ็บปวดสาหัสทำให้เขาหน้ามืด ตรงหน้าคือดวงหน้าอำมหิตของเด็กสาวขยายใหญ่ลอบสังหาร!ใต้เท้าน้อยหวงความคิดหนึ่งแล่นผ่านไป มือกุมลำคอไว้แน่น ส่งเสียงกรีดร้องทีหนึ่งกลับกลืนลงไปเลือดพุ่งกระเซ็นทันทีเด็กสาวคนนั้นก็โถมล้มตามเขาไป รอยเลือดพุ่งเปรอะบนหน้าของนาง ทำให้ดวงหน้าที่เปลี่ยนโฉมไปนั่นแลดูยิ่งน่าหวาดกลัว แววตาบ้าคลั่ง ประหนึ่งเหยี่ยวที่ตะปบเหยื่อไว้ได้บางทีอาจเพราะสังหารคนครั้งแรก เห็นเลือดครั้งแรก นางจึงส่งเสียงกรีดร้อง แต่มือกลับกำกริชแน่นไม่ยอมปล่อยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เร็วเกินไปแล้ว คนรอบด้านล้วนไม่ทันได้ตอบสนอง ใต้เท้าถังที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดรู้สึกเพียงสองหูดังวิ้งๆ มองเห็นใต้เท้าน้อยหวงล้มอยู่ข้างเท้า เลือดพุ่งกระเซ็นลงบนชุดขุนนางของเขาฆ่าคนแล้ว!ใต้เท้าถังร้องตะโกนเสียงแหบพร่า“ฆ่าคนแล้ว!”เมื่อด้านหน้าเสียงร้องตะโกนดังขึ้น หลิ่วเอ๋อร์ผู้กำลังเคี้ยวผลไม้เคลือบน้ำตาลกรุบๆ อยู่ ได้ยินคำนี้ก็สติหลุดวูบหนึ่งกัดบนแท่งไม่ไผ่ หวิดฟันหักฆ่าคนแล้ว….เด็กสาวคนนั้นสินะไปฆ่าคน แล้วก็ฆ่าตัวตายด้วยไปตายอย่างที่คิดจริงๆ…คุณหนูจวินมองถนนด้านหน้า ถนนทั้งเส้นประหนึ่งหม้อน้ำเดือดเดือดพล่านขึ้นมาเมื่อคุณหนูจวินกับหลิ่วเอ๋อร์วิ่งเข้ามาก็เบียดเข้ามาไม่ได้แล้วด้านหน้าผู้คนขยับเบียดเสียดเอะอะวุ่นวายไปหมด“รีบเรียกหมอ!”“ยกขึ้นมา!”“ไม่ต้องยก!”“นายท่าน!”เวลาสั้นๆ ปานนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นล้วนแพร่ออกไปแล้ว“เด็กสาวคนหนึ่งลอบสังหารใต้เท้าน้อยหวง”“ใครกัน?”“ถูกฆ่าแล้วหรือ?”หลิ่วเอ๋อร์กัดนิ้วหัวแม่มือเขย่งเท้ามองด้านหน้า แน่นอนสิ่งใดล้วนมองไม่เห็นตัดสินใจแน่วแน่พลีชีพลอบสังหารอย่างที่คิดจริงๆคุณหนูจวินไม่ได้เขย่งเท้ามองดู เพียงแค่คิดเงียบๆหวงเฉิงเรื่องบ้านเมืองเป็นคนที่เข้าท้องพระโรงถวายฎีกาเรียกว่าขอราชโองการ เบื้องบนตัดสินเสร็จสิ้นเรียกว่ารับราชโองการ ออกจากท้องพระโรงสั่งคนดำเนินการ เรียกว่าได้รับราชโองการแล้ว[1]ดูไปแล้วทำสิ่งต่างๆ มามากมาย ที่จริงเรื่องใดล้วนไม่เคยทำได้ภาพลักษณ์สุขุมซื่อตรง ที่จริงกลิ้งกลอกทั้งยังจิตใจคับแคบนี่ไม่ใช่แค่คำพูดที่ตอนนั้นลู่อวิ๋นฉีเคยพูดกับนางลับๆ ตอนนั้นพระอัยกาก็เคยเอ่ยเช่นกันเวลานั้นนางยังเล็ก ยามพระอัยกากับพระบิดาหารือเรื่องบ้านเมืองจะให้นางคลานเล่นอยู่ที่หัวโต๊ะที่นางจำสิ่งนี้ได้ ก็เพราะเวลานั้นนางได้ยินพวกเขาเอ่ยวิจารณ์หวงเฉินเช่นนี้ สงสัยจึงสอดขึ้นประโยคหนึ่ง ในเมื่อขุนนางใหญ่คนนี้ไม่มีประโยชน์เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นจะเก็บเขาไว้ทำไมเล่า?“เพราะบางเวลาก็ต้องการคนเช่นนี้น่ะ” พระอัยกายิ้มตาหยีเอ่ยแต่ ต้องการหรือ?“เป็นใครต้องการเล่า?”เมื่อพระอัยกาออกไปจากที่นี่ ถูกพระบิดาจับจูงเดิน นางก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจพระบิดาที่จูงมือนางอยู่ยิ้มลูบจมูกนางทีหนึ่ง“จิ่วหลิงร้ายกาจจริงๆ ถึงกับเอ่ยถามคำที่ทำให้คนฉุกคิดตะลึงเช่นนี้” เขาเอ่ยงั้นหรือ?