Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 78 ครุ่นคิดล้วนเพื่ออนาคต
มีคนครุ่นคิดได้เร็วมากเสมอคุณหนูจวินออกจากจวนสกุลลู่ แต่ไม่ได้กลับโรงหมอจิ่วหลิง มาถึงจวนของราชบัณฑิตหานเมื่อครู่อีกครั้งพวกองครักษ์เสื้อแพรจากไปแล้ว นอกประตูชาวบ้านไม่น้อยรวมตัววิพากษ์วิจารณ์เสียงเบาอยู่เหมือนเช่นตระกูลนั้นก่อนหน้านี้ องครักษ์เสื้อแพรไม่ได้จับคน แต่ทุบทำลายจนทั่วแล้วจากไปได้ยินเสียงเรียกที่ประตู พ่อบ้านคนหนึ่งที่ส่งคุณหนูจวินเมื่อครู่ก็เดินออกมาเทียบกับเมื่อครู่ เขาดูหน้าซีดขึ้นมาก“คุณหนูจวิน คุณหนูไม่เป็นไรขอรับ ในบ้านเละเทะอยู่บ้าง คงไม่เชิญท่านเข้าไปแล้ว” ได้ฟังเจตนาที่คุณหนูจวินมาเขาก็ท่าทางขอโทษขอโพยเหนื่อยล้าอยู่บ้างเอ่ยขึ้นคุณหนูจวินเงียบงันคิดว่าราชบัณฑิตหานคงครุ่นคิดถึงอะไรได้แล้วขุนนางตำแหน่งเช่นนี้ล้วนหัวไวนัก ขอเพียงคิดถึงความขัดแย้งระหว่างคุณหนูจวินกับลู่อวิ๋นฉีได้ปุบ ย่อมเดาสาเหตุที่องครักษ์เสื้อแพรบุกรุกถึงประตูได้ไม่ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ในใจคาดเดาแล้ว กระทำการย่อมต้องระมัดระวัง“ได้ อาการป่วยของคุณหนูหานก็ไม่หนักหนานัก แค่ต้องดูแลเป็นเวลานานหน่อยเท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้ากลับไปทำยาเสร็จ พรุ่งนี้ให้คนส่งมา”พ่อบ้านลังเลนิดหนึ่ง“พรุ่งนี้พวกเราจะไปรับเองแล้วกันขอรับ” เขาคำนับเอ่ยตนเองมาเอง บางทีคงไม่มาแล้วคุณหนูจวินเงียบงันไปครู่หนึ่ง ขานรับหมุนตัวเดินจากไปแล้วพ่อบ้านอยู่ด้านหลังมองแผ่นหลังของนางสีหน้ายุ่งยาก ในที่สุดก็ถอนหายใจปิดประตูวันต่อมาตระกูลของราชบัณฑิตหานก็ไม่มีคนมารับยา“พวกเขาเชิญหมอหลวงแล้ว” เฉินชีเอ่ยฟางจิ่นซิ่วมองเขาทีหนึ่ง“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาปกติ ข้าจึงให้คนจับตาดูมากหน่อย” เฉินชีหัวเราะคิกคักฟางจิ่นซิ่วไม่ได้สนใจเขา มองยาที่ห่อเสร็จแล้ว“เมื่อคืนวานอดหลับอดนอนทำเสียเปล่าแล้ว” นางเอ่ย “ถ้าไม่อย่างนั้นเอายานี่ลอบส่งให้หมอหลวงคนนั้น ให้เขามอบให้คุณหนูหานไหม”ในเมื่อเฉินชีให้คนจับตาดูอยู่ย่อมรู้ว่าเป็นหมอหลวงคนไหน วันนี้หมอหลวงไม่น้อยล้วนท่าทีเกรงใจโรงหมอจิ่วหลิง น่าจะพูดจาง่ายมากคุณหนูจวินส่ายศีรษะ“หากเป็นเวลาอื่นคงทำเช่นนี้ได้” นางเอ่ย “แต่ในเมื่อองครักษ์เสื้อแพรตั้งใจจะสร้างความลำบากแล้ว ย่อมต้องจับตาดูพวกเราเช่นกัน ต่อให้ส่งยาไปก็ย่อมถูกพบ ตระกูลราชบัณฑิตหานคงถูกบุกรุกอีกครั้ง หมอหลวงคนนั้นก็จะถูกหางเลขไปด้วย”เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า“นับว่าได้เปิดโลกเห็นความเหิมเกริมขององครักษ์เสื้อแพรเพิ่มขึ้นแล้ว” เฉินชีเอ่ย “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนคุมพวกเขา ผู้อื่นรักษาคนช่วยชีวิต พวกเขาจะขวาง นี่ไม่ใช่คร่าชีวิตคนหรือ? ไม่มีต้นสายปลายเหตุแค่เพื่อจัดการโรงหมอจิ่วหลิงของเรา ใครทนเขาได้”“ไม่มีใครอยากทนเขา นอกจากฮ่องเต้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยเฉินชีบื้อใบ้“ถึงอย่างนั้นขุนนางถูกทำร้ายมากเข้า ฮ่องเต้ก็ต้องสนใจสักนิด” เขาเอ่ย “ไม่สนกฏไม่สนฟ้าจริงๆ”คุณหนูจวินยกมือปิดปากหาวทีหนึ่ง“ยังดี อาการป่วยของนายหญิงหวังกับคุณหนูตระกูลหานไม่ถึงชีวิต แค่หายช้าเท่านั้น หมอคนอื่นค่อยๆ ดูแลก็ได้เช่นกัน” นางเอ่ย “ข้าไปพักผ่อนแล้ว”เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วมองส่งนางเข้าไป“ที่คุณหนูจวินพูดข้าเข้าใจแล้ว” เฉินชีเอ่ย“นางพูดอะไรให้เจ้าเข้าใจแล้ว?” ฟางจิ่นซิ่วตวัดตามองเขาทีหนึ่ง“คุณหนูจวินบอกว่าอาการป่วยนี้ของนายหญิงหวังกับคุณหนูหานไม่ถึงชีวิต” เฉินชีเอ่ย “ดังนั้นสองตระกูลถูกบุกรุก ไม่อยากหาเรื่องลำบาก หาคนอื่นรักษาก็ได้แล้ว นั่นคือพวกเขายังไม่รู้สึกว่าขาดวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินไม่ได้ รอรู้สึกแล้ว นั่นย่อมเป็นคนที่จะรักษาชีวิต ก็ต้องครุ่นคิดดูว่าสุดท้ายจะเลือกฝั่งไหน”ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงหมุนตัวเข้าไปข้างใน“เฮ้ ข้าพูดถูกหรือไม่เล่า” เฉินชีรีบตามไป “ข้าฉลาดล่ะสิ?”…เมืองหลวงต้นเดือนสี่บุปผาสะพรั่งงดงาม บนถนนคนมาคนไป มีคนม้าขบวนหนึ่งผ่านมานี่เป็นบุรุษหน้าอ้วนหูใหญ่อายุราวสามสิบปีสวมชุดขุนนางน่าเกรงขามมีองครักษ์ชุดแดงสี่ห้าคนรุมล้อมอยู่คนหนึ่งองครักษ์ชุดแดงเช่นนี้ ขุนนางที่ตำแหน่งอย่างมหาบัณฑิตถึงมีสิทธิได้รับจัดสรรแต่จากอายุของบุรุษคนนี้ ไม่มีทางเป็นมหาบัณฑิตสภาอำมาตย์ได้เด็ดขาดมองเห็นเขาเข้ามา คนที่เดินเท้าบนถนนต่างพากันหลบทางท่าทางหวาดกลัวอยู่บ้าง ทั้งยังรังเกียจอยู่นิดๆ ด้วยการปฏิบัติเช่นนี้มีเพียงเวลาพบองครักษ์เสื้อแพรเท่านั้นถึงมีแต่ยามพบองครักษ์เสื้อแพร ความรังเกียจถูกเก็บซ่อนไม่กล้าเผยชัด“ใต้เท้าหวง!”บนถนนเสียงตะโกนเต็มไปด้วยความขบขันเสียงหนึ่งดังขึ้นบุรุษที่ขี่ม้าท่าทางหยิ่งยะโสอยู่บ้างหันกลับไปมอง เห็นขุนนางอายุราวสี่สิบปีคนหนึ่งเร่งม้าเข้ามาบนหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม คนก็ค้อมกาย ให้ร่างสูงของตนดูไปแล้วเตี้ยกว่าบุรุษคนนี้“ใต้เท้าหวง ท่านเข้าประชุมขุนนางหรือ?” เขาเอ่ยบุรุษที่ถูกเรียกวว่าใต้เท้าหวงแค่นเสียงเหอะจากจมูก“ใต้เท้าหลี่เองรึ เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเหมือนกันหรือ?” เขาเอ่ยใต้เท้าหลี่ทั้งหน้ายิ้มแย้ม ร่างกายก็ค้อมลงหลายส่วน