Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 45 เดือนสามวสันต์อันน่ายินดีมาเยือน
หลังฝนฤดูใบไม้ผลิติดต่อกันสองห่า นอกเมืองหลวงยามค่ำคืนก็กลายเป็นกลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิเข้มข้น ด้านในวัดกวงหวาดอกชาภูเขาบานสะพรั่งบรรดาหมอที่ร่ำเรียนวิชาการปลูกฝีกลุ่มแรกผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น แขวนเครื่องหมายการปลูกฝีของโรงหมอจิ่วหลิงไว้หน้าโรงหมอ รับปลูกฝีให้ชาวบ้านที่มาได้ นอกจากวิชาการปลูกฝี ประสบการณ์การรักษาผู้ป่วยฝีดาษที่วัดกวงหวาก็สั่งสอนให้พวกเขาในเวลาเดียวกันด้วยเพราะมีการปลูกฝีเด็กๆ คนอื่นจึงไม่ต้องหลบเลี่ยงฝีดาษดั่งสัตว์ป่าผจญน้ำหลากแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยฝีดาษหลังจากนี้จึงรับการรักษาที่โรงหมอได้โดยตรงภิกษุทั้งหลายในวัดกวงหวาที่ถูกไล่ออกไปในที่สุดก็กลับมาแล้ว เวลาห่างไปหนึ่งเดือนครึ่งควันธูปเสียงระฆังรวมถึงเสียงสวดคัมภีร์ก็ปรากฏขึ้นในวัดใหม่อีกครั้งหลิ่วเอ๋อร์ถือร่มคันหนึ่งอยู่ เด็กสาวที่เดินลงบันไดใต้ร่มฉับพลันหยุดฝีเท้าหันกลับไปมอง“บรรดาภิกษุของวัดกวงหวากำลังสวดคัมภีร์ทำพิธีให้กับเหล่าผู้ป่วยที่ตายไป” ท่านหมอเฒ่าเฝิงที่ตามมาข้างหลังเอ่ย“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยังบริจาคเงินน้ำมันตะเกียงด้วย” เฉินชีเอ่ยเสริมเพราะเหตุนี้ในวัดจึงตั้งป้ายไว้แผ่นหนึ่ง เจ้าอาวาสของวัดกวงหวาเขียนเรื่องราวของผู้ป่วยฝีดาษด้วยตนเอง ชื่อของคุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ล้วนอยู่บนนั้นด้วยคุณหนูจวินยิ้ม รั้งสายตากลับเดินลงบันไดต่อไปทหารขององครักษ์เสื้อแพรด้านนอกวัดถอนกำลังไปนานแล้ว ที่นี่เงียบสงบอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อนแต่เมื่อถึงประตูเมืองยังคงคึกคักยิ่งนัก ฝนตกก็มีรถม้าไม่น้อยเข้าออก นอกจากนี้รถมากมายล้วนมีตราของทางการ“นี่คือบรรดาท่านหมอที่ออกจากเมืองหลวงเดินทางไปยังเมืองต่างๆ วันนี้เดินทางไปพอสมควรแล้ว” ท่านหมอเฒ่าเฝิงบอกแม้สถานที่มากมายล้วนอยากให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงไป แต่เนื่องด้วยความสำคัญของการปลูกฝี ราชวิทยาลัยฮั่นหลินจึงเสนอฮ่องเต้ให้ก่อตั้งกรมฝีขึ้นมาโดยเฉพาะแห่งหนึ่ง รับผิดชอบจัดการกิจการการปลูกฝีในที่ต่างๆ ฮ่องเต้เห็นด้วยแล้ว นอกจากนี้อนุมัติให้ท่านหมอเฒ่าเฝิงดูแลเรื่องนี้ท่านหมอเฒ่าเฝิงได้รับฐานะเป็นขุนนางแพทย์ แม้เป็นเพียงตำแหน่งขุนนางต่ำต้อยอันหนึ่ง