Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 49 หน้าต้องฉีก
บรรยากาศพิกลข้างในโรงหมอจิ่วหลิงสลายไปแล้ว เสียงหัวเราะโวยวายของเด็กๆ บนถนนลอยมาเด็กๆ ในเมืองวันนี้โดยส่วนใหญ่ล้วนปลูกฝีแล้ว ไม่หวาดกลัวหลบซ่อนอยู่ในห้องในบ้านอีกต่อไป ดื่มด่ำกับความสนุกสนานวัยเด็กที่ควรมีผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยืนอยู่ข้างหน้าหน้าต่างถอนหายใจเบาๆ“สวรรค์ไม่ยุติธรรมจริงๆ” เขาเอ่ยเสียงเบาคนที่นำพาความสุขมาให้ผู้คนมักจะต้องแบกรับเรื่องยุ่งยากไม่หยุดไม่หย่อน“ไม่”คุณหนูจวินหลังอาบน้ำเดินเข้ามาอีกครั้งได้ยินประโยคนี้เอ่ยขึ้น“ความจริงนี่ยุติธรรมยิ่ง”ลู่อวิ๋นฉีทำเรื่องวันนี้ออกมา เหตุมาจากวันนั้นนางตั้งใจชักนำ ส่วนนางที่จงใจชักนำเช่นนั้นก็เพื่อเอาจดหมายของอาจารย์ออกมาโดยไม่ถูกพบนี่คือค่าแลกเปลี่ยน นี่ก็คือความยุติธรรม ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางไม่รู้สึกเสียใจหรือหงุดหงิด“นี่ก็ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด” นางเอ่ย รับชาที่หลิ่วเอ่อร์ยกมา “เรื่องเช่นนี้ก็นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรไม่ได้ เรื่องของชายหญิงอย่างไรก็ต้องสองฝ่ายชอบพอ”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มพยักหน้า“ใช่แล้ว เรื่องนี้พูดว่ายุ่งยากก็ยุ่งยาก พูดว่าง่ายดายก็ง่ายดาย” เขาเอ่ย “ไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานเป็นคำสั่งของบิดามารดาวาจาของแม่สื่อแม่ชัก ชื่อเสียงของคุณหนูจวินวันนี้ บังคับแต่งงานเรื่องเช่นนี้ต่อให้ฮ่องเต้ก็ทำไม่ได้”เฉินชีพยักหน้าตามอือออหลายทีคุณหนูจวินยิ้มไม่ได้เอ่ยวาจาสายตาของเฉินชีจับอยู่บนหีบของที่กองพะเนินอยู่ด้วยกัน“พวกนี้ทำยังไง?” เขาเอ่ยความจริงของเรื่องราวทุกคนรู้แล้ว ถูกสินสอดที่ส่งมาถึงประตูกะทันหันทำตกตะลึงใจร่วงไปถึงพื้น แต่ต่อมาจัดการเรื่องนี้อย่างไร ยังเป็นเรื่องที่ทำให้คนปวดหัว“ยังทำเหมือนกับเงินหมื่นตำลึงที่ให้มาเมื่อครั้งก่อนเช่นนั้นไหม?” เฉินชีเอ่ยครั้งนั้นคุณหนูจวินอธิบายว่า ไม่กล้าปฏิเสธ ไม่อาจเปลี่ยนชื่อ ดังนั้นจึงทำเป็นไม่มีเรื่องนี้เสียฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว“คราวนี้ไม่อาจแสร้งได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเงิน” นางเอ่ยสินสอดรับไว้ก็สื่อว่ายอมรับแล้ว ถึงเวลาคนมาถึงประตูสู่ขอ เจ้าบอกเจ้าไม่กล้าปฏิเสธอีก นั่นก็เป็นเรื่องตลกแล้ว“นี่มีอะไรทำอย่างไรอีก คืนกลับไปก็ได้แล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มเอ่ยเฉินชีลุกขึ้นจากเก้าอี้“ไม่รู้ว่าส่งกลับไปอย่างไร” เขาเอ่ย “ส่งน่ะต้องส่งกลับไปแน่ ที่สำคัญคือส่งอย่างไร”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับฟางจิ่นซิ่วมองไปทางเขาไม่เอ่ยวาจา“ของนี่ตอนส่งมาไม่มีคนสังเกต” เฉินชีเอ่ยต่อ “แม้เห็นองครักษ์เสื้อแพรมาเยือนหน้าประตูขนสิ่งของบางอย่างลงมา แต่ทุกคนคงไม่คิดมาก แค่คิดว่าเป็นของขวัญอวยพรขอบคุณคุณหนูจวินอะไรทำนองนี้”“ดังนั้น?