Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 30 ต่อ
ความผ่อนคลายของท่านหมอเฒ่าเฝิงทำให้บรรดาท่านหมอผ่อนคลายลงบ้าง แต่ความผ่อนคลายนี้ไม่ได้คงอยู่ต่อนานนัก วันที่หกท่านหมอเฒ่าเฝิงก็ล้มหมอนนอนเสื่อบ้างแล้วเพราะคุณหนูจวินเคยพูดไว้ เรื่องนี้ไม่ได้ปิดบังคน ไม่นานครอบครัวของผู้ป่วยฝีดาษเหล่านั้นก็รู้ ยังมีคนใจกล้าวิ่งมาดู กั้นด้วยหน้าต่างมองบรรดาหมอที่ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บนเตียง“เป็นฝีดาษออกฤทธิ์จริงๆ ด้วย ข้ามองเห็นบนแขนของพวกเขามีฝีโผล่ขึ้นมา”“บรรดาท่านหมอก็ไม่ให้ยาพวกเขา บอกว่าอาศัยตนเองรักษาหายดีให้หลังถึงไม่ถูกฝีดาษเล่นงานอีก”“น่ากลัวจริงหนอ เรื่องนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว ทำไมกล้าทำเช่นนี้”“นั่นน่ะสิ คุณหนูจวินไม่กลัวสักนิด ยังเลือกฝีดาษบนตัวท่านหมอคนนั้น บอกว่านี่เป็นสมบัติ”ไม่เคยได้ยินว่าฝีดาษบนร่างเป็นสมบัติมาก่อน คำพูดนี้ทำให้คนที่ได้ยินล้วนหนาวสะท้านไปวูบหนึ่งคนที่ได้ยินหนาวสะท้าน คนที่เห็นด้วยตาตนเองยิ่งทั้งร่างชาหนึบ“…หน่อฝีย่อมไม่ใช่เลือกตามใจได้…ไม่ใช่ว่าฝีทุกเม็ดล้วนทำเป็นหน่อฝีได้ ตัวอย่างเช่นแบบนี้ใช้ไม่ได้…แบบนี้ก็ไม่ไหว…”บรรดาท่านหมอที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองเด็กสาวคนนี้ถือตะไบ มือหนึ่งหยิบเข็มทองเคลื่อนไปบนร่างของท่านหมอที่ป่วย ตั้งใจมองเม็ดฝีที่ประสานสนิทนูนขึ้นมาเหล่านั้นเข็มทองหยุดบนฝีเม็ดหนึ่ง คุณหนูจวินเผยรอยยิ้ม“พวกท่านดู นี่คือหน่อฝีที่ดีที่สุด ฝีมันวาว บวมใหญ่แข็งแรง ตอนนี้เวลายังสั้น เลี้ยงอีกหน่อยก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง” นางเอ่ย พร้อมกับที่พูด ตะไบในอีกมือหนึ่งก็ยืนไปตะไบฝีที่ปิดสนิทนี้ลงมาอย่างฉับไว ใส่ไว้ในหลอดทองแดง“ดู นี่ก็คือการเก็บรวบรวมพิษฝีที่ปลูกได้” นางเอ่ย “พวกท่านดูเข้าใจไหม?”บรรดาท่านหมอที่ล้อมอยู่สีหน้ายุ่งยาก บางคนหน้าผากเหงื่อผุดพราย“คุณหนูจวิน พวกเราพูดถึงอาการป่วยของพวกท่านหมอเฒ่าเฝิงก่อนเถอะ นี่ก็สองวันแล้ว…” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยคนยังไม่รู้จะเป็นอย่างไรเลยนะ พวกเขาไม่อาจสงบจิตสงบใจเอาคนป่วยมาเป็นของศึกษาฝึกฝนได้จริงๆคุณหนูจวินมองท่านหมอที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงทีหนึ่ง“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็หายแล้ว” นางเอ่ยยังอีกเดี๋ยวก็หายอีก อีกเดี๋ยวนานเท่าไรเล่า เดี๋ยวนี้ไหม?