Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 79 บางทีอาจมี
เฉินชีเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงเกือบหนึ่งปีแล้ว ขุนนางใหญ่ชนชั้นสูงเขาท่องจำจนขึ้นใจแล้ว หวงเฉินมหาบัณฑิตแห่งสภาอำมาตย์หนึ่งในสามมหาอำมาตย์ เขาย่อมรู้จักแต่ขุนนางชั้นสูงเช่นนี้เขายังไม่เคยพบมาก่อนคนข้างทางแค่นเสียงหยัน“มหาบัณฑิตหวงเดินไม่ไหวตั้งนานแล้ว นั่นเป็นลูกชายของเขา ใต้เท้าน้อยหวง”เฉินชีประหลาดใจมาก“ใต้เท้าน้อยหวงถึงกับใช้กองทหารเกียรติยศของมหาบัณฑิตหวงได้ด้วยหรือ?” เขาเอ่ย“ใช่แค่ใช้กองทหารเกียรติยศที่ไหนเล่า เขาแทนที่บิดาเขาแล้ว เรื่องในสภาอำมาตย์เขาก็รับหน้าที่” คนข้างทางเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าหวงหกล้มขาเจ็บเดินไม่ได้กลับไม่ยอมขอลาออก ถึงกับให้ลูกชายของเขาแทนที่เขา”เฉินชีถลึงตา“ทำอย่างนี้ได้ด้วย?” เขาเอ่ย “ฮ่องเต้ถึงกับเห็นด้วย?”“ฮ่องเต้เมตตาอารีน่ะ ปฏิบัติต่อขุนนางชราดีเป็นพิเศษ” คนข้างทางถอนหายใจเอ่ยแล้วโบกมือ ท่าทางระวังอยู่บ้าง “เรื่องของใต้เท้าน้อยหวงอย่าพูดมากล่ะ พูดไม่ได้”พูดจบก็หดหัวรีบจากไปอย่างว่องไวใต้เท้าน้อยหวงผู้นี้น่ากลัวปานนั้นเชียวหรือ?เฉินชีมองไปยังถนนเสด็จพระราชดำเนินด้านนั้นอีกครั้งถูกชาวบ้านหวาดกลัวย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงดีงามอะไร ใต้เท้าน้อยหวงผู้นี้ดูไปแล้วไม่เหมือนคนที่ฮ่องเต้ผู้เมตตาอารีน่าจะให้อภิสิทธิ์นะ“ผู้ดูแลใหญ่ชี เจ้ายังไม่รู้สินะ ใต้เท้าน้อยหวงคนนี้ก็สารเลวเช่นกัน” พนักงานคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาข้างกายเขา “องครักษ์เสื้อแพรน่ะโหดร้าย ส่วนเขาน่ะเล่ห์ร้าย พูดง่ายขึ้นหน่อยคือใต้เท้าน้อยหวงเชี่ยวชาญการใส่ร้าย ส่วนองครักษ์เสื้อแพรเชี่ยวชาญการทำให้การใส่ร้ายเป็นเรื่องจริง”ถึงกับเป็นคนเช่นนี้?เฉินชีถลึงตาโต“ใช่แล้ว ว่ากันว่าขุนนางจบชีวิตในมือองครักษ์เสื้อแพรมากมาย ที่จริงกว่าครึ่งนั้นล้วนขอบคุณใต้เท้าน้อยหวงประทานให้” พนักงานอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาน่ากลัวเช่นนี้!เฉินชีถลึงตาอีกครั้ง“ยังดีพวกเราไม่ใช่ขุนนาง คงไม่มีเรื่องกับเขา” เขาตบหน้าอกเอ่ย “พวกเรารีบกลับไปทำยากันเถอะ”เฉินชีพาเหล่าพนักงานเดินไปตามถนน คนบนถนนก็พากันแยกย้ายจากไป ระหว่างที่คนผู้นี้มาแล้วไป ไม่มีใครสังเกตตรงมุมกำแพงด้านหนึ่ง เด็กผู้หญิงอายุสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่งสวมเสื้อขาวทั้งร่างยืนก้มศีรษะอยู่ ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิดูไปแล้วดั่งกิ่งหลิวอ่อนแอสายตาของนางตั้งแต่ต้นจนจบมองไปยังทิศทางของถนนเสด็จพระราชดำเนิน ราวกับตั้งตาคอยทั้งราวกับว่างเปล่าไร้แววส่วนอีกด้านหนึ่งใต้เท้าน้อยหวงที่เดินทางมาถึงถนนเสด็จพระราชดำเนินก็กำลังมองถ้วยฝาปิดที่องครักษ์ส่งมา“เป็นอะไร?” เขาเอ่ยถามถ้วยฝาปิดถูกเปิดออก