Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 50 ข้ากล้าเจ้าไม่กล้า
บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ในห้องสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะคำว่าเกิดเรื่องสองคำ แต่เป็นเพราะสาวใช้พูดว่าข้างนอก“อยู่ในบ้านพูดถึงข้างนอกอะไร” หญิงรับใช้คนหนึ่งเอ็ดเสียงดังครั้งก่อนมีสาวใช้คนหนึ่งเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว บอกเรื่องคฤหาสน์ข้างนอกให้องค์หญิงฟังผลสุดท้ายไม่เหลือชีวิต ถึงกับยังมีคนไม่รู้จักบทเรียนมาพูดเรื่องข้างนอกอีก นางอยากตายก็อย่าลากคนอื่นไปด้วยสาวใช้คนนั้นถูกตะคอกอับอาย แต่กลับไม่ได้หยุด“ไม่ใช่ ไม่ใช่ข้างนอกอันนั้น” นางรีบร้อนเอ่ย ยื่นมือชี้ด้านนอก “เป็นข้างนอกประตูบ้านเรา มีคนมาโยนข้าวของ”คนในห้องล้วนตะลึง กระทั่งองค์หญิงจิ่วหลีก็หยุดชามตะเกียบด้วย ประหลาดใจเล็กน้อยมองข้ามมาโยนข้าวของนอกประตูจวนสกุลลู่? นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนจริงๆใครเสียสติเป็นบ้าไปแล้ว?“โยนของอะไร?” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยถามสาวใช้สีหน้าพิกล“บอกว่าเป็นสินสอด” นางเอ่ย พูดจบก็ก้มหน้าสินสอด?สินสอด….ทั้งห้องเงียบกริบประตูจวนสกุลลู่กลับเสียงดังไม่ขาด เมื่อหีบใบสุดท้ายถูกโยนลงจากรถ หลังเสียงโครมครามเสียงหนึ่งดังขึ้นในที่สุดก็สิ้นสุดแต่หน้าประตูกลับไม่ได้เงียบสงบลงตรงนี้ เฉินชียืนอยู่บนรถปรบมือ ส่งเสียงดังกังวาน หลังจากนั้นหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ“โอ้ใช่แล้ว ยังมีสิ่งนี้” เขาเอ่ย ยืนอยู่หน้าประตูเหยียดมองลงจากที่สูงมองมาทางลู่อวิ๋นฉีโบกทีสองที “เงินครั้งก่อน”พูดจบก็สะบัดทีหนึ่ง ตั๋วเงินลอยละล่องกระจายเต็มด้านบนหีบกล่ององครักษ์เสื้อแพรกับชุดปลาบินและดาบปักวสันต์สองด้านหน้าประตูยืนนิ่ง สายตาทะมึนประหนึ่งจะทำให้แสงอัสดงฉับพลันกลายเป็นค่ำมืดลู่อวิ๋นฉีกลับไม่เคลื่อนไหวอย่างใด สายตาจับบนตั๋วเงินที่โปรยปรายอยู่นั่น“ตอนนี้ กล้าแล้ว” เขาเอ่ยเรียบเฉยคำพูดนี้ฟังแล้วไม่มีต้นไม่มีปลาย ไร้ที่มาแต่เฉินชีกลับรู้นี่หมายความว่าอะไร นอกจากนี้เขายังเติมคำบอกน้ำเสียงคำหนึ่งให้ลู่อวิ๋นฉีเอง แล้วยังประกอบสีหน้าให้อีกด้วยสีหน้านี้คือดูแคลนและหยามหยันตอนนี้ กล้าแล้วสิเมื่อปีก่อนนี่เองลู่อวิ๋นสะบัดตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้เด็กสาวคนนี้ ให้นางเปลี่ยนชื่อ เด็กสาวคนนั้นไม่อยากเปลี่ยน แต่ไม่ได้เหมือนเช่นตอนนี้เอาเงินสะบัดกลับมาเช่นนี้“ตอนนั้นไม่กล้าไม่รับ หลังจากนั้นไม่กล้าคืน” นางเอ่ยเต็มปากเต็มคำนี่เพิ่งผ่านไปครึ่งปี การกระทำท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปแล้ว เผชิญหน้ากับของที่ลู่อวิ๋นฉีให้กล้าไม่รับแล้ว ยังกล้าลากมาทิ้งถึงจวนสกุลลู่อย่างโอหังเช่นนี้อีกนี่เรียกอะไร?