Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 43 กึ่งยินดีกึ่งกังวล
ที่นี่คือตำหนักข้างในวังไทเฮา ระยะห่างระหว่างห้องกับห้องไม่ไกล เวลานี้พวกนางเดินมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะเอะอะของเหล่าองค์ชายองค์หญิงแล้วคุณหนูจวินเอ่ยถามคำนี้ออกมา สายลมราตรีเดือนสามก็พัดไล้นางขนลุก ยื่นมือลูบขนที่ลุกตั้ง อีกมือหนึ่งลูบเสื้อกระโปรงที่ที่ยุ่งเหยิงจากที่หวิดหกล้มเมื่อครู่ สีหน้าสบายๆนางกำนัลน้อยร้องเอ๋“ไม่มีกระมัง” นางเอ่ยปิงเอ๋อร์มีพี่สาวเพียงคนเดียว ในบ้านพี่สาวมีเด็กหรือไม่ก็ไม่รู้ หรือว่าจะไม่มี?มือของคุณหนูจวินกำเบาๆ“คุณหนูจวินท่านคงจำผิดแล้วกระมังเจ้าคะ” นางกำนัลน้อยเอ่ยต่อ “คนที่รินสุราให้ท่านที่ตำหนักหลักต้องไม่ได้ชื่อปิงเอ๋อร์แน่”คุณหนูจวินร้องอ้อทีหนึ่ง“น่าจะใช่นะ เวลานั้นข้ากังวลมากเกินไปก็ฟังไม่ชัดเหมือนกัน” นางเอ่ยขึ้นท่าทางขออภัยอยู่นิดๆ “ได้ยินคลับคล้ายว่าเป็นปิงเอ๋อร์”นางกำนัลน้อยพยักน้า“ต้องผิดแล้วแน่ ไม่มีทางเป็นปิงเอ๋อร์” นางเอ่ยคุณหนูจวินเม้มปากยิ้มพลางก้าวเดินไปข้างหน้า“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ เหมือนจะมีคนที่ชื่อปิงเอ๋อร์จริงๆ?” นางเอ่ยถามนางกำนัลน้อยพยักหน้า ใต้แสงโคมวังสาดส่อง บนใบหน้าความโศกศัลย์จางๆ แล่นผ่าน“ใช่มีอยู่คนหนึ่ง” นางเอ่ย “เพียงแต่เมื่อปีก่อนป่วยตายไปแล้ว”ฝีเท้าของคุณหนูจวินชะงักไปวูบหนึ่ง เหยียบลงบนบันไดขั้นหนึ่งป่วย ตาย ไปแล้วปีก่อนหลังจากที่ตนเองตายงั้นหรือ?ถูกพบเข้างั้นรึ?แต่ไม่ถูกต้องสิ หากถูกพบเข้าจริงๆ ทำไมพี่สาวของปิงเอ๋อร์ถึงเพิ่งหายไปตอนนี้? ไม่ใช่ควรถูกกำจัดไปด้วยกันหรือ?ความคิดของคุณหนูจวินสับสนอยู่บ้างเล็กน้อย“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษจริงๆ” นางรีบเอ่ยท่าทางรู้สึกผิดอยู่บ้างนางกำนัลน้อยส่ายศีรษะให้นาง“เหมันต์หนาว เป็นหวัดง่าย” นางเอ่ยเสียงเบา “บางคนร่างกายอ่อนแอยากเลี่ยงทนไม่ไหว”เหมันต์เป็นหลังจากตนเองตายจริงๆคุณหนูจวินยิ้มให้นางกำนัลน้อยก้าวเท้าขึ้นบันได นางกำนัลในตำหนักก็ออกมารับ ผลักประตูตำหนักเปิด เด็กๆในห้องหัวเราะส่งเสียงเอะอะ เสียงตำหนิของบรรดาพระชายานางสนมเล็ดลอดออกมา ครึกครื้นยิ่งนักสามวันให้หลัง คุณหนูจวินกับท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เดินออกมาจากวังหลวง