“ขุนนางใหญ่เช่นนี้ ใครต้องการเล่า?”พระบิดาที่สวมชุดพิธีการขององค์รัชทายาทแหงนหน้ามองไป ยิ่งแลดูสูงผอม จิ่วหลิงตัวน้อยได้แต่มองคางที่ขยับขึ้นลงของเขา มองสีหน้าเขาไม่ชัด“เป็นราชสำนักต้องการ? หรือประชาชนต้องการ? นี่ถึงเป็นกุญแจสำคัญของคำถาม”เรื่องของราชสำนักเหล่านี้นางองค์หญิงคนหนึ่งทั้งยังเป็นเด้กน้อยไม่สนใจหรอก ไม่นานนางก็มองเห็นผีเสื้อตัวหนึ่งบินผ่านข้างทาง ไล่ตามไปอย่างสนุกสนานแล้วแน่นอน ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว เข้าใจความหมายของพระบิดาแล้วหวงเฉิงคนเช่นนี้สำหรับฮ่องเต้แล้วมีประโยชน์ ที่จริงก็เหมือนกับลู่อวิ๋นฉี บางครั้งฮ่องเต้ก็ต้องการขุนนางที่ทำตามเจตนาของพระองค์เองโดยไม่สนถูกผิดอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้มาทำงานให้ตนจนสำเร็จโดยสะดวก ส่วนการมีอยู่ของขุนนางเช่นนี้มีหรือไม่มีผลประโยชน์กับราชสำนัก กับประชาชน หาได้สนใจไม่พระบิดาขบคิดแล้วก็เลือกแล้ว เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสได้ทำฉีอ๋องก็ขบคิดแล้วนอกจากนี้มีโอกาสได้เลือก ดังนั้นหวงเฉิงที่เดิมทีควรถูกปลดออกจึงเป็นขุนนางต่อ นอกจากนี้ตำแหน่งในสภาอำมาตย์ก็ยิ่งสำคัญขึ้นทุกทีฮ่องเต้ให้ความสำคัญทำให้กิเลสส่วนตัวของคนยิ่งพวยพุ่ง ลูกชายของหวงเฉิงก็กลายเป็นคนที่หนักยิ่งกว่าคนพ่อฉากหน้าแสร้งมีศิลธรรม แต่ทำชั่วซื้อตำแหน่งขายตำแหน่งใช้อำนาจรับสินบนข่มเหงผู้ที่ไม่ทำตามขุนนางที่ถูกส่งลงหลุมในมือเขานับไม่ถ้วนคุณหนูจวินคิดถึงเด็กสาวคนนั้นที่เห็นเมื่อครู่ บางทีคงเป็นครอบครัวของขุนนางที่ถูกข่มเหงคนไหนกระมังถูกให้ร้ายจนตระกูลล่มคนตายสิ้นไร้หนทาง ก็เหมือนตนเองตอนนั้นที่คิดเพียงจะตกตายไปกับศัตรูเท่านั้น“เป็นแม่นางคนหนึ่งสังหารคน?”“ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”หูได้ยินเสียงแผ่วเบาของชาวบ้านลอยมายังมีชีวิตอยู่ไหม? บางทีคงไม่ตายตอนนี้ อาจเหลือไว้สอบสวนคนร้าย แต่อนาคตคงมีชีวิตรอดไม่ได้แน่นอนท่ามกลางเสียงแผ่วเบานี้ถึงขนาดปรากฏคำที่ไม่เหมาะสมแก่กาลเทศะบางอย่างออกมา“…น่าเสียดายเกินไปแล้ว…”น่าเสียดาย? น่าเสียดายที่ใต้เท้าน้อยหวงถูกสังหารหรือที่แม่นางคนนั้นสังหารคนแล้วต้องตาย?คุณหนูจวินมองชาวบ้านรอบด้าน พบว่าแม้ดูไปแล้วหวาดผวานัก แต่ในดวงตาทุกคนล้วนซ่อนความตื่นเต้นและยังมีความยินดีไว้“ขุนนางชาติสุนัขคนนี้ในที่สุดก็จะตายแล้ว”นางถึงกับมองเห็นสตรีผู้หนึ่งริมฝีปากขมุบขมิบกัดฟันเอ่ยไร้เสียง……………………………………….[1]เข้าท้องพระโรงถวายฎีกาเรียกว่าขอราชโองการ เบื้องบนตัดสินเสร็จสิ้นเรียกว่ารับราชโองการ ออกจากท้องพระโรงสั่งคนดำเนินการเรียกว่าได้รับราชโองการแล้ว (以其上殿进呈,曰取圣旨;上可否讫,云领圣旨;退谕禀事者,曰已得圣旨也。) สมัยซ่งเหนือยามหวังกุยเป็นอัครเสนาบดี น้อยนักจะมีความเห็น ผู้คนจึงกล่าวถ้อยคำนี้เสียดสีว่าเขาเป็นขุนนางใหญ่ที่ไร้ความสามารถ
คอมเม้นต์