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย“ดังนั้นพวกเราก็ต้องส่งกลับไปอย่างเงียบๆ อีกหน” เฉินชีเอ่ย “พวกท่านว่าตอนฟ้ามืดดีหรือค่ำๆ ดี? ถึงเวลาโยนลงไปแล้วหนี รถก็ไม่ต้องเอาด้วย”ฟางจิ่นซิ่วตาขวางมองเขาทีหนึ่ง“เจ้าคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่มีคนสังเกตอีกรึ?” นางเอ่ยเฉินชีร้องโอ้“ก็ถูก หัวหน้ากองพันลู่ในเมื่อใช้วิธีนี้ก็ต้องให้คนล้วนรู้กันสิ้น” เขาเอ่ย คิ้วขมวดแน่น ตบมือทีหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นก็เอาเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องให้คนรู้กันถ้วนหน้า ถ้าอย่างนั้นไม่สู้พวกเราลงมือก่อน พวกเราเอาของไปโยนหน้าประตูของหัวหน้ากองพันลู่เสียเลย ให้ทุกคนเห็นความโกรธเกรี้ยวของพวกเรา”ฟางจิ่นซิ่วยังไม่ทันพูด คุณหนูจวินที่ดื่มชาอยู่ก็วางถ้วยชาลง“ดีนี่” นางเอ่ยเฉินชีกลับตะลึงไปนิดหนึ่ง“อะไรดีนี่?” เขายืนขึ้นมาเอ่ยคุณหนูจวินเดินมาถึงตรงหน้าหีบของยกมือตบ“เอาของไปโยนใส่หน้าประตูของหัวหน้ากองพันลู่เลยไง” นางเอ่ยเฉินชีสีหน้าตะลึง“ทำอย่างนี้จริงรึ?” เขาเอ่ยเขาอยากจะบอกมากว่าเขาก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยหากทำเช่นนั้น นั่นย่อมโวยจนทุกคนรู้ถ้วนหน้า แล้วก็ฉีกหน้าลู่อวิ๋นฉีแล้วคุณหนูจวินเดินผ่านยกมือลากผ้าไหมแดงบนหีบของลงมา“หน้า? ไม่ใช่ฉีกไปนานแล้วหรือ?” นางเอ่ย “ยังต้องเกรงใจอีกรึ?”ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“ไม่ผิด” เขาเอ่ย “ใครต้องการหน้าเล่า”ลู่อวิ๋นฉีคนเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีหน้าตา แต่นั่นแล้วอย่างไร โรงหมอจิ่วหลิงแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้อาศัยหน้าตาเช่นกันไม่ว่าเดินลัดเลาะตรอกซอกซอยเป็นหมอเร่ ยังประกาศอีกว่ารักษาเพียงโรคที่หมอคนอื่นรักษาไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นที่โรงหมอจิ่วหลิงตั้งขึ้นที่เมืองหลวงก็ไม่เคยสนใจหน้าตากลับมักทำให้คนไม่มีหน้าตาผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้มอีกครั้งมองไปทางเฉินชี“ผู้ดูแลใหญ่ชี ท่านไปหรือว่าข้าไป?” เขาเอ่ยถามเฉินชีหัวเราะบ้างแล้ว“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วล้อเล่นแล้ว พวกเราแบ่งท่านข้าอยู่นะ” เขาเอ่ย “ธุระของโรงหมอจิ่วหลิงเราจะลำบากพวกท่านเต๋อเซิ่งชางได้อย่างไร”พูดจบก็ยกเท้าเดินไปข้างนอก“ข้าไปเตรียมรถเรียกคน”ฟางจิ่นซิ่วกลับเรียกรอก่อนหนึ่งประโยค เอาตั๋วเงินใบหนึ่งออกมา“ตอนส่งสินสอดนี่กลับไป เงินแปดพันตำลึงนั้นครั้งก่อนก็คืนให้เขาด้วย” นางเอ่ยเฉินชีหัวเราะหึหึรับตั๋วเงินมาก้าวยาวๆ เดินออกไปและเวลานี้ลู่อวิ๋นฉีก็เดินเข้ามาในจวนสกุลลู่ บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ยากปิดบังความยินดีวุ่นวายอยู่บ้างใต้เท้าลู่ไม่ได้กลับมานานแล้ว แต่ที่ควรค่าให้ดีใจก็คือ พักนี้ใต้เท้าลู่ก็ไม่ได้ไปจวนหลังอื่นด้วยวันนี้ยุ่งกับงานในราชสำนักเสร็จ ที่กลับมาแรกสุดยังเป็นฝั่งนี้อย่างไรที่นี่ก็คือบ้านล่ะนะองค์หญิงจิ่วหลีก็ได้ยินเสียงเดินออกมาเช่นกัน