ที่มาด้วยกันกับพวกเขาคือรางวัลพระราชทานกองใหญ่ รวมถึงท่านอ๋องท่านกงผู้สูงศักดิ์ที่รุมล้อมเข้ามาที่ประตูวัง“ท่านหมอเฝิง ท่านต้องไปบ้านของพวกเราก่อนนะ”“คุณหนูจวิน พวกเราต่อแถวได้หมายเลขแล้ว”ผู้คนที่กินดีอยู่ดีเหล่านี้ไม่สนเสียเกียรติ แต่ละคนๆ เดินทางมาเชิญด้วยตัวเอง อยากจะยื่นมือมาคว้าท่านหมอเฒ่าเฝิงหิ้วเขากลับไปทั้งอย่างนี้ จนปัญญาด้วยกลัวจะทำเขาโมโห แม้ร้อนรนก็ไม่กล้าล่วงเกิน“มีหมดมีหมด ทุกท่านไม่ต้องรีบร้อน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย สีหน้าเขาสงบ ไม่ได้ถูกคนมากมายเช่นนี้ทำให้กลัว แล้วก็ไม่ได้ตกใจเพราะได้รับความโปรดปราณไม่มีอะไรทำให้เขากลัวและทำให้เขาตกใจได้อีกแล้ว เขาเป็นถึงคนที่เคยเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ขยับตะไบกับพวกองค์ชายองค์หญิง ค้างในวังหลวงมาแล้วสามวันเชียวนะ“ทุกคนไม่ต้องรีบร้อน การปลูกฝีพวกเรามีแผนการและการจัดเตรียม ไม่มีทางตกหล่นใครแล้วก็ไม่มีทางล่าช้าด้วย” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยความสงบของเขาทำให้ฝูงชนที่วุ่นวายจำนวนหนึ่งเงียบสงบลง ฟังท่านหมอเฒ่าเฝิงอย่างตั้งใจบางคนรู้ว่าคุณหนูจวินจะไม่ปลูกฝีให้คนด้วยตนเอง ผู้คนก็ไม่สนใจนางคุณหนูจวินเดินผ่านฝูงชน มองเห็นจูจั้นที่อยู่บนถนนเสด็จพระราชดำเนินไม่ใช่แค่จูจั้น ยังมีเด็กหลายคนนั้นของตระกูลโจวด้วยเขาเหมือนกำลังรอคนอยู่ แล้วก็เหมือนพอดีปรากฏตัวอยู่ที่นี่เท่านั้น เพราะเมื่อมองเห็นคุณหนูจวินมองข้ามมา จูจั้นก็เคลื่อนสายตาออกทันทีตอนที่เขาหมุนตัวไล่เด็กหลายคนของตระกูลโจวจะไป คุณหนูจวินก็ยิ้มไล่ตามมา เหมือนดั่งเดิม“ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องกังวล”คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยจูจั้นหยุดฝีเท้าหันมา“เอาคำว่าท่านทิ้งไปซะ” เขาเอ่ยคุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“หากกระทั่งความสามารถแค่นี้ยังไม่มี ยังกล้าเข้าวังหลวงปลูกฝี ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตายไปแปดร้อยหนแล้ว ไหนเลยยังต้องให้ผู้อื่นกังวลใจ” จูจั้นเอ่ยคุณหนูจวินพยักหน้า“ท่านพูดถูก” นางเอ่ย สายตามองไปทางเด็กไม่กี่คนของตระกูลโจวเด็กๆ ของตระกูลโจวก็กำลังลอบมองนาง