นี่เรียกสิบปีอยู่ตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ตะวันตกของแม่น้ำ[1]แต่หากเป็นครึ่งเดือนก่อนหน้าเฉินชียังไม่กล้าคิดเช่นนี้เขามองลู่อวิ๋นฉี มองดูองครักษ์เสื้อแพรที่ยืนตรงประหนึ่งสุนัขเลวตัวแล้วตัวเล่าอยู่สองด้าน มองดูหีบกล่องที่หล่นกระจายบนพื้นก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้อย่างกับฝันไปเขาถึงกับทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพร ต่อหน้ายมราชลู่ ลู่อวิ๋นฉีมองดูทั้งอาณาจักรต้าโจว เขาคงเป็นคนแรกกระมัง?ไม่ถูก บุตรชายเฉิงกั๋วกงนับเป็นคนแรกเฉินชีในใจความคิดสับสนวุ่นวายเขาทำเรื่องเช่นนี้ลงไป ลู่อวิ๋นฉีถึงกับแค่ยืนอยู่ตรงประตูมองดู ไม่บันดาลโทสะ ทั้งไม่ลงมือได้ยินว่าในอดีตมีขุนนางคนหนึ่งตอนถูกองครักษ์เสื้อแพรยึดทรัพย์ ถ่มน้ำลายใส่ลู่อวิ๋นฉีคำหนึ่ง ถูกลู่อวิ๋นฉีตัดลิ้นตรงนั้นขุนนางคนนี้ยังไม่ทันเข้าคุกสอบสวนก็ไม่อาจพูดได้แล้ว ขุนนางกลุ่มหนึ่งกล่าวโทษกองพะเนิน ท้ายที่สุดลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่ตรงนี้ดีๆ มองดูเขาโยนหีบเฉินชีกลืนน้ำลายอีกครั้ง มือกดหน้าอกโดยไม่รู้ตัวลู่อวิ๋นฉียังคงยืนอยู่ที่ประตู สีหน้านิ่งสนิทไม่ขยับสักนิด“ใต้เท้าลู่ ครั้งหน้าอย่าล้อเล่นเช่นนี้อีก” เฉินชียกมือเอ่ย “ขอตัว”ลู่อวิ๋นฉียังคงไม่พูดจา แล้วก็ไม่ได้ขัดขวางเฉินชีโบกมือ พนักงานหลายคนขึ้นรถพรึบพรับ คนรถสะบัดแส้ทีหนึ่ง พร้อมกับเสียงกังวานรถม้าสองคันก็ขับเร็วรี่จากไปตามถนนเมื่อรถม้าจากไป ถนนเส้นนี้ก็กลับมาสงบเงียบ ที่จริงต้องบอกว่าเงียบกริบ“ใต้เท้า”องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งอดไม่ไหวอีกต่อไปตะโกนเรียกสีหน้าพวกเขาคล้ำเขียว ในดวงตาเย็นเยียบเพลิงโทสะลุกโชนยิ่งน่าสะพรึง รอเพียงลู่อวิ๋นฉีสั่งคำเดียวก็จะฉีกทึ้งทุกสิ่งตรงหน้าแต่ลู่อวิ๋นฉีกลับสีหน้าดุจเดิม มองดูหีบกล่องแล้วยังมีผ้าแดงที่ตกกระจายบนพื้น“เก็บกวาดสักหน่อยเถอะ” เขาเอ่ย หมุนตัวเข้าไปแล้วเข้าไปแล้วบรรดาองครักษ์เสื้อแพรอดไม่ได้ เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าจบแค่นี้หรือ?“แน่นอนไม่มีทางจบเช่นนี้” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเย็นชา“จัดการคนสารเลวเช่นนี้คนหนึ่งยังต้องใช้วิญญูชนแก้แค้นสิบปีไม่สายอีกหรือ?” องครักษ์เสื้อแพรอีกคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเย็นชาด้วย “โรงหมอจิ่วหลิงมีราชโองการ พวกเราทุบไม่ได้ คนสารเลวคนนี้จัดการให้ตายตรงนี้ยังจะเป็นอย่างไรได้?”“ถ้าหากราชโองการอยู่ในมือเจ้าสารเลวคนนี้เล่า?” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยเรียบๆองครักษ์เสื้อแพรในที่นั้นเงียบงันไปครู่หนึ่งราชโองการของตระกูลฟางกลายเป็นผักกาดขาวใครก็หยิบเอามาเล่นได้แล้วหรือ?สายตาของบรรดาองครักษ์เสื้อแพรมองไปรอบด้านแม้บนถนนด้านนี้เนื่องจากการมีอยู่ของวังไหวอ๋องกับลู่อวิ๋นฉีจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ แต่เพราะจดจำเฉินชีของโรงหมอจิ่วหลิงได้ นอกจากนี้มองเห็นเขามาทางด้านนี้ คลายเรื่องกังวลใจแล้วคนว่างงานของเมืองหลวงมากยิ่งกว่า ยังคงแอบตามเข้ามาไม่น้อยบรรดาชาวบ้านว่าง่ายหลบๆ ซ่อนๆ มองเห็นฉากนี้ แต่ละคนๆ ตาโตอ้าปากค้าง เวลานี้ถูกบรรดาองครักษ์เสื้อแพรกวาดตามองทีหนึ่ง พวกเขาย่อมไม่มีมาดอย่างเฉินชีเช่นนั้น เป็นนกสัตว์กระเจิงทันทีส่วนเฉินชีที่ออกมาจากถนนเส้นนี้แล้วก็หมดมาดในทันใดเช่นกัน ข้างในข้างนอกเสื้อผ้าล้วนถูกเหงื่อกาฬทำเปียกชื้นที่จริงตอนที่เขาตัดสินใจมาทำเรื่องนี้ เขาก็คิดว่าตนเองคงตายตรงนั้นเขาคงไม่ได้พบบุตรชายเฉิงกั๋วกงผู้คำรามยามพบความอยุติธรรมริมทาง แล้วก็ไม่ใช่คุณหนูจวินที่ได้รับความนับถือจากชาวบ้าน ลู่อวิ๋นฉีจะชักดาบฟันเขาจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยจริงๆแต่คุณหนูจวินก่อนออกเดินทาง ส่งม้วนสารอันหนึ่งให้เขา“นี่คือราชโองการ” นางเอ่ยเฉินชียื่นมือกดหน้าอกอีกครั้งราชโองการเชียวนะนี่เป็นถึงราชโองการของอดีตฮ่องเต้ ดุจองค์เองเสด็จนี่เป็นชีวิตของตระกูลฟาง ตระกูลฟฟางมอบให้คุณหนูจวินอย่างง่ายดาย ส่วนคุณหนูจวินก็มอบให้เขาอย่างง่ายดายเช่นนี้อีกราชโองการนี่ช่างใช้ได้…ตามใจเสียจริงเชียว“ราชโองการที่อดีตฮ่องเต้ประทานก็เพื่อให้ใช้” คุณหนูจวินเอ่ย “แล้วราชโองการ ก็ใช้เช่นนี้”เอาเถอะ ใช้ขึ้นมาเช่นนี้โอหังจนหน้าไม่อายจริงๆเฉินชีกดหน้าอกเรื่องมาถึงวันนี้แล้วจะอย่างไรได้อีก ใครให้คนที่พบเป็นลู่อวิ๋นฉีผู้หน้าไม่อายเล่า นั่นก็ได้แต่หน้าไม่อายยิ่งกว่าแล้วตอนเฉินชีกลับมาถึงโรงหมอจิ่วหลิงแสงอัสดงก็เข้มแล้ว โคมไฟบนถนนจุดสว่างเฉินชีมองเห็นเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูแต่ไกล เขาอดไม่ได้ฉีกยิ้ม“เจ้ายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เขากระโดดลงจากรถเอ่ยฟางจิ่นซิ่วมองเขาทีหนึ่งหมุนตัวเข้าไป เฉินชีหัวเราะฮ่ะฮ่ะตามเข้าไปด้วย……………………………………….[1] สิบปีอยู่ตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ตะวันตกของแม่น้ำ (十年河东十年河西) สำนวนเปรียบเทียบปรากฏการณ์บริเวณส่วนโค้งของแม่น้ำที่เซาะฝั่งโค้งเพิ่มไปเรื่อยๆ ฝั่งเว้าพื้นดินงอกขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดนานวันเข้าจุดที่เคยเป็นฝั่งตะวันออกของแม่น้ำก็กลายเป็นฝั่งตะวันตก หมายความว่าความรุ่งเรืองตกต่ำไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง
คอมเม้นต์