Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 51 อยู่ในความคาดคิด
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับคุณหนูจวินล้วนอยู่ด้านในโถง มองเห็นเขาเข้ามาก็ลุกขึ้นยืน“อย่างที่พวกเจ้าคิด เขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ” เฉินชีเอ่ย หยิบราชโองการออกมาส่งให้นาง “สิ่งนี้ก็ไม่ได้ใช้”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วผ่อนลมหายใจลูบเครานิดหนึ่ง“เรื่องนี้ที่ลู่อวิ๋นฉีทำเสี่ยงเกินไปแล้ว” เขาเอ๋ย “แม้เขาอาศัยโอกาสที่อยู่ด้วยกันกับคุณหนูช่วงนี้มายัดของโจรสร้างหลักฐาน แต่ชื่อเสียงของคุณหนูวันนี้ไม่ใช่เขาจะทำให้มีมลทินง่ายๆ ได้ หากคุณหนูร้อนใจไปหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ฟ้องร้องเขา ข้าคิดว่าต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าราชโองการของอดีตฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจไม่สนใจความคิดของประชาชน”ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีพยักหน้า“ใช่ไหมเล่า คุณหนูจวินตอนนี้ย่อมไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว” เฉินชีเอ่ยฟางจิ่นซิ่วกลับมองคุณหนูจวินที่ดูเหมือนเหม่อลอย“เจ้าคิดอะไร?” นางเอ่ยถามคุณหนูจวินได้สติกลับมายิ้ม“ไม่มี” นางเอ่ย “ก็เป็นอย่างที่ทุกคนเอ่ยเช่นนี้”งั้นรึ?คุณหนูจวินยิ้มอีกครั้ง“ใช่ ข้ารู้ทุกคนกังวลว่าชื่อเสียงของข้าจะเสียหาย” นางเอ่ย “แต่เขาลู่อวิ๋นฉีจะทำข้ามัวหมองกำลังไม่พออยู่บ้าง อย่างไรชื่อเสียงของข้าก็ดีกว่าเขาอยู่นิดหนึ่ง”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว เฉินชีล้วนหัวเราะขึ้นมาแล้ว ฟางจิ่นซิ่วก็เม้มปากคุณหนูจวินถอนหายใจอีกครั้ง“ตอนนี้ที่ข้ากังวลคือ ท่านหมอเฒ่าเฝิง หมอเฒ่าผู้ไม่เคยเป็นขุนนางคนนี้จะคุมสถานการร์อยู่หรือไม่” นางเอ่ยผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็หัวเราะแล้ว“เรื่องนี้ท่านวางใจ ข้าหาผู้ช่วยมาให้เขาสามคน” เขาเอ่ย “ล้วนเป็นคนที่เฉลียวฉลาดพึ่งได้มากที่สุด”“ใช่แล้ว ขุนนางนี่ไม่เหมือนขุนนางอื่น คนที่เป็นขุนนางได้กลับไม่แน่ว่าจะทำได้ดี” เฉินชีก็ยิ้มเอ่ยบทสนทนามาถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่อง ทุกคนพูดถึงเรื่องหน่อฝีขึ้นมาอีกพักหนึ่ง เห็นว่าดึกแล้วผู้ดูแลใหญ่หลิ่วจึงขอตัวจากไป“เจ้าก็เหนื่อยแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยกับคุณหนูจวิน“ทุกคนต่างเหนื่อย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย มองเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่ว “พวกเจ้าก็พักผ่อยให้สบายถอะ ไม่ต้องกังวล พวกเรากำลังทำเรื่องดี สวรรค์ย่อมมีความยุติธรรม”“ที่ไหนเล่า ที่ไหนเล่า” เฉินชียิ้มพยักหน้า “ข้าไม่เหนื่อยสักนิด”ฟางจิ่นซิ่วก็ยิ้มอย่างหาได้ยากด้วย“พวกเราเตรียมจะกินมื้อดึก เจ้าจะกินไหม?” นางเอ่ยคุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ“ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าไม่มีแรงกิน” นางเอ่ยพลางโบกมือหมุนตัวเฉินชีมองไปทางฟางจิ่นซิ่ว“พวกเราจะกินมื้อดึกหรือ?” เขาเอ่ยถามฟางจิ่นซิ่วตวัดตามองเขาทีหนึ่ง“เจ้าจะกินหรือไม่กิน” นางเอ่ย พูดจบก็หมุนตัวไปเก็บเครื่องเรือนด้านในโถงเฉินชีหัวเราะหึหึตามไป“กินสิ ข้าแค่จะถามว่าพวกเรากินที่บ้านหรือไปตลาดกลางคืน”“พูดไปแล้วพวกเรามาเมืองหลวงนานขนาดนี้ ยังไม่ได้ไปตลาดกลางคืนเลย”“ข้าได้ยินว่ามีร้านน้ำแกงชาอร่อยเด็ดมาก”ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงคืนฤดูใบไม้ผลิเสียงคุยเล่นหัวเราะ ครึกครื้นทั้งยังสงบสุขคุณหนูจวินเดินออกจากโถงด้านหน้า รอยยิ้มบนหน้าพลันเลือนหายคิดไม่ถึงเผชิญการท้าทายเช่นนี้ ลู่อวิ๋นฉีกลับไม่บันดาลโทสะสวนกลับนี่ไม่ใช่เพราะลู่อวิ๋นฉีหหวั่นเกรงราชโองการของตระกูลฟางรวมถึงชื่อเสียงและฐานะของนางในหมู่ชาวประชาราชโองการก็ดี ความคิดของประชาชนก็ดี ในสายตาลู่อวิ๋นฉีนับเป็นอะไรได้เขาไม่บันดาลโทสะไม่ลงมือ ก็แค่แสดงออกว่าไม่เห็นอยู่ในสายตาเท่านั้น ควรทำอะไรเขาจะไปทำเองนี่เป็นคนบ้าคนหนึ่งมือที่วางอยู่ด้านหน้าร่างของคุณหนูจวินกำแน่น…ในห้องขององค์หญิงจิ่วหลี อาหารค่ำเก็บไปแล้ว มองลู่อวิ๋นฉีที่เดินเข้ามา องค์หญิงจิ่วหลีไม่เอ่ยถามว่าเขาต้องการทานอาหารหรือไม่“องค์หญิง ข้าอยากพูดเรื่องหนึ่งกับท่าน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยปากตรงๆองค์หญิงจิ่วหลียิ้ม“ข้าไม่เห็นด้วยได้หรือ?” นางเอ่ยใต้โคมไฟค่ำคืนสว่างไสวส่องสีหน้านางยิ่งอ่อนโยน“ไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย เสียงของเขาก็อ่อนโยนมากเช่นกันสาวใช้หญิงรับใช้ในห้องถอยออกไปนานแล้ว สามีภรรยาสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ ประจันหน้ากันเงียบเชียบเกิดเรื่องเช่นนั้นนอกประตู ต่อให้องค์หญิงจิ่วหลีถูกขังอยู่ในเรือนในอีกเท่าใดก็ไม่อาจไม่รู้เช่นกันผ้าไหมสีแดง ขนาดของสินสอดที่ตระเตรียม คำด่าทอโกรธเกรี้ยวของผู้ชายคนนั้นข้างนอก นอกจากตาบอดหูหนวกก็ไม่มีใครไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วสามีจะรับอนุภรรยา เป็นภรรยากลับไม่รู้ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนโกรธแค้นยิ่งนักแต่องค์หญิงจิ่วหลีไม่โกรธแค้นตั้งคำถามหรือร่ำไห้บรรยากาศในห้องยังคงอบอุ่นองค์หญิงจิ่วหลีเพียงแค่แสดงออกว่าคัดค้าน นี่ก็เป็นปฏิกิริยาปกติของภรรยาคนหนึ่งลู่อวิ๋นฉีที่เป็นสามีก็ไม่ได้โกรธเกรี้ยวประหนึ่งสายฟ้ากับการคัดค้านของภรรยา เขาก็แค่เพียงแสดงออกว่าคัดค้าน