เห็นนางมองข้ามมาล้วนหลบเลี่ยงสายตาอย่างขัดเขินอยู่บ้าง“เรื่องของพวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถามตอนแรกจูจั้นบอกว่าให้เด็กตระกูลโจวมาทดลองยา สำเร็จก็งดเว้นโทษตายของพวกเขา ตอนนี้คำสั่งปิดล้อมวัดกวงหวายกเลิกแล้ว เป็นเวลาจัดการเรื่องนี้แล้วจูจั้นขานรับทีหนึ่ง“ข้าจะส่งพวกเขาไปแล้ว” เขาเอ่ย“กลับเจินติ้งหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม“เจ้าถามมากมายปานนั้นทำอะไร?” จูจั้นคิ้วกระตุกเอ่ย “เจ้าคิดจะทำอะไร?”คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“ข้าไม่คิดจะทำอะไร เอาล่ะ ข้ารู้ว่าท่านจะออกจากบ้านแล้ว เดี๋ยวพบกัน” นางยิ้มเอ่ย โบกมือจูจั้นมองนางส่ายศีรษะ“เจ้านี่มันคิดไปเองจริงๆ” เขาเอ่ย หมุนตัวก้าวยาวเดินไปสำหรับจวินจิ่วหลิงแล้ว ใช่จริงๆแต่สำหรับฉู่จิ่วหลิงแล้ว ไม่ใช่ทุกสิ่งในวันนี้ในมุมมองของจูจั้นล้วนเริ่มมาจากการรักษาโรคให้ไหวอ๋อง และเขารับปากไว้ รักษาไหวอ๋องหาย ปกป้องชีวิตนางไมตรีนี้มีให้กับไหวอ๋อง ให้กับครอบครัวของพวกนางคุณหนูจวินมองแผ่นหลังของจูจั้นไม่เอ่ยวาจาอีก เด็กน้อยที่ก้าวเดินตามจูจั้นไม่กี่คนนั้นพลันหยุดแรกสุดคนเดียว ต่อมาคนอื่นๆ ก็ล้วนหยุดไปด้วย ต่อมาโจวจิงที่นำอยู่ก็หันกายมาโจวจิงค้อมกายคำนับคุณหนูจวิน เด็กคนอื่นที่เหลือก็ล้วนค้อมกาย โจวเหมาเหมาที่ถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนก็ถูกวางลง คำนับอย่างเป็นการเป็นงานพวกเขาค้อมกายต่ำ คำนับยาวๆ หนหนึ่ง“นี่ไม่ต้องขอบคุณข้าจริงๆ” คุณหนูจวินส่ายศีรษะเอ่ย “สำหรับข้า ผู้ใดล้วนเหมือนกัน คนที่เลือกพวกเจ้าไม่ใช่ข้า”พวกโจวจิงยังคงไม่ยืดตัวขึ้น จูจั้นหมุนตัวมามือใหญ่ยื่นมาคว้าพวกเขาไว้“เรื่องมากอะไรปานนั้น ยังจะเดินทางหรือไม่?” เขาเอ่ยเด็กๆ ตระกูลโจวถูกเขารวบ ไล่ ประหนึ่งลูกเจี๊ยบเดินจากไปแล้วท่านหมอเฒ่าเฝิงปลอบผู้คนที่รุมล้อมเหล่านั้นแล้วจึงเดินเข้ามา คุณหนูจวินกับเขาขึ้นรถม้าด้วยกัน ออกจากวังท่ามกลางบรรดาผู้คนที่ห้อมล้อมเจียงโหย่วซู่ยืนอยู่ด้านนอกสำนักแพทย์หลวงอีกครั้ง หลายวันนี้เขาล้วนยืนอยู่ที่นี่ เขายืนอยู่ที่นี่ไม่ใช่รอใครอยู่ แต่คาดหวังว่าจะไม่มีวันมองเห็นสองคนนั้นอีกคนที่เข้าไปในวังหลวงสองคนนั้น ดีที่สุดไม่ต้องออกมาอีกแล้ว หรือไม่ถูกพวกขันทีแบกออกมา