ไม่มีกลิ่นหอมฟุ้งออกมา ตรงกันข้ามแสงส่องประกายเข้ามาในสายตาใต้เท้าน้อยหวงเพียงอึ้งนิดหนึ่ง ผู้รอบรู้กว้างขวางอย่างเขาก็ฟื้นสติ“ทรายทองนี่เอง” เขาเอ่ย ยื่นมือหยิบนิดหนึ่งขึ้นมาจากในนั้น ทรายทองใต้แสงตะวันไหลร่วง “น้ำแกงนี้บำรุงคนจริงๆ”แต่น้ำแกงนี้ย่อมไม่ใช่คนที่บอกว่าตนเองมาจากตระกูลยากจน มารดาชราป่วยหนักกระเสือกกระสนพอกินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่จะทำได้ไม่รู้ว่านี่ปล้นสะดมผู้คนมาเท่าไรถึงเอามาได้แน่นอนเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ใต้เท้าน้อยหวงหาสนใจไม่“หลี่ชงคนนี้ไม่เลว” เขาเอ่ย ปิดฝาถ้วย “กลับไปดูสิว่าตรงไหนตำแหน่งว่าง เติมเขาเข้าไปสักคน คัดลอกหนังสืออยู่ที่กรมขุนนางลอกมานานปีขนาดนี้ก็น่าสงสารอยู่”องครักษ์เก็บถ้วยฝาปิดไปขานรับทราบ“ใต้เท้าหวง”มีคนร้องเรียกอีกครั้งเสียงครั้งนี้ดังมาจากด้านหน้า ใต้เท้าหวงมองไป เห็นขุนนางอายุสามสิบกว่าปีใบหน้าผอมแห้งเส้นผมดำคนหนึ่งก้าวเร็วไวมา หลังร่างขุนนางชั้นผู้น้อยติดตามสองคน ในมือขุนนางชั้นผู้น้อยต่างประคองหีบใบหนึ่ง ดูไปแล้วกินแรงนัก“ใต้เท้าถัง” ใต้เท้าน้อยหวงเอ่ยขึ้น “ทำไมมาเวลานี้เล่า?”“เกินไปแล้วจริงๆ” ใต้เท้าถังเอ่ย สีหน้าชิงชัง “ฏีกากล่าวโทษเฉิงกั๋วกงของพวกเราสำนักฏีกา[1]ถูกใต้เท้าเหอขวางไว้อีกแล้ว”ใต้เท้าน้อยหวงร้องอ้อทีหนึ่ง ยื่นมือตบพุง“ท่านลุงเหออายุมากแล้ว” เขาเอ่ย “คนอายุมากสมองก็เพี้ยนง่าย”คิดอะไรได้ก็ร้องเอ๋ทีหนึ่ง“ลู่อวิ๋นฉีเล่า? ฝั่งเขาด้านนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวหรือ?”ฎีกาของลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่มีคนขวางได้ใต้เท้าถังยิ่งสีหน้ารังเกียจ“ใต้เท้าลู่ตอนนี้ยุ่งเสวยสุขกับคนงามอยู่” เขาเอ่ย “งานการล้วนไม่ทำแล้ว”ใต้เท้าน้อยหวงหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา“ยังก่อกวนคุณหนูจวินคนนั้นอยู่อีกเรอะ” เขาเอ่ย “ไหนเลยต้องเปลืองแรงปานนั้น แย่งคนมาเสียตรงๆ ไม่ใช่ก็ได้แล้วรึ ยังรักหยกถนอมบุปผาเล่นละครเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจอะไร เป็นเด็กน้อยที่ซื่อตรงคนหนึ่งจริงๆ”ผู้ที่วิจารณ์ลู่อวิ๋นฉีว่าเป็นเด็กน้อยที่ซื่อตรงคงมีเพียงใต้เท้าน้อยหวงแล้วใต้เท้าถังคร้านจะสนใจเรื่องชายหญิงเหล่านี้ พยักหน้าหลายทีก็รีบพูดธุระของตนเองต่ออีกครั้งทันที“ใช่ไหมเล่า” เขาเอ่ย “เขาไม่สนการงาน ใต้เท้าเฒ่าเหอจึงมือเดียวปิดฟ้า ถึงกับบอกว่าที่พวกเรากล่าวโทษเฉิงกั๋วกงสมคบกับชาวจินเป็นเรื่องโง่เง่าน่าขำ บอกว่าเอาไปถวายหน้าพระพักตร์น่าขายหน้า”พูดถึงตรงนี้โกรธเกรี้ยวจนหน้าดำๆ แดงไปหมด เห็นได้ว่าเมื่อครู่ถูกถากถางมาไม่เบา“บอกว่าพวกเราผู้ตรวจการต้องฟังข่าวถวายฎีกา ไม่ใช่ฟังเสียงหมาเห่า” เขาเอ่ยชิงชังใต้เท้าน้อยหวงสีหน้าเห็นใจ“นี่ย่อมไม่ดีแล้ว ทำไมด่าคนเสียเล่า?”