Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 46 รู้จักกันย่อมคิดถึง
ในฐานะเด็กรับใช้ของคุณชาย เขาย่อมรู้ว่าเมรัยคือเหล้าเขารู้สึกว่าที่บทกวีบทนี้พูดก็ใช้ตรงนี้ได้ คนอื่นคลายทุกข์ใช้เหล้า สำหรับคุณชายแล้วหญิงงามก็คือเหล้า“คุณหนูจวินน่าจะกลับโรงหมอจิ่วหลิงแล้ว ไม่มีใครไปวัดกวงหวาแล้ว” เสี่ยวติงเอ่ย “ตลอดทางที่ข้าเดินมาเห็นโรงหมอหลายแห่งจุดประทัด ท่านหมอของโรงหมอหลายแห่งนี้ล้วนเป็นคนที่ติดตามคุณหนูจวินไปรักษาฝีดาษตั้งแต่แรก ตอนนี้แขวนป้ายหน่อฝีโรงหมอจิ่วหลิง รับปลูกฝีให้คนได้แล้ว”นับเวลาก็พอประมาณแล้ว หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย พรูลมหายใจทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนน่าตระหนกอันตรายไร้หนทาง แต่สตรีผู้นี้กลับเดินออกมาได้เสมอ นอกจากนี้ดูไปแล้วยังง่ายดายทั้งยังสมควรเป็นเช่นนั้นอีกด้วยไม่มีเรื่องก็ดีเขาเงยหน้ามองสีหน้าพิกลของเสี่ยวติงคนเหล่านี้ไม่มีวันเข้าใจ ต่อให้ไม่อาจสองฝ่ายสมปรารถนา เขาก็เชื่อว่าพวกเขาเป็นสหาย สหายที่เคยร่วมร่ำสุราถกเรื่องรักแรกพบพูดให้ง่ายขึ้นหน่อย พวกเขารู้จักกันคิดถึงคนที่รู้จักกันคนหนึ่งเป็นเรื่องปกติยิ่ง ไม่เกี่ยวกับเพศ ยิ่งไม่เกี่ยวกับปรารถนาแต่ไม่ได้มาเพียงแค่หนิงอวิ๋นเจายังคงหยุดชะงักนิดหนึ่ง เคร่งเครียดอยู่เล็กน้อยไม่รู้ว่านางรู้ผลคะแนนของการสอบกรมพิธีการหรือไม่ความคิดนี้ทารุณอยู่บ้างแล้วคนในตระกูลของนางไม่มีคนสอบขุนนาง นางก็ยุ่งกับเรื่องของตนเองเรื่องใหญ่เกี่ยวกับความเป็นความตายของปวงประชาในใต้หล้า นางเป็นสตรีตัวน้อยคนหนึ่ง แต่กลับสนใจเรื่องที่เขาบุรุษคนนี้ยังไม่เคยสนใจและไม่เคยประสบมาก่อนมุมปากหนิงอวิ๋นเจาผุดรอยยิ้มบาง เพิ่งหยิบงานเขียนที่เขียนเสร็จแล้วแผ่นหนึ่งขึ้นมา ก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งก้าวไวๆ เข้ามาจากด้านนอก“คุณชายสิบ มีของขวัญของท่าน”วันนี้ประกาศลำดับแล้ว สหายร่วมสำนักมารมากมายได้เห็นล้วนส่งถ้อยคำแสดงความยินดีมา แม้การสอบหน้าพระที่นั่งยังไม่เริ่ม ผลลัพธ์ท้ายที่สุดยังไม่กำหนด แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นจิ้นซื่อคนหนึ่งแล้ว สำหรับคนมากมาย นี่ก็เพียงพอให้เฉลิมฉลองแล้วหนิงอวิ๋นเจายิ้มพยักหน้า ส่งสัญญาณให้เสี่ยวติงรับมา กลับไม่ได้มีเจตนาจะดู รอหลังการสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดค่อยส่งของขวัญตอบกลับเถอะเสี่ยวติงรับสาส์นแนบของขวัญมากวาดอ่านทีหนึ่งสีหน้าตะลึง ร้องเอ๋“คุณชาย เป็นของขวัญแสดงความยินดีของคุณหนูจวิน” เขาเอยพลางส่งข้ามมาหนิงอวิ๋นเจาอึ้งไปเล็กน้อย มองดูสาส์นในมือเสี่ยวติง ด้านบนตัวอักษรเล็กงดงงามรวมถึงตราประทับของโรงหมอจิ่วหลิง เขายิ้มสู้นางไม่ได้ ตนเองสู้นางไม่ได้เขายังคาดเดาว่านางจะดูลำดับในการสอบกรมพิธีการสักนิดหรือไม่ พวกเขาเป็นสหายเก่าสหายร่วมบ้านเกิด ถามสักนิดแสดงความยินดีสักหน่อยไม่ใช่เรื่องสมควรหรือ?หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยื่นมือไปรับสาส์น ยิ้มให้เสี่ยวติง“เอาล่ะ เก็บไปก่อนเถอะ” เขาเอ่ย หยิบบทความบนโต๊ะขึ้นมา เพ่งสมาธิอ่าน พลางยกพู่กันแก้ไข…“สนเขาสอบทำไม” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เคาะโต๊ะ “เกี่ยวอันใดกับเจ้า”“ไม่เกี่ยวกับข้าหรอก” คุณหนูจวินเอ่ย ยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่ว “แต่พวกเรารู้จักกัน”ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียง“ใยแค่รู้จักกัน ยังเป็นศัตรูด้วย” นางเอ่ยคุณหนูจวินได้ยินส่ายศีรษะ“กับเขานับไม่ได้ว่าเป็นศัตรู” นางเอ่ยฟางจิ่นซิ่วอยากพูดอะไร มีพนักงานสีหน้าเคร่งเครียดเดินมาจากโถงด้านหน้า“คุณหนูจวิน หัวหน้ากองพันลู่มา” เขาเอ่ยหัวหน้ากองพันลู่รึคุณหนูจวินยันมุมโต๊ะยืนขึ้นด้านนอกโรงหมอจิ่วหลิงองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้ นี่เป็นกองพลที่มีประจำยามลู่อวิ๋นฉีเดินทางคุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านในโถง ก้มศีรษะคำนับสำหรับคุณหนูจวิน ลู่อวิ๋นฉีไม่นับว่าแปลกหน้าแล้วความขัดแย้งก่อนหน้า การสอดส่องที่วังไหวอ๋อง การคุมเข้มที่วัดกวงหวา แม้ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งน่าพอใจนัก แต่นอกจากความขัดแย้งครั้งแรกสุดแล้ว คิดดูให้ดีๆ สองเรื่องหลังเขาก็ไม่ได้ขัดขวางหรือข้องเกี่ยวอะไรกับการกระทำของตนเอง ตรงกันข้ามการคุมเข้มนี้ก็เป็นสิ่งที่นางต้องการพอดีแม้นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของลู่อวิ๋นฉีเองก็ตามวังไหวอ๋องกับวัดกวงหวาเพราะการมีอยู่ขององครักษ์เสื้อแพรกั้นขวางการสอดส่องของโลกภายนอกไว้ ไม่มีใครได้ข่าวที่ตนเองต้องการไปจากการกีดกัดขององครักษ์เสื้อแพรได้ นอกจากฮ่องเต้เรื่องเหล่านี้ที่คุณหนูจวินทำแน่นอนย่อมไม่คิดปิดบังฮ่องเต้ ดังนั้นนี่จึงเพียงพอแล้วตอนที่ไม่ขัดแย้ง นางย่อมไม่อาจสร้างความขัดแย้งได้ ยั่วโมโหคนบ้าผู้หนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าใช้หลักปกติคาดเดาไม่ได้ย่อมไม่ใช่ความกล้าหาญ“ใต้เท้ามีอะไรสั่งเจ้าคะ?” นางหลุบตาเอ่ยหน้าตาของนางสงบน้ำเสียงอ่อนโยน กิริยาท่าทางยังอ่อนน้อมอยู่บ้างแต่สำหรับลู่อวิ่นฉีแล้วยังคงมองเห็นการหลบเลี่ยงเบื้องหลังความอ่อนน้อมชัดเจนแต่เหล่านี้สำหรับเขาเห็นมาจนชินแล้ว หาได้สำคัญท่าทีที่ผู้อื่นมีต่อเขา