Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 53 คำพูดเล่าลือย่อมมีผิดเพี้ยน
คำพูดนี้ออกมารอบด้านเงียบลงทันทีหลังเงียบผ่านไป จากนั้นเสียงชู่เบาๆ แถบหนึ่งก็ดังขึ้น“ก็ไม่ดูเสียบ้างว่าที่ไหน”“วันนี้เจ้าไม่อยากมีชีวิตกลับไปแล้ว”ทุกคนเอ่ยเตือนเสียงเบา แม้เสียงเบาแต่ก็ดังขึ้นวูบหนึ่ง บรรดาทหารองครักษ์ไม่ไกลกวาดตามาอย่างเย็นชา ฝั่งนี้ถึงเงียบเสียงตอนนี้เสียงระฆังในวังพลันดังขึ้น ประตูวังเปิดออกช้าๆ บรรดาจิ้นซื่อที่คุยเล่นกันอยู่เงียบเสียงทันทียืนเรียงแถวดีๆ เดินเข้าไปข้างในตามสัญญาณของเหล่าขุนนางหน้าประตูบรรดาจิ้นซื่อล้วนเข้าไปในวังหลวงแล้ว ผลการสอบหน้าพระที่นั่งวันพรุ่งนี้ถึงจะประกาศได้ ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ล้วนคาดเดาถกเถียงว่าใครจะได้เป็นจอหงวน สลายตัวไปแต่ท่ามกลางการถกเถียงยังคงมีถ้อยคำประหลาดเช่นนั้นก่อนหน้านี้สอดแทรกอยู่เช่นเดิม“เรื่องสินสอดที่พวกเจ้าพูดเมื่อครู่…“…เป็นท่านยมราชจริงๆ…”“…เป็นไปได้อย่างไร ท่านยมราชให้สินสอดแก่ใคร…”ท่านยมราช? สินสอด? ที่พวกเขาพูดคืออะไร?คนต่างถิ่นมากมายฟังไม่เข้าใจรู้สึกว่าคนเมืองหลวงช่างประหลาดจริงๆ ออกห่างคนว่างงานเหล่านี้เดินมาถึงถนนใหญ่ ฟ้าสว่างแล้ว เมืองหลวงฤดูใบไม้ผลิมวลบุปผาละลานตา ครึกครื้นยิ่งนัก เหลาสุราโรงน้ำชาก็เปิดร้านแต่เช้า“…จริงแท้แน่นอน เป็นท่านยมราชนั่นแหละทำ…ข้าเห็นกับตาตัวเองเลย…”คนต่างถิ่นที่เดินเข้ามาในโรงน้ำชาเพิ่งจะนั่งลงพักเท้าพลันได้ยินคำพูดประหลาดนี้อีกครั้งเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมทุกหนทุกแห่งล้วนพูดถึงท่านยมราช? นี่เป็นเทศกาลพิเศษเดือนสามของเมืองหลวงหรือ?“ท่านยมราชคือพูดถึงใคร?” คนต่างถิ่นอดไม่ได้เอ่ยถามคนโต๊ะข้างๆ หันกลับมา“รู้จักองครักษ์เสื้อแพรไหม?” คนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาเติมคำเฉพาะเช่นนี้คำหนึ่งเข้ามาคนต่างถิ่นก็เข้าใจแล้ว ท่านยมราชแห่งยมโลกทุกคนล้วนรู้จัก ท่านยมราชแห่งโลกมนุษย์ทุกคนก็ล้วนรู้จักเช่นกันนั่นย่อมคือหัวหน้ากองพันลู่แห่งองครักษ์เสื้อแพรแต่หัวหน้ากองพันลู่ไม่ใช่แต่งงานกับองค์หญิงจิ่วหลีแล้วหรือ? ทำไมจะส่งสินสอดอีกแล้ว? ส่งสินสอดให้ใคร?ได้ยินคำถามประโยคนี้ คนข้างโต๊ะสีหน้าโกรธแค้นอย่บ้าง“นั่นไม่ใช่ส่งสินสอด นั่นเป็นรังแกคน” เขาเอ่ย “รังแกคุณหนูจวิน”คุณหนูจวิน?