เขาเอ่ย“ใช่แล้ว จะไม่มีหลักฐานได้อย่างไร? นี่เป็นข่าวที่แถบเหนือส่งกลับมา มีคนมากมายนักเคยพูด” ใต้เท้าถังเอ่ยชิงชังใต้เท้าน้อยหวงพยักหน้าอีกครั้ง“บางทีอาจมี ก็ย่อมมีไหมเล่า” เขาเอ่ย พลางยื่นมือออกมา “มา ฎีกามอบให้ข้า ข้าจะไปทูลกับฝ่าบาท ใช่เรื่องโง่เง่าน่าขำหรือไม่ ควรเป็นฝ่าบาทตัดสินพระทัย พวกเราจะแย่งเขียงเข้าครัวแทนได้อย่างไรเล่า”ใต้เท้าถังยินดียิ่ง โบกมือให้ขุนนางผู้น้อยหลังร่างทีหนึ่ง“เอามา” เขาเอ่ยขุนนางผู้น้อยสองคนรีบก้าวเข้ามาก้มศีรษะยกหีบขึ้นใต้เท้าน้อยหวงเหมือนประหลาดใจนัก“มากปานนี้?” เขาเอ่ย แล้วส่ายศีรษะจิ๊ปาก “หนึ่งคนพูดเป็นการใส่ร้าย สองคนพูดเป็นการใส่ร้าย คนมากมายปานนี้พูด นั่นย่อมเป็นจริง…”เขามองไปทางองครักษ์ด้านหลัง“ขนเข้าไปเช่นนี้คงดูไม่ดี พวกเจ้าเก็บไว้ก่อน ข้าจะเปรยกับฝ่าบาทก่อน ให้ฝ่าบาทเห็นมากมายปานนี้ ใยไม่ทรงเสียพระทัย”บรรดาองครักษ์ขานรับลงจากม้ารับหีบไปหน้าดำๆ ของใต้เท้าถังในที่สุดก็เผยรอยยิ้ม เบี่ยงกายหลีกทางคำนับใต้เท้าน้อยหวง น้อมส่งเขาผ่านไปถึงเหยียดกายตั้งตรง“ตาแก่หนังเหนียว ดูสิเจ้ายังทำอย่างไรได้” เขามองไปทางกรมที่เพิ่งเดินออกมา เอ่ยอย่างชิงชัง…เมื่อแสงตะวันบ่ายเอน คุณหนูจวินเดินมาถึงหน้าประตูตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง“คุณหนูเป็นบ้านนี้หรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์หิ้วห่อกระดาษห่อหนึ่งเอ่ยขึ้นคุณหนูจวินพยักหน้าหลิ่วเอ๋อร์ยิ่งดีใจก้าวเข้าไปตบประตูประตูขานรับเปิดออก ยามเฝ้าประตูผู้ใบหน้าเป็นมิตรคนหนึ่งมองข้ามมา“แม่นาง ท่านมาหาใคร?” เขาเอ่ยถาม“ข้ามามอบยา” หลิ่วเอ๋อร์ยกห่อกระดาษในมือเอ่ยขึ้นยามเฝ้าประตูอึ้งไป เคยได้ยินแต่มอบของขวัญ ไม่เคยได้ยินมอบยามาก่อน คนผู้นี้หาเรื่องถูกตีหรือไง จากนั้นมองเห็นคุณหนูจวินด้านหลังร่างหลิ่วเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เสียงดังปังประตูปิดลงหลิ่วเอ๋อร์หวิดถูกกระแทกเข้าจมูก ร้องทันที“เจ้าทำอะไร?” นางตะโกน “ยาที่ตระกูลพวกเจ้าซื้อ ไม่เอาแล้วเรอะ?”“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ขอบคุณ พวกท่านรีบไปเถอะ” ด้านหลังประตูเสียงสั่นๆ ของยามเฝ้าประตูลอยมา“เฮ้ ถ้าอย่างนั้นเงินพวกเราไม่คืนนะ” หลิ่วเอ๋อร์ตะโกนบอก“ไม่ต้องคืน ไม่ต้องคืน” ยามเฝ้าประตูเอ่ยทันทีหลิ่วเอ๋อร์หมุนตัว แย้มรอยยิ้ม“คุณหนูนี่ดีนัก ได้กำไรแล้ว” นางเอ่ยยามเฝ้าประตูคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้ หวิดหน้าคว่ำบนประตูสาวใช้คนนี้สมองเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่ ได้กำไรอะไรเล่า ยังดีใจอีก รอไม่มีคนมารักษา พวกเจ้าก็ขาดทุนใหญ่แล้ว……………………………………….[1] สำนักฎีกา (知谏院) อีกชื่อหนึ่งของสำนักผู้ตรวจการ
คอมเม้นต์