หรือถูกพวกองครักษ์เสื้อแพรหิ้วออกมาขอให้พวกเขาพลาดระหว่างปลูกฝีให้บรรดาองค์ชายองค์หญิงในใจเจียงโหย่วซู่คาดหวังอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ เขาไม่ใช่ไม่เคยลองเข้าวังไปดู แต่เพราะการปลูกฝีสำคัญยิ่งยวด ไทเฮาเคร่งเครียดมาก สองวันนี้ไม่ยอมให้ผู้ใดก็ตามเข้าวังผู้ใดก็ตามเขาเจียงโหย่วซู่ หมอที่ดีที่สุดในใต้หล้าวันนี้ เจ้าสำนักของสำนักแพทย์หลวง หมอที่ฮ่องเต้ไทเฮาเชื่อใจที่สุด ผู้คนล้วนอยากขอร้องให้เขารักษาโรคถึงกับมีวันหนึ่งที่ถูกปฏิบัติเป็นผู้ใดก็ตามไม่ ในอดีตก็เคยมีครั้งหนึ่ง จางชิงซานผู้นั้นมาถึงเมืองหลวง ได้ฮ่องเต้ยกย่องเป็นแขกคนสำคัญ เขาก็ถูกผลักไปด้านข้างเช่นเดียวกับหมอคนอื่นที่โชคดีก็คือจางชิงซานคนนี้เป็นแค่คนคุยโวใหญ่โตคนหนึ่ง รักษาโรคขององค์รัชทายาทไม่หายหนีไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเงียบงันไร้ร่องรอยคนเหล่านี้สร้างเรื่องครึกโครมประหนึ่งดอกไม้ไฟดึงดูดให้ชาวบ้านกรีดร้องไล่ตาม แต่ก็ครึกโครมอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียวนั้นก็สลายหายไปดั่งหมอกควัน กลายเป็นเถ้าธุลีกองหนึ่งมีเพียงเขา ยังยืนอยู่ตรงนี้ และจะยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไปเจียงโหย่วซู่พรูลมหายใจยาวๆ เอาความหงุดหงิดในอกออกมา แต่ยังไม่ทันพรูหมด เสียงกีบเท้าม้าเอะอะก็ดังมาจากบนถนนรถม้าคันนั้นปรากฏขึ้นอีกแล้วไม่ใช่แค่รถม้าคันเดียว ยังเพิ่มรถคันหนึ่งที่กองของพระราชทานคลุมผ้าต่วนสีเหลืองสดไว้เต็มคันหนึ่งอีกด้วยส่วนด้านหลังพวกเขายังมีคนผู้อาภรณ์หรูหรางดงามท่าทางน่าเกรงขามหยิ่งยโสกลุ่มหนึ่งตามมาอีกพวกเขาคนเหล่านี้ก่อนหน้านี้ย่อมไม่เคยเดินตามหลังผู้อื่น เวลานี้นาทีนี้อยู่ด้านหลังรถม้าเชื่องช้าสองคันนั้นกลับไม่มีรำคาญสักนิด ตรงกันข้ามท่าทางมีความสุขสวรรค์ช่างไม่มีตาจริงๆความโกรธที่เหลืออยู่ของเจียงโหย่วซู่จุกอยู่ในลำคอ หมุนตัวสะบัดแขนเสื้อเข้าไปแล้วขุนนางผู้น้อยที่หลบอยู่ด้านข้างตอนนี้ถึงเดินออกมาอย่างระมัดระวัง ยื่นศีรษะมองดูรถม้าที่เล่นไปไกลแล้วบนถนน หันกลับมามองดูประตูใหญ่ของสำนักแพทย์หลวงอีกครั้งประตูใหญ่ที่เคยถูกองครักษ์เสื้อแพรทุบเสีย เวลานี้ย่อมซ่อมเสร็จดีแล้วมองผ่านประตูใหญ่เข้าไปด้านในสำนัก เป็นกลางวันแท้ๆ แต่กลับแลดูเงียบสงัดยิ่ง“ต่อไปคาดว่าคงยิ่งเงียบแล้ว” เขาเอ่ยกับตนเอง……………………………………….
คอมเม้นต์