แม้คนแซ่จวินใต้หล้ามากนัก แต่ได้ยินชื่อนี้คนต่างถิ่นกลับไม่สงสัยสักนิด“คุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงหรือ?” เขาเอ่ยเมื่อการปลูกฝีแพร่ออกไป ชื่อคุณหนูจวินของโรงหมอจิ่วหลิงก็ฝังลึกลงไปในใจผู้คนด้วยนั่นเป็นหมอเทวดาที่ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก จะเกี่ยวข้องกับหัวหน้ากองพันลู่ที่แย่งชิงชีวิตคนได้อย่างไร นี่ใช่แค่รังแกคนที่ไหน เป็นการหลบหลู่โดยแท้“นี่บ้าบอเหลือเกิน” คนต่างถิ่นโกรธแค้นอยุติธรรมเอ่ยลือกันหมดว่าหัวหน้ากองพันลู่ตัณหาจัดไร้คุณธรรม ขอเพียงสตรีต้องตา ไม่ว่าเป็นหญิงพรหมจรรย์หรือหญิงในหอคณิกา หรือภรรยาอนุภรรยาของผู้อื่นล้วนไม่ปล่อยคิดไม่ถึงความกล้ายิ่งมากขึ้นทุกทีๆ ถึงกับอยากได้คุณหนูจวินแต่อีกด้านหนึ่งมีคนกระแอมเบาๆ ขึ้น“แต่ เรื่องนี้ก็บอกได้ไม่แน่นา” เขาเอ่ยสายตาของคนรอบด้านมองไปทางเขา“บอกได้ไม่แน่ได้อย่างไรเล่า?” มีคนไม่พอใจเอ่ยถาม “หรือคุณหนูจวินจะต้องตาคนแบบนั้นหรือ?”ผู้ชายคนที่พูดก่อนหน้านี้ยกมือโบก“เฮ้อ วาจาย่อมพูดเช่นนี้ไม่ได้ เรื่องของชายหญิงนี่บางครั้งก็ไม่อาจถกเหตุผล” เขาเอ่ย “พวกเจ้าอย่าลืม คุณหนูจวินกับหัวหน้ากองพันลู่คนนี้ไปมาหาสู่กันตลอด ความสัมพันธ์ก็ออกจะน่าสนใจ”น่าสนใจ?คนที่นั่นสีหน้าพิกลอยู่บ้างพูดถึงระหว่างหนึ่งชายหนึ่งหญิงน่าสนใจ นี่ก็น่าสนใจแล้ว“พูดไปแล้วนั่นก็เป็นไม่ทะเลาะไม่รู้จักกันล่ะนะ”“ต่อมาคุณหนูจวินช่วยรักษาไหวอ๋อง หัวหน้ากองพันลู่กับองค์หญิงจิ่วหลีขอบคุณยิ่งนัก”“ตอนรักษาฝีดาษ นั่นก็เป็นหัวหน้ากองพันลู่พาคนไปเป็นเพื่อนด้วยตนเอง”คำพูดนี้เป็นความจริงอย่างแน่นอน แต่ทำไมฟังดูแล้วพิกลอยู่บ้าง? คนในโรงน้ำชาสีหน้ายุ่งเหยิง“ดังนั้นใครจะรู้ว่าผู้อื่นไม่ใช่สองฝ่ายชอบพอเล่า” คนผู้นั้นยังขยิบตาเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยคคำพูดนี้ทำให้คนด้านข้างโกรธเกรี้ยวทันที“เจ้าพูดเหลวไหล” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินไม่มีทางต้องตาคนพรรค์นั้น”คนผู้นั้นก็ถลึงตาทีหนึ่งเช่นกัน“คนพรรค์นั้น? คนพรรค์ไหนเล่า?” เขาเอ่ย หรี่ตาคนพรรค์ไหน คนพรรค์นั้นที่ไม่ใช่คน ฆ่าคนตาไม่กะพริบ ฉ้อฉลหลอกลวงไม่มีไม่ทำ ผู้เฒ่าเด็กน้อยล้วนไม่ละเว้น…แต่คำพูดนี้กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยออกจากปากมองเห็นทุกคนเงียบงัน คนก่อนหน้านี้หัวเราะแล้ว ยกชาบนโต๊ะขึ้นดื่มคำหนึ่ง“คนพรรค์ไหนเป็นอย่างไร? พูดไปแล้วมีเงินมีอำนาจมีรูปโฉม ในบ้านยังมีองค์หญิง องค์หญิงยังจะปฏิบัติต่อนางอย่างผู้มีพระคุณ นี่คงไม่นับว่ารังแกอะไรกระมัง?” เขาเอ่ยคนด้านข้างถลึงตาเนิ่นนาน“อย่างไรคุณหนูจวินต้องไม่ยินยอมแน่” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินไม่ยินยอม นั่นก็เป็นการรังแกคน”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูจวินไม่ยินยอม?” คนก่อนหน้านี้โต้ทันทีกำลังจะเถียงกัน ก็มีคนร้องเอ๋ขึ้นมา“ดูเร็ว!”ดูอะไร? ทุกคนมองไปข้างนอก เห็นเพียงบนถนนใหญ่รถคันหนึ่งวิ่งเร็วรี่ผ่านไป บนนั้นกล่องของขวัญกองเต็มแน่น พนักงานสี่ห้าคนท่าทางดุร้ายตามไปข้างรถ“นี่ส่งสินสอดหรือจะไปตีกัน?” คนต่างถิ่นเอ่ยขึ้นมองดูของบนรถเป็นข้อกำหนดของสินสอด คุณภาพก็ไม่ต่ำต้อย แต่มองสีหน้าของคนที่ติดตามข้างรถไม่มีความยินดีสักนิดจริงๆคนด้านข้างกลับเอ่ยฮึกเหิมขึ้นมา“เห็นไหม เห็นไหม คุณหนูจวินเอาสินสอดโยนกลับไปอีกแล้ว”“ก็บอกแล้วว่าคุณหนูจวินไม่ยินยอมสักนิด”คนด้านหน้าวางถ้วยชามองข้ามไปทีหนึ่ง กรอกลูกตา“บางทีที่ไม่พอใจไม่ใช่คน แต่เป็นการปฏิบัติ?” เขาเอ่ย “ไม่อย่างนั้นเจ้าดูหัวหน้ากองพันลู่ถูกโยนสินสอดกลับไปสองครั้งแล้ว กลับยังคงไม่เลิก แต่เพิ่มขนาดสินสอดให้มากขึ้นไม่หยุด”เสียงป้าบดังขึ้น คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าอดไม่ได้หนึ่งหมัดเหวี่ยงใส่ร่างคนผู้นี้“บอกว่ารังแกคนก็รังแกคนสิ ให้เจ้ารังแกคน ให้เจ้ารังแกคนพูดเหลวไหลทั้งเพ!” เขาร้องด่าไปด้วยคนผู้นั้นไม่ทันป้องกันถูกต่อยนั่งลงไปกับพื้น ตะโกนขึ้นมาทันที“ต่อยคนทำไมเล่า”ผู้ชายที่ยกกำปั้นยังไม่เลิกรา หนึ่งหมัดต่อยออกไปแล้วคนก็ปล่อยเต็มที่“ก็ต่อยเจ้านั่นแหละ ใครให้เจ้าพูดเหลวไหล” เขาตะโกนเอ่ย เหวี่ยงหมัดต่อยไปอีกคั้งด้านในโรงน้ำชาตกสู่ความโกลาหลไปหมดเทียบกับการถกเถียงและความวุ่นวายด้านนอก ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงยังคงเงียบสงบ แต่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วบนเก้าอี้ราวกับนั่งไม่ติดอยู่บ้าง“นี่เกาะหนึบตีไม่เลิกจริงๆ” เขาเอ่ย แล้วเปลี่ยนท่าอีกครั้ง ชาที่ถืออยู่วางลง “ส่งกลับไปก็ส่งมาอีก โยนหน้าประตูบ้านเขาอย่างไร เอ่ยวาจาไม่น่าฟังอย่างไรล้วนไม่มีปฏิกิริยา ตอนนี้คำวิพากษ์วิจารณ์บนถนนยิ่งประหลาดพิกลขึ้นทุกทีแล้ว เขานี่เผยจิตใจน่ารังเกียจชัด”“น่ารังเกียจก็น่ารังเกียจ วิพากษ์วิจารณ์ก็วิพากษ์วิจารณ์ ใครกลัวใคร” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “นี่นับว่าน่ารังเกียจอันใด