Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 37 เชื่อครึ่ง
ตอนที่แสงอรุณขมุกขมัวสว่าง บรรดาขุนนางที่มาประชุมเช้าก็มาถึงด้านในวังหลวงแล้ว แม้ไม่ใช่ประชุมใหญ่ แต่ขุนนางที่มาก็ไม่น้อย อย่างไรการสอบใหญ่ที่สามปีมีครั้งก็กำลังจะมาถึงผู้คุมสอบกำหนดแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายให้หารือแต่เมื่อทุกคนมาถึงหน้าตำหนักกลับไม่ได้ถูกเรียกเข้าไปในทันที ไม่ใช่ฮ่องเต้ยังไม่มา แต่เป็นฮ่องเต้อยู่ด้านในหารือธุระอยู่มีเรื่องใดสำคัญยิ่งกว่าการสอบใหญ่?“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่? เรื่องของวัดกวงหวา” ขุนนางคนหนึ่งพลันเอ่ยเสียงเบากับคนข้างตัวคนอื่นมองมาสีหน้าลังเล“เรื่องที่ฝีดาษรักษาไม่หายไม่อาจควบคุมได้หรือ?” ข้าราชสำนักรูปหน้าเที่ยงตรงคนหนึ่งเอ่ย หว่างคิ้วไม่พอใจมาก “เรื่องหลอกลวงศรัทธาชาวบ้านเช่นนี้สร้างเรื่องจนมาถึงวันนี้ยังไม่อาจเก็บกวาดได้”แต่ครั้งนี้ไม่มีคนคล้อยตามเขา“ใต้เท้ากัว ไม่ใช่เรื่องนั้น” คนที่เอ่ยก่อนหน้านี้เอ่ยเสียงเบา “ที่พูดคือวัดกวงหวามียาที่ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษ”“เรื่องนี้ก็แค่หลอกหลวงศรัทธาชาวบ้านเหมือนกัน” ใต้เท้ากัวขมวดคิ้วเอ่ย “เชื่อได้อย่างไร”“แต่เล่ากันว่าบรรดาท่านหมอเหล่านั้นล้วนลองใช้แล้ว นอกจากนี้บุตรชายเฉิงกั๋วกงยังนำเด็กหลายคนของตระกูลโจวที่สมคบศัตรูนั่นส่งไปลองยาแล้ว ก็ปลอดภัยไม่เป็นไรเหมือนกัน” คนด้านข้างมาร่วมวงเอ่ยเสียงเบาคำพูดนี้นำคนมากกว่าเดิมเข้ามาแล้ว“ใช่ไหม? ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน”“อยู่ในสถานที่แบบนั้น เด็กหลายคนนี้ไม่ติดโรคจริงๆ”ทุกคนถกเถียงเสียงเบา“ใครเห็นบ้างเล่า?” ใต้เท้ากัวขมวดคิ้วเอ่ย “นี่ล้วนเป็นคำเล่าลือ”สิ้นเสียงของเขาก็เห็นประตูตำหนักใหญ่เปิดออก ลู่อวิ๋นฉีเดินออกมาเสียงถกเถียงของบรรดาขุนนางพลันเงียบ แม้ลู่อวิ๋นฉีทำให้คนหวาดกลัวจนเด็กน้อยหยุดร้องได้ แต่พวกเขาขุนนางใหญ่เหล่านี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น ที่ทำให้พวกเขาเงียบลงคือเด็กห้าคนที่ตามติดมาข้างหลังร่างลู่อวิ๋นฉีเด็กทั้งห้าคนล้วนยังไม่โต คนหนึ่งในนั้นถูกเด็กคนที่โตที่สุดอุ้มไว้ในอ้อมแขน มองเห็นขุนนางมากขนาดนี้อยู่ด้านนอก เด็กทั้งห้าคนล้วนก้มหน้าก้าวเท้าตามลู่อวิ๋นฉีมีขันทีก้าวไวตามมาด้านหลัง“ใต้เท้าลู่ องค์ไทเฮาประสงค์จะพบเด็กๆ ตระกูลโจวพวกนี้” เขาเอ่ยเรียกไว้ลู่อวิ๋นฉีขานรับ พาเด็กๆ พวกนั้นไปทางวังหลังมองดูพวกเขาเดินจากไป เหล่าขุนนางหน้าประตูตำหนักฉับพลันฮือฮาทันที“นี่ก็คือเด็กพวกนั้น?”