แลดูเตี้ยกว่าใต้เท้าหวงหนึ่งศีรษะ“ขุนนางชั้นล่างมีสิทธินี้ที่ไหนเล่า” เขาเอ่ย “ข้าไปกรมขุนนาง จัดการเอกสาร”ใต้เท้าหวงร้องอ้อทีหนึ่งไม่สนใจเขาอีกใต้เท้าหลี่กลับยังคงติดตามอย่างระมัดระวัง“ใต้เท้าหวงลำบากจริงๆ ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้าทุกวี่ทุกวัน” เขาเอ่ย พลางล้วงเอาถ้วยฝาปิดเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาจากย่ามผ้าที่ห้อยอยู่บนหลังม้า ประจบส่งมา “นี่เป็นน้ำแกงบำรุงร่างกายที่ข้าน้อยเคี่ยวด้วยตนเอง”นี่บนถนนใหญ่นะ คนข้างทางที่ยืนอยู่ริมทางมองฉากนี้ลูกตาหวิดจะถลนออกมานี่ นี่ก็หน้าไม่อายเกินไปแล้วใต้เท้าหวงก็ขำแล้วเช่นกัน“ใต้เท้าหลี่ทำน้ำแกงเป็นด้วยหรือ?” เขาเอ่ย “ที่แท้เคยร่ำเรียนวิชาแม่ครัวมาด้วยรึ?”“ข้าน้อยตอนยังเล็กครอบครัวยากจน มารดาป่วยหนัก ดังนั้นล้วนเป็นข้าน้อยซักผ้าทำกับข้าว ถึงกินอิ่มมีเสื้อผ้าใส่” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ“ใต้เท้าหลี่ลำบากจริงๆ หนา” ใต้เท้าหวงพยักหน้าเอ่ย ส่งสัญญาณให้องครักษ์รับถ้วยฝาปิดไปใต้เท้าหลี่ยินดีแทบหลั่งน้ำตา“ไม่กล้าไม่กล้า ใต้เท้าหวงถึงลำบาก ทุกวันต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าน้อยตำแหน่งต่ำต้อยไม่อาจแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาทได้ แบ่งเบาความกังวลของใต้เท้าหวงได้ก็นับว่าไม่ผิดต่อฟ้าดินเจ้าแผ่นดินอาจารย์” เขาเอ่ย เสียงเครืออยู่บ้างใต้เท้าหวงก็รับไม่ได้อยู่บ้างแล้ว“ใช่ ใช่ ข้ารู้แล้ว” เขาเอ่ยใต้เท้าหลี่ตอนนี้ถึงค้อมกายก้มต่ำบนหลังม้า“ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนเวลาใต้เท้าหวงแล้ว” เขาเอ่ย ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “วันนี้ได้พบใต้เท้าหวงดีใจเหลือเกินจริงๆ”ใต้เท้าหวงท่าทางรำคาญอยู่บ้างโบกมือให้เขานับเป็นการคำนับคืน ควบม้าจากไปใต้เท้าหลี่มองส่งใต้เท้าหวงตลอดจนเลี้ยวเข้าถนนเสด็จพระราชดำเนิน ถึงเหยียดตัวตรงบนหลังม้า สังเกตเห็นคนข้างทางชี้มือชี้ไม้ใส่เขา“มองอะไรกัน!” เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดตวาดเอ่ย มองไปทางผู้คนข้างทางรอยยิ้มนอบน้อมเคารพเมื่อครู่หายไปอย่างไรก็เป็นขุนนาง ชาวบ้านข้างทางรีบหดหัวหลบออกไปแล้วใต้เท้าหลี่สะบัดแขนเสื้อท่าทางน่าเกรงขามอยู่บ้างขี่ม้าจากไปมองเห็นเขาจากไป คนข้างทางก็เผยสีหน้าดูแคลนออกมาอีกครั้ง สบถใส่พื้นทีหนึ่ง“คนผู้นั้นนับโจรเป็นบิดาอีกคนหนึ่ง” เขาเอ่ยเสียงเบาเฉินชีที่ยืนอยู่ที่ร้านยาร้านหนึ่งรั้งสายตากลับ มองไปยังทิศทางที่ใต้เท้าหวงไปไกลจนมองไม่เห็นแล้ว“ผู้นั้นก็คือมหาบัณฑิตหวงหรือ?” เขาเอ่ย……………………………………….
คอมเม้นต์