พวกเราผู้หญิงตระกูลฟางเผชิญกับความน่ารังเกียจเช่นนี้มากไป หากแค่นี้ก็ทำให้รังเกียจยอมแพ้ได้ พวกเราก็คงอยู่มาไม่ถึงตอนนี้”ใช่แล้ว บรรดาทายาทชายของเต๋อเซิ่งชางจบชีวิตต่อกัน ลูกหลานแบกรับคำสาป นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับครอบครัวสามีครอบครัวบิดาตัดขาดความสัมพันธ์ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งค้ำจุนกิจการ บรรดาเด็กสาวกระทั่งหาคู่ครองยังไม่มีใครไถ่ถาม คำพูดน่ารังเกียจย่อมมากมายนักผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มแล้ว“แน่นอนไม่ใช่กลัว” เขาเอ่ย “เพียงแต่รู้สึกไม่ยุติธรรม”“ไม่เป็นไร” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “อย่างไรพวกเราก็อยู่ดีๆ ต่อไปเหมือนเดิม”เฉินชีเดินเข้ามาจากด้านนอก“ครั้งนี้เร็วเอาการนะ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเฉินชีโบกมือ“ครั้งหน้ายิ่งเร็ว” เขาเอ่ย นั่งลงยกชาดื่มคำเดียวหมด “ยอมแล้วจริงๆ พวกเจ้ารู้ไหม? มีคนในเหลาสุราตีกันขึ้นมาเพราะเถียงกันเรื่องนี้ คนที่ถูกตีวิ่งไปถึงกรมสืบสวนฝ่ายเหนือฟ้องว่าคนที่ตีตนด่าหัวหน้ากองพันลู่”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วร้องอั้ยหยาลุกขึ้นนั่งตัวตรงด่าหัวหน้ากองพันลู่เชียวนะ คนเหล่านั้นขององครักษ์เสื้อแพรนั่นย่อมไม่มีทางละเว้นอีกฝ่ายคนผู้นี้ถูกหางเลขแล้วจริงๆเฉินชีโบกมือ“ไม่ต้องกังวล ไม่ได้จับคน” เขาเอ่ย ทำท่าให้ฟางจิ่นซิ่วรินชาอีกฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง ยังคงลุกขึ้นรินชาให้เขาเฉินชียกขึ้นดื่มคำเดียวหมดอีกครั้ง“องครักษ์เสื้อแพรไม่เพียงไม่จับคนที่ด่า ยังตำหนิคนที่ฟ้องพักหนึ่งด้วย” เขาเอ่ย “คำพูดคำจาเอ่ยอ้างคุณธรรมสารเลวจริงๆ”“เวลานี้แสร้งเล่นบทคนดีสายไปหน่อยแล้วหรือไม่?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “มีประโยชน์อะไร?”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มฝาดเฝื่อนทีหนึ่ง“นี่ไม่ใช่แสร้งเล่นบทคนดี นี่คือแสร้งรักลึกซึ้ง” เขาเอ่ยไม่ว่าคุณหนูจวินโวยวายอย่างไร เขาล้วนไม่รีบร้อนไม่โกรธไม่หงุดหงิด ถึงขั้นการโต้เถียงเหล่านั้นที่เกิดเพราะเจ้า ไม่ว่าด่าเขาอย่างไร เขาล้วนไม่ร้อนใจไม่โกรธไม่หงุดหงิดเช่นกันให้บรรดาชาวบ้านล้วนรู้ว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะเจ้าเฉินชียื่นมือนวดหน้า“เจ้าหมอนี่หน้าไม่อายเกินไปแล้วจริงๆ” เขาเอ่ย………………………………………………………………………..
คอมเม้นต์