“ดูแล้วไม่เป็นไรจริงๆ”“รายงานถึงฝ่าบาทที่นี่แล้วนะ”ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรฝีดาษเรื่องนี้ก็ไม่แบ่งชะตาคนสูงต่ำรวยจน พวกเขาบ้านใครมีลูกหลาน ก็ถูกคุกคามจากฝีดาษเหมือนกันทั้งนั้นสีหน้าของใต้เท้ากัวผู้นั้นยิ่งแข็งทื่อขันทีด้านในตำหนักเดินออกมากระแอมหนักๆ สองที บรรดาขุนนางจึงเงียบลง เดินเรียงแถวตามตำแหน่งสูงต่ำเข้าไปในตำหนักแต่ในใจทุกคนล้วนไม่ได้อยู่กับการสอบใหญ่ที่กำลังจะมาถึงแล้ว แต่อยู่กับเรื่องฝีดาษป้องกันได้นอกจากนี้ไม่พูดถึงการถกเถียงในราชสำนัก ในวังหลังไทเฮา ฮองเฮาก็มองเด็กห้าคนอย่างละเอียดหลายต่อหลายรอบ“นี่คือตรงที่เกิดฝีหรือ?” ไทเฮายื่นมือชี้จุดด่างบนแขนของเด็กคนหนึ่งฝีดาษตกสะเก็ดร่วงไปแล้ว เหลือเพียงจุดด่างจางๆฮองเฮายังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ดึงแขนไทเฮาไว้โดยไม่รู้ตัว“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีค่อนข้างมาก” โจวจิงเอ่ย“นี่ยังเรียกมากหรือ” ฮองเฮาอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “ที่ซานตงเคยเห็นผู้ป่วยฝีดาษพวกนั้น เป็นไปหมดทั้งตัว”ไทเฮามองรอยฝีบนแขนของโจวจิงอีกครั้ง แล้วกวักมือให้เด็กอายุน้อยที่สุดคนนั้นเข้ามา“เด็กคนนี้ก็ปลูกฝีด้วยหรือ?” นางตรัสถามไม่รอเหล่าขันทีตอบ โจวเหมาเหมาก็พยักหน้า เป็นฝ่ายชี้ที่ลำคอ“ทูลไทเฮา ของกระหม่อมอยู่ตรงนี้ มีแค่สามอัน” เขาเอ่ยไทเฮาถูกทำให้ขำแล้ว มองดูรอยฝีบนลำคอของเขา นั่งตัวตรง“ใช้ยากันมาหมดแล้วจริงๆ สินะ?” นางตรัสลู่อวิ๋นฉีรับว่าใช่“อยู่ด้วยกันกับผู้ป่วยฝีดาษเหล่านั้นตลอดจริงหรือ?” ไทเฮาตรัสถามอีกครั้งลู่อวิ๋นฉีขานใช่อีกครั้ง“รายละเอียดทำอย่างไร?” ฮองเฮาอดไม่ได้ตรัสถาม “เจ้าพูดละเอียดสักหน่อยสิ”“ก็แค่ปลูกฝีพ่ะย่ะค่ะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยไทเฮาหัวเราะแล้ว“เขาน่ะกลัวดออกพิกุลจะร่วง เจ้าถามเขา เท่ากับไม่ได้ถาม” นางตรัส มองโจวเหมาเหมา “เจ้าลองพูดซิ เจ้าปลูกฝีอย่างไร?”เด็กน้อยแม้อาจถูกผู้ใหญ่สอนให้พูดโกหกเล่นละครได้ แต่เด็กน้อยอายุสามสี่ขวบก็คือเด็กน้อย พวกเขามักจะเผยช่วงโหว่เสมอ“พวกพี่ชายพี่สาวถูกยัดจมูก” โจวเหมาเหมาไม่ได้ติดขัดสักนิด วาดมือวาดไม้เอ่ยเสียงอ้อแอ้ “จมูกของข้าเล็กยัดไม่เข้า เลยผ่าแผลที่หนึ่งบนแขนฝังเข้าไป”ฮองเฮากับไทเฮาสีหน้าตะลึง“ยังต้องกรีดเปิดปากแผลด้วยรึ?” พวกนางตรัสถามโจวจิงรีบดึงเสื้อของโจวเหมาเหมาเผยแขนออกมา“ไม่ใหญ่ แค่แผลเล็กแผลหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เลือดไหลอะไร” เขาเอ่ยฮองเฮากับไทเฮาล้อมเข้าไปดูตั้งอกตั้งใจ“น้องเอ้อหนิวก็กรีดแขนเหมือนกัน” โจวเหมาเหมาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่ง“เอ้อหนิวเป็นใครอีก?” ไทเฮาตรัสถาม“เป็นลูกชายของคนที่มาขอรักษาที่ไม่ได้ป่วยคนหนึ่ง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยตอบ“วันนี้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกันรึ?” ไทเฮาตรัสถามลู่อวิ๋นฉีขานรับว่าใช่ไทเฮานั่งตัวตรงครุ่นคิดครู่หนึ่งโบกมือลู่อวิ่นฉีคำนับพาเด็กห้าคนถอยออกไป พวกเขาจากไปปุบฮองเฮาก็อดรนทนไม่ไหวอยู่บ้าง“ไทเฮา นี่ดีเหลือเกินแล้ว หากไม่เป็นไรจริงๆ ก็ไม่ต้องกลัวเหล่าองค์ชายองค์หญิงติดโรคอีกต่อไปแล้ว” นางเอ่ยเสียงสั่น “ไทเฮาท่านก็ทรงทราบ ที่ซานตงโอรสองค์โตของข้ากับท่านอ๋องก็ติดฝีดาษถึง…”นางพูดพลางเช็ดน้ำตาไทเฮาขมวดคิ้วมองนางทีหนึ่ง“ร้องไห้ฮือฮือทำอันใด? ดูไม่ได้สักนิด” นางเอ่ยเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย ฉีอ๋องไม่ได้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่สูงศักดิ์ แค่สู่ขอผู้หญิงในตระกูลระดับกลางในท้องถิ่นซานตงมา ผู้หญิงคนนี้ได้เป็นชายาของฉีอ๋องดีใจยิ่งนักแล้ว ยิ่งไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้กลายเป็นฮองเฮา แม้จะได้รับการสั่งสอนจากองค์ไทเฮาเองมาหลายรอบ แต่ก็ยังคงยากเลี่ยงขลาดกลัวตัวสั่นระริกถูกไทเฮาตำหนิฮองเฮาก็ก้มศีรษะอย่างขลาดๆไทเฮาคร้านจะสนใจนาง“หากมีวิธีดีๆ ปราบฝีดาษได้จริง ถ้าอย่างนั้นก็เป็น…” ไทเฮาเอ่ยกับพระองค์เอง “เรื่องใหญ่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง โบกมือให้ขันที“ไปลองถามฝ่าบาททรงคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”ขันทีรับคำสั่งจากไป ครู่หนึ่งก็กลับมา“ในราชสำนักถกเถียงกันไปแล้ว เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง ต้องรอบคอบ ให้ขุนนางใหญ่พาบรรดาหมอหลวงเดินทางไปพิสูจน์” เขาทูลนี่เป็นกระบวนการที่สมควรเป็น ไทเฮาคร้านจะฟัง โบกมือทันที“บรรดาขุนนางราชสำนักพิสูจน์ก็พิสูจน์อะไรออกมาไม่ได้ บอกฝ่าบาทเรื่องใหญ่เป็นบุญของพสนิกรเช่นนี้ ประกาศข่าวบอกชาวบ้าน ให้ลูกชายลูกสาวของพวกเขาปลูกฝี หลีกเลี่ยงอันตรายของโรคร้าย” นางเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึมขันทีกับฮองเฮาล้วนตัวสั่นนี่ก็คือจะให้เด็กๆ ทั้งใต้หล้าทดลองยาแทนเหล่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์ขันทีก้มศีรษะค้อมกายขานรับ…เพราะวัดกวงหวาถูกปิดคนด้านในไม่อาจออกมาข้างนอกได้ ดังนั้นข่าวจึงประกาศออกไปผ่านองครักษ์เสื้อแพรคุณหนูจวินเดินออกมาสอบถามฟังข่าวคราวก็มองเห็นจูจั้นที่นั่งอยู่บนก้อนหินข้างนอกวัดนางอมยิ้มเดินผ่านไป…………………………………………………………………
คอมเม้นต์