มาต้อนรับตรงทางเดิน“องค์หญิง” ลู่อวิ๋นฉีห่างไปหลายก้าวก็คำนับองค์หญิงจิ่วหลีคำนับคืน“กลับมาแล้ว” นางเอ่ย แม้ไม่ได้มีความตื่นเต้นยินดียามคนจากไปกลับมา แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้นอยู่บ้าง นางยื่นมือทำท่าเชิญ “อาหารค่ำเตรียมพร้อมแล้ว ใต้เท้าเชิญเถอะ”ด้านในโถงรับแขกขององค์หญิงจิ่วหลีอบอุ่น สาวใช้หญิงรับใช้เข้าออกว่องไว นำสุราดีอาหารโอชาแต่ละอย่างๆยกมา“ใต้เท้าลำบากแล้ว” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย ส่งสุราจอกหนึ่งข้ามมาด้วยตนเองลู่อวิ๋นฉีลุกขึ้นรับ“ไม่ลำบาก” เขาเอ่ย นั่งลงมาชะงักไปครู่หนึ่ง “ไหวอ๋องอีกสามวันจะตรวจซ้ำได้อีกครั้ง”ในดวงตาขององค์หญิงจิ่วหลีรอยยิ้มยิ่งเข้ม“ลำบากแล้ว” นางเอ่ย ตนเองก็รินสุราจอกหนึ่ง “ไม่คิดว่าคุณหนูจวินคนนี้ถึงกับเอาชนะฝีดาษได้”ลู่อวิ๋นฉีหลุบตาดื่มสุรา ไม่เอ่ยตอบราวกับไม่ได้ยินองค์หญิงจิ่วหลีดื่มสุราคำเดียวหมด ท่วงท่าการดื่มสุรานี่กลับไม่สง่างามเหมือนที่นางเป็นมาตลอด“ไม่รู้ทำได้ยังไง?” นางวางจอกสุราลงยิ้มมองลู่อวิ๋นฉีลู่อวิ๋นฉีดื่มสุราช้าๆ จนหมดวางลง ยังคงไม่พูดจาหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างในใจร้อนรนและวิตกอยู่บ้างใต้เท้าจากไปนานกลับมาถามไถ่เป็นห่วงใต้เท้าสักหน่อยจะดีแค่ไหน ทำไมองค์หญิงกลับถามถึงแต่คนอื่น ถามเรื่องฝีดาษมีความหมายอะไรแม้เข้าใจได้ องค์หญิงจิ่วหลีถูกขังอยู่เรือนด้านในลึกในจวนแห่งนี้ เรื่องหายากอย่างการเอาชนะฝีดาษเช่นนี้คงใคร่รู้มาก แต่วันพรุ่งนี้ค่อยถามก็ได้นี่มีหญิงรับใช้ตัดสินใจคลายบรรยากาศ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็มีบุรุษก้าวไวๆ เข้ามาบุรุษตรงดิ่งมาถึงเรือนด้านใน สำหรับคนในจวนสกุลลู่แล้วไม่มีอะไรประหลาดสาวใช้หญิงรับใช้ที่อยู่ที่นั่นล้วนหลุบตาก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่เอ่ยวาจาอีก มองดูบุรุษคนนั้นกระซิบเสียงเบาข้างหูลู่อวิ๋นฉีประโยคหนึ่งสีหน้าลู่อวิ๋นฉียังคงนิ่งสนิท คนกลับลุกขึ้นมา“ข้าออกไปข้างนอกสักหน่อย” เขาเอ่ยองค์หญิงจิ่วหลียิ้มพยักหน้า มองลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวออกไปบรรดาหญิงรับใช้ตอนนี้ถึงก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง“องค์หญิงจะรอใต้เท้าไหมเพคะ?” หญิงรับใช้คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบารอใต้เท้ากลับมาค่อยทานด้วยกันหรือองค์หญิงจะเสวยก่อน?องค์หญิงจิ่วหลียิ้ม“ไม่ต้องเคร่งครัดมากมายปานนั้น” นางเอ่ย “ทุกคนทำตามสบายของตนเองก็พอ”ตามสบาย?ระหว่างสามีภรรยานี่จะตามสบายได้อย่างไร?หญิงรับใช้ในใจไม่เข้าใจ แต่มองดูองค์หญิงจิ่วหลียกชามตะเกียบขึ้นมาแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยกล่อมอีกอย่างไรก็เป็นองค์หญิงพระองค์หนึ่ง แม้ตกอับแล้วก็ตามด้านนอกฝีเท้ารัวดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งสีหน้าลนลานเดินเข้ามา“องค์หญิง แย่แล้วเพคะ” นางเอ่ย “ด้านนอกเกิดเรื่องแล้ว…”……………………………………….
คอมเม้นต์