ค่ำคืนโปรยลงมา อีกหนึ่งวันผ่านไปแล้ว คุณหนูจวินนวดหัวไหล่ หิ้วหีบหลอดทองแดงที่ใส่สะเก็ดฝีรอบใหม่ไว้จำนวนหนึ่งเดินออกจากที่พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงห้าคนอยู่โคมวัดกวงหวาสว่างขึ้นแล้ว เทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ วันนี้ที่นี่แลดูวังเวง เสียงร้องไห้ก็น้อยลงไปมากแล้ว ราวกับร้องจนน้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว“คุณหนู นี่เอากลับไปยังต้องบดเป็นผงหรือเจ้าคะ?” หลิ่นเอ๋อร์เอ่ยถามคุณหนูจวินพยักหน้า“ใช่แล้ว” นางเอ่ย ฝีเท้าพลันชะงักหลิ่วเอ๋อร์ไม่เข้าใจมองไปก็ตกใจสะดุ้งโหยงด้วย“อั้ยโยะ ตกใจแทบตาย” นางร้อง มองลู่อวิ๋นฉีที่ไม่รู้ยืนอยู่ข้างหน้าตั้งแต่เมื่อไรลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สนใจนาง มองคุณหนูจวินคุณหนูจวินหลุบตาคำนับนิดๆ ทีหนึ่ง ดึงหลิ่วเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าต่อ กำลังจะเดินผ่านลู่อวิ๋นฉีก็ยื่นมือรั้งไว้“เจ้าคิด…” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตากระโดดขึ้นมาทันทีคุณหนูจวินกำข้อมือนางแน่น ยื้อนางไว้ที่เดิม“เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” ลู่อวิ๋นฉีเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วเอ๋อร์ บางทีอาจพูดได้ว่าในสายตาเขาไม่เคยมองเห็นคนผู้นี้ เขามองเพียงคุณหนูจวิน “จะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเจ้าทั้งนั้น”เสียงของเขาไม่เร็วไม่ช้า ทุ่มนุ่มและมั่นคง ค่ำคืนบดบังใบหน้าของเขา ทำให้เสียงนี้ยิ่งทำให้คนเคลิ้มอยู่บ้างแต่คุณหนูจวินกลับไม่รู้สึก นางไม่อาจฟังเสียงนี้ได้จริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยปากแทบจะพร้อมกัน“ข้าย่อมไม่กังวล ข้าจะไม่เป็นอะไรทั้งนั้น” นางเอ่ย “ใต้เท้าลู่ข้าจะกลับไปทำงานต่อแล้ว”มือของลู่อวิ๋นฉีรั้งกลับไป มองคุณหนูจวินดึงหลิ่วเอ๋อร์เดินจากไป“คนผู้นี้น่าชังจริงๆ”เสียงของสาวใช้ตัวน้อยแหลมเล็ก“ไม่เป็นไร” นางเอ่ย “พวกเราทำงาน”ค่ำคืนมืดมิด คนมากมายล้วนกำลังทำงาน ไม่รู้กี่คนได้นอนหลับ ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ผ่านไปช้ามากแต่ก็เร็วมากท่านหมอที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้คนหนึ่งฉับพลันหน้าทิ่มหวิดล้มคว่ำ คนตื่นขึ้นมา มองเห็นห้องสว่างไปแถบหนึ่งแล้วฟ้าสว่างแล้ว?