เขาจะสนใจได้อย่างไรความคิดแล่นผ่าน สีหน้าของเขาก็ชะงักไปนิดหนึ่งอีกครั้ง นอกจากคนผู้นั้นคนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว“ไหวอ๋องตรวจซ้ำได้หรือยัง?” เขาเอ่ยถามได้ยินประโยคนี้ คุณหนูจวินที่หลุบตาอยู่ขนตาพลันกระพือไหวนางรู้ประโยคนี้หมายความว่าอะไร เมื่อการพิสูจน์ปลูกฝีของวัดกวงหวาสำเร็จ จูจั้นก็เคยพูดประเด็นนี้แต่จูจั้นพูดค่อนข้างตรงไปตรงมา“ไปปลูกฝีให้ไหวอ๋องก่อน” เขาเอ่ยเวลานั้นวัดกวงหวายังคงปิดอยู่“ปิด? ปิดนับเป็นอะไร พุทราน้อยลู่คนเหล่านี้ยังขวางข้าได้? พวกเขาหากขวางข้าได้ ตอนนี้ข้าก็ไม่อยู่ที่นี่แล้ว ข้าเป็นใคร? คนที่ทำข้อแลกเปลี่ยนรับหนึ่งหมื่นตำลึง เจ้าใช้สายตาเช่นนี้มองข้าได้รึ?”น่าจะเพราะพูดถึงตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง จูจั้นจึงเริ่มพูดมากอย่างหาได้ยากอย่างเช่นตอนอยู่ที่หรู่หนานแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง“ความหมายของข้าก็คือ ตอนนี้ยังไม่อาจปลูกฝีให้ไหวอ๋องได้” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขัดเขา “พิษฝีอย่างไรก็เป็นพิษ คนที่ร่างกายไม่แข็งแรงอายุน้อยเกินไปล้วนอันตราย ดังนั้นต้องรออีกสักหน่อย”ไม่ว่าพูดตรงไปตรงมาก็ดี พูดอ้อมค้อมก็ดี ล้วนคือไหวอ๋องก็ต้องการปลูกฝี ความหมายก็คือไหวอ๋องตอนแรกที่เป็นย่อมไม่ใช่ฝีดาษนี่คือความจริงที่คนมากมายรู้กระจ่างแก่ใจ แต่กลับเป็นความจริงที่ไม่มีคนกล้ารวมถึงต้องการพูดออกมาในใจคุณหนูจวินหัวเราะหยันทีหนึ่งแต่ไปวังไหวอ๋อง อย่างไรนางก็ยินดี“ควรตรวจซ้ำแล้ว” นางเอ่ย “ข้าจะไปดู”ลู่อวิ๋นฉียิ้มให้นาง แม้ยังคงก้มศีรษะนางจึงไม่ได้เห็น แต่หลิ่วเอ๋อร์มองเห็นแล้ว เบิกตาประหลาดใจอยู่บ้างมองลู่อวิ๋นฉีลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวเดินออกไปก่อน“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเจ้าคะ คนผู้นี้ยังยิ้มเป็นด้วยเจ้าค่ะ” หลิ่วเอ๋อร์ไปหยิบหีบยา แล้วอดไม่ได้ดึงคุณหนูจวินเอ่ยขึ้นเขาย่อมยิ้มเป็น ความจริงแล้วนางยังประหลาดใจนิดๆ ด้วยซ้ำที่เขาไม่ยิ้มคุณหนูจวินคิดไป แล้วชะงัดนิดหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์ไม่มีทางพูดคำนี้ขึ้นมาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ดังนั้นเมื่อครู่เขายิ้มให้ตนหรือ?ก่อนหน้านี้เห็นรอยยิ้มของเขาเบิกบานใจนัก แต่ตอนนี้นางย่อมไม่เบิกบานใจสักนิดแล้วคุณหนูจวินคิ้วขมวด“คุณหนู” หลิ่วเอ๋อร์ส่งหีบยาข้ามมาเอ่ย ขัดอาการเหม่อลอยของคุณหนูจวินฟางจิ่นซิ่วก็เปิดม่านเดินออกมาจากโถงด้านหลังด้วยคุณหนูจวินคลายคิ้ว ยิ้มให้พวกนางรับหีบยาหมุนตัวเดินออกไป……………………………………….
คอมเม้นต์