แสดงออกว่ายืนยันกับความคิดตนเองในห้องตกสู่ความเงียบองค์หญิงจิ่วหลียิ้ม“แต่ผู้อื่นไม่ยินยอมนะ” นางเอ่ย“บนโลกนี้เรื่องที่ไม่ยินยอมมากไป” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “ไม่มีใครยินยอมเข้าไปอยู่ในคุกของกรมสืบสวน แต่คุกของกรมสืบสวนไม่เคยว่าง”องค์หญิงจิ่วหลีถอนหายใจแผ่วเบา“แต่เด็กสาวคนนี้เพิ่งทำเรื่องใหญ่หลวงที่มีคุณกับประชาชน ช่วยโลกช่วยผู้คนคุณงามความดีกุศลไม่อาจประมาณ” นางเอ่ย “ทำเช่นนี้ เป็นการรังแกคน”ลู่อวิ๋นฉีกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่แล้วน้อยครั้งนักที่เขาจะสนใจเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ยิ่งไม่มีทางถูกเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วทำให้อารมณ์ดี แต่ตอนนี้ได้ยินประโยคนี้ขององค์หญิงจิ่วหลี เขากลั้นยิ้มไม่ได้เพราะคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีคนพูดประโยคนี้กับเขาเหมือนกัน ต้นเหตุก็เพราะเด็กสาวคนนี้นี่เป็นชะตาลิขิตหรือไม่นะ?“ข้ารังแกคนไม่ใช่ปกติยิ่งหรือ?” เขาเอ่ย ยิ่งยิ้มยิ่งอยากยิ้ม สีหน้าของเขาใต้โคมไฟยิ่งแลดูขาวดั่งกระเบื้อง รอยยิ้มล้นปรี่ออกมาจากดวงตา ขับเสริมดวงหน้าทั้งหมดให้เปล่งประกายมีสีสันงามก็งามอยู่ แต่ก็เหมือนอสรพิษพิษร้ายสีสันแต่งแต้มตัวหนึ่งอีกเช่นกัน ทั้งจับตาทั้งทำให้คนที่มองเขาสั่นเทาทันทีองค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้หวาดกลัวแล้วก็ไม่เคลื่อนสายตาออก สีหน้ายังคงอ่อนโยนดังเดิมมองเขา“แต่คนผู้นี้รังแกไม่ง่ายนะ” นางเอ่ยเสียงละมุนลู่อวิ๋นฉีมองนาง พลันยกเสื้อคุกเข่าข้างหนึ่งลง“ดังนั้นขอองค์หญิงได้โปรดเห็นด้วย” เขาเอ่ย “องค์หญิงโปรดเขียนหนังสือขอฮ่องเต้ เช่นนี้ก็ไม่รังแกคนแล้ว”เพื่อผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุกเข่าขอร้องกับภรรยาตนเอง เปลี่ยนเป็นภรรยาคนใดก็ตามคงไม่มีทางรู้สึกเบิกบานใจ มีแต่ยิ่งโกรธแค้นองค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้โผเข้าไปทุบตีคนไร้หัวใจคนนี้ แต่ยิ้มอย่างอับจนหนทางอยู่บ้าง“หน้าตาของข้านับศักดิ์ศรีอะไรได้ด้วยหรือ?” นางเอ่ย“อย่างน้อยสำหรับสตรีที่ต้องการเข้าประตูมาคนหนึ่งพอแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเงยหน้ายิ้มเอ่ยเขาไม่เคยมีเวลาใดยิ้มมากขนาดนี้องค์หญิงจิ่วหลีมองเขา“ข้าพูดว่าไม่เห็นด้วยได้ไหม?” นางเอ่ย“ไม่ได้” ลู่อวิ๋นฉียิ้มส่ายศีรษะนี่เหมือนจะเป็นการอยู่ด้วยกันที่เวลายาวที่สุดนับแต่แต่งงานกันมา นอกจากนี้ยังเป็นเวลาที่ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าอ่อนโยนที่สุด พูดจามากที่สุดด้วยแต่ไม่ว่าสีหน้าอ่อนโยนมากเท่าใด คำพูดคำจามากมายความหมายตั้งแต่ต้นจนจบกลับมีเพียงอย่างเดียว ไม่ได้เรื่องที่เขาต้องการทำ ไม่อาจถูกขวางได้……………………………………….
คอมเม้นต์