แต่ก็เป็นขุนนางสำหรับเขาที่เตรียมตัวให้ลูกๆ หลานๆ เป็นหมอจัดกระดูกแล้วเป็นเรื่องที่ฝันก็ยังคิดไม่ถึง“ที่จริงขุนนางแพทย์นี่ควรเป็นคุณหนูจวินท่านมาเป็น” แม้ผ่านไปหลายวันแล้ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ยังคงยากปิดบังความตื่นเต้น ท่าทางละอายนิดหน่อยเอ่ยขึ้นอีกครั้งคุณหนูจวินยิ้มแล้ว“ขุนนางนี่ท่านทำได้ ไม่ต้องให้ข้าทำ” นางยังคงเอ่ยประโยคนั้นท่านหมอเฒ่าเฝิงรู้นิสัยของนาง ก็ไม่เอ่ยคำพูดเกรงอกเกรงใจอีก อีกอย่างขุนนางนี่ใครมาทำก็ไม่สำคัญ เรื่องนี้เป็นใครทำมา บรรดาชาวบ้านกระจ่างใจยิ่งนัก“คุณหนูจวินกลับมาแล้ว!”ไม่รู้คนไหนเห็นเข้าก่อนตะโกนเอ่ย ประตูเมืองที่เดิมทีเบียดเสียดฉับพลันแหวกทางออก คนทั้งหมดล้วนมองนางทั้งตื่นเต้นทั้งยินดีเหมือนเช่นตอนเป็นหมอเร่เดินผ่านเมืองครั้งนั้น แน่นอนเป็นหมอเร่ที่หลังมีชื่อแล้ว ไม่ใช่หมอเร่ตอนแรกสุดที่ถูกมองเป็นพวกขอทานนักต้มตุ๋นคิดถึงเรื่องตอกแรก คุณหนูจวินก็เผยรอยยิ้มซุกซนอย่างแม่นางน้อยอันหายากมานิดหน่อย“ลำบากคุณหนูจวินแล้ว”“ขอบคุณคุณหนูจวินมาก”ตามทางผู้ชายผู้หญิงผู้เฒ่าเด็กน้อยคำพูดเหมือนกันลอยเข้าหูไม่ขาด ทางก็หลีกให้เอง ให้รถม้าของนางแล่นผ่าน จนกระทั่งเดินมาถึงด้านหน้าถนนเส้นหนึ่ง ถนนก็ถูกขวางไว้ แม้ฝนตกพรำๆ แต่ถนนเส้นนี้กลับคนเดินเบียดเสียด ร่มกระดาษชนกัน เสียงด่าเสียงหัวเราะเสียงตะโกนไม่ขาด ประหนึ่งกำลังเกิดสงครามวุ่นวายครั้งหนึ่งอยู่“นี่เกิดอะไรขึ้น?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย เสียงไม่พอใจอยู่บ้าง เพราะคนเหล่านี้ถึงกับไม่สังเกตคุณหนูจวินท่านหมอเฒ่าเฝิงตะลึงครู่หนึ่ง“วันนี้คือวันที่สิบแปดเดือนสาม” เขาตบศีรษะท่าทางเข้าใจ “เป็นวันประกาศผลของกั๋วจื่อเจี้ยน”คุณหนูจวินสีหน้าเข้าใจขึ้นมาบ้าง มองไปด้านหน้าจากใต้ร่ม“ในภูเขาไม่รู้วันคืนจริงๆ ที่แท้การสอบของกรมพิธีการก็จบแล้ว” นางเอ่ย มองฝูงชนที่เดินเบียดเสียดรวมถึงเสียงร้องยินดีเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ จินตนาการได้ว่าด้านหน้ากระดานประกาศมีอารมณ์ของคนเท่าไรปั่นป่วนนางพลันคิดถึงชายหนุ่มคนนั้น คนหนุ่มที่แสดงความรักต่อแม่นางคนหนึ่งก็ยังตรงไปตรงมาได้“ไม่รู้คุณชายหนิงสอบเป็นอย่างไร?” นางเอ่ยโรงหมอจิ่วหลิงท่ามกลางฝนวสันตฤดูไม่ขาดสายยิ่งแลดูเงียบสงบ“คุณหนูกลับมาแล้ว!”เสียงตะโกนของหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นหน้าประตูฟางจิ่นซิ่วที่ยืนอยู่ด้านในโถงตื่นเต้นยินดีนิดหน่อยลุกขึ้นยืน มองเด็กสาวที่เดินเข้ามา“ทำไมไม่บอกสักคำเล่า” นางหลุดปากเอ่ย แล้วมองไปด้านนอก มีเพียงพวกนางนายบ่าวสองคน กระทั่งเฉินชีก็ไม่ได้ตามมา“เฉินหลินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงไปราชวิทยาลัยฮั่นหลินแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “การเผยแพร่การปลูกฝีต้องจัดการสิ่งต่างๆ มากมาย เขาไปช่วยท่านหมอเฒ่าเฝิง”ฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า“เรื่องปลูกฝีทั้งยากแล้วก็ง่าย ต้องป้องกันไม่ให้คนชั่วใช้ประโยชน์จากใจรีบร้อนของชาวบ้าน ไม่เช่นนั้นอาจส่งผลกับประสิทธิภาพของการปลูกฝี ไม่อาจไม่ระวัง” นางเอ่ยตั้งแต่แรกสุดที่มีคนรับซื้อลำดับ จนถึงตอนนี้เล่าลือกันอยู่เลือนรางว่ามีคนวิจัยทำหน่อฝีเองด้วยแม้ที่มาของหน่อฝีคุณหนูจวินบอกเพียงท่านหมอเฒ่าเฝิงสิบกว่าคน นอกจากนี้สิบกว่าคนนี้ก็สาบานไม่เผยแพร่ไปภายนอกเด็ดขาด แต่หลักการปลูกฝีใช้พิษต้านพิษกลับมีคนมากมายเคยพูดมาก่อนหลักการนี้ง่ายนักทำให้คนรู้ว่าควรทำอย่างไร กลัวก็แต่จะนำผลลัพธ์โหดร้ายยิ่งนักตามมาภายหลัง“เรื่องนี้ข้าบอกกับพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงแล้ว พวกเขาจะจัดการเหล่าขุนนางให้ตรวจสอบอย่างเข้มงวด” คุณหนูจวินเอ่ยฟางจิ่นซิ่วรู้ เรื่องเหล่านี้นางต้องมีแผนรับมือแน่ เอ่ยประโยคหนึ่งก็ไม่พูดถึงอีก แม้วางใจนานแล้ว แต่เห็นคุณหนูจวินยืนอยู่ตรงหน้าก็ยังคงโล่งอก ทั้งยังรู้สึกปลงอย่างประหลาดด้วยคุณหนูจวินมองนาง ยิ้มแล้ว“เหนื่อยเกินใช่หรือไม่?” นางเอ่ยถามกังวล ผวา หวาดกลัว ระลอกหนึ่งยังไม่ทันสงบระลอกใหม่ก็ผุดขึ้นมาอีกฟางจิ่นซิ่วกลอกตาให้นาง“เจ้ารู้ก็ดี” นางเอ่ยกำลังคุยเล่นกันอยู่ก็มีคนวิ่งเข้ามาจากนอกประตู“คุณหนูจวิน ติดแล้ว” เขาตะโกนบอกฟางจิ่นซิ่วถูกเสียงตะโกนเรียกให้คิ้วกระตุก จำพนักงานคนนี้ได้ เป็นคนที่ติดตามเฉินชีทายปริศนาอะไร? อะไรติด? แล้วยังไง? นี่เพิ่งกลับมา…“ที่เท่าไร?” คุณหนูจวินกลับเห็นชัดว่าเข้าใจความหมายของปริศนานี้ อมยิ้มมองคนติดตามผู้นี้…จวนของหนิงเหยียนแม้กว้างขวางเทียบกับคฤหาสน์เก่าที่หยางเฉิงไม่ได้ แต่งดงามประณีต เวลานี้ท่ามกลางสายฝนวสันตฤดูไม่ขาดสายเรือนด้านหลังสะพานน้อยสายน้ำยิ่งทำให้คนเจริญตาเจริญใจแต่เวลานี้หนิงอวิ๋นเจาที่นั่งอยู่ในศาลารับลมกับหนิงเหยียนกลับไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ชื่นชมทิวทัศน์สองคนนั่งประจันหน้า ด้านหน้าวางพู่กันกระดาษหมึกแท่นฝนไว้ บนโต๊ะก็วางกระดาษที่เขียนอักษรเต็มสองสามแผ่นไว้ ในมือหนิงเหยียนถืออยู่แผ่นหนึ่งกำลังอ่าน หนิงอวิ๋นเจายังคงตั้งใจเขียนรวดเร็วคนหนึ่งอ่านคนหนึ่งเขียน ไม่นานหนิงเหยียนก็อ่านกระดาษสามแผ่นบนโต๊ะจบ หนิงอวิ๋นเจาก็หยุดพู่กันหนิงเหยียนไม่รอหมึกแห้งก็หยิบขึ้นมา ตั้งใจอ่านจนจบ“แม้การสอบของกรมพิธิการเจ้าได้เพียงที่สาม แต่ยังไม่ถึงการสอบหน้าพระที่นั่งทุกสิ่งก็ยังไม่กำหนด” เขาเอ่ย “บทความไม่กี่บทนี้ข้าจะไม่วิจารณ์ก่อน เจ้าลองแก้ดูเอง รอค่ำเอามาพวกเราค่อยคุยรายละเอียดกันอีกครั้ง”หนิงอวิ๋นเจาขานรับ ลุกขึ้นส่ง มองหนิงเหยียนไม่ถือร่มจากไปท่ามกลางสายฝนพรำเสี่ยวติงที่ยืนอยู่ไกลออกไปยื่นหัวยื่นศีรษะหนิงอวิ๋นเจายิ้มกวักมือให้เขา เสี่ยวติงเริงร่าเข้ามาทันที บนหน้ายากปิดบังความตื่นเต้นเทียบกับคนที่ดูประกาศด้านนอก เมื่อวานหนิงอวิ๋นเจาก็รู้ลำดับแล้วที่สามของการสอบกรมพิธีการเชียวนะนี่หมายความว่าการสอบหน้าพระที่นั่งต้องอยู่สิบลำดับแรกแน่แม้การสอบหน้าพระที่นั่งจะเป็นหลายวันให้หลัง แต่หนิงเหยียนยังคงใช้ม้าเร็วส่งลำดับของการสอบกรมพิธีการมาถึงที่บ้านทันที บนจดหมายย่อมกำชับด้วยประโยคหนึ่งว่าโปรดอย่าเสียกิริยา แม้เขาเดิมทีรอคอยหลังการสอบหน้าพระที่นั่งสิ้นสุดค่อยส่งข่าวท้ายที่สุดกลับไปก็ได้ เช่นนี้ย่อมไม่ต้องกำชับประโยคนี้แล้ว แต่หนทางเบื้องหน้าของลูกหลานตระกูลหนิงเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่อย่างการสืบต่อความรุ่งโรจน์ของครอบครัวตระกูลหนิง ต่อให้เป็นหนิงเหยียนที่คร่ำหวอดในวงขุนนางมาหลายปีก็ไม่อาจทำถึงไม่เสียกิริยาได้หนิงเหยียนยังทำไม่ได้ เสี่ยวติงข้ารับใช้คนนี้ยิ่งไม่จำเป็นต้องทำได้แล้ว“คุณชาย ท่านอยากทานอะไร? ข้าไปข้างนอกซื้อให้ท่าน” เขากดเสียงเบาเอ่ยเพื่อต้อนรับการสอบหน้าพระที่นั่ง หนิงอวิ๋นเจาหลายวันนี้ไม่ได้ผ่อนคลายกว่าช่วงเวลาหลายวันก่อนหน้า ร่ำเรียนก็ไม่น้อย“ข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อยจอมตะกละ” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย “ข้าไม่มีอะไรอยากกินหรอก”เสี่ยวติงร้องอ้อ ถูมือยืนไม่มั่นคงอยู่บ้าง อย่างไรรู้สึกว่าตนเองควรทำอะไรบ้าง หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของคุณชายดังขึ้นอีกครั้ง“วัดกวงหวาด้านนั้นเป็นอย่างไรแล้ว?”เสี่ยวติงยืนมั่นคง ร้องอ้อทีหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบทกวีวรรคหนึ่ง ใช้สิ่งใดคลายทุกข์มีเพียงเมรัย……………………………………….
คอมเม้นต์