ท่านหมอยื่นมือลูบหน้า ว่าจะงีบแวบเดียวถึงกับหลับไปนานขนาดนี้ ดูท่าอดนอนใกล้จะไม่ไหวแล้วจริงๆไม่รู้ท่านหมอบนเตียงยังทนได้นานเท่าใ?เขานวดใบหน้าลุกขึ้นยืนมองไปข้างหลัง ทันใดนั้นตาก็เบิกโต ไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง ออกแรงขยี้ตา ลืมตาขึ้นอีกครั้งบนเตียงก็ยังว่างเปล่าไม่มีคน“ไม่มี ไม่มีแล้ว” คนตะโกนร้อง สีหน้าซีดขาวท่านหมอที่เดิมทีนอนอยู่บนเตียงเป็นฝีตัวร้อนทำไมไม่เห็นแล้วเล่า?หรือว่าไม่…ไม่ไหวแล้ว ดังนั้นถูกยกจากไปแล้ว ตนเองนอนหลับสนิทเกินไปทุกคนจึงไม่สะดวกใจปลุกเขา?เขาหมุนตัวพุ่งไปนอกห้อง“ใครก็ได้..” เขาตะโกนเสียงสั่น เสียงกลับพลันชะงักไป ถลึงตามองคนที่ยืนอยู่ประตูห้องอีกครั้งคนผู้นี้เหมือนเพิ่งตื่นนอน กำลังขยับมือเท้าร่างกายอยู่ ท่าทางสบายๆ ได้ยินเสียงข้างหลังร่าง เขาก็หันกลับมา“ตาเฒ่าหวง เจ้าตื่นแล้ว” เขาเอ่ย เสียงแหบพร่าอยู่บ้างท่านหมอที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าหวงสีหน้านิ่งไป“เจ้า เจ้า ทำไม ..ลุกขึ้นมา…” เขาเอ่ยเสียงสั่นท่านหมอด้านนอกหัวเราะแล้ว“เช้านี้ข้าตื่นมารู้สึกว่าร่างกายไม่เป็นอะไรแล้ว ทั้งไม่สลึมสลือทั้งร่างกายไม่อ่อนยวบ ข้าก็เลยออกมาเดินสักหน่อย” เขาเอ่ย พูดไปยังขยับท่าบริหารร่างกายห้าสรรพสัตว์[1]รอบหนึ่ง “สบาย”สบาย…ท่านหมอหวงมองเขา พลันยกมือตบตนเองหนึ่งฝ่ามือ“อั้ยโยะ ตาเฒ่าหวงเจ้าทำอะไรเล่า?” ท่านหมอด้านนอกห้องตกใจสะดุ้งโหยงท่านหมอหวงร้องตะโกนส่งเสียงแล้ว“ใครก็ได้มานี่เร็วเข้า”เสียงตะโกนสั่นเครือนี่ทำลายความสงบเงียบยามเช้าครู่ เสียงฝีเท้าวุ่นวายโถมมาจากสี่ด้านแปดทิศเรือนที่เดิมทีเมฆหมอกแห่งความกังวลโศกเคร้าปกคลุมบรรยากาศเคร่งเครียดชะงักนิ่งกลายเป็นเอะอะตอนที่คุณหนูจวินเข้ามาก็มองเห็นท่านหมอที่ถูกคนตื่นเต้นกลุ่มหนึ่งล้อมไว้นี่คือท่านหมอแซ่ชวี่ที่ทดลองยาตัวร้อนเกิดฝีเป็นคนแรกมองเห็นคุณหนูจวินเข้ามา ท่านหมอทั้งหลายยิ่งตื่นเต้นแล้ว“คุณหนูจวิน คุณหนูจวิน ท่านดู ท่านดู ท่านหมอชวี่หายดีแล้วจริงๆ” ทุกคนตะโกนคุณหนูจวินเดินเข้ามา ท่านหมอชวี่ถูกทุกคนผลักมาอยู่ตรงหน้านาง“คุณหนูจวิน” ท่านหมอชวี่สีหน้าตื่นเต้นอยู่บ้างเหมือนกัน มองมือของตนเองแล้วคลำหน้า “ไม่มีตะปุ่มตะป่ำแล้วล่ะ”คุณหนูจวินยิ้มแล้ว“พิษของฝีวัวถูกกำจัดลงมากแล้ว ไม่เหมือนกับฝีของคน แน่นอนย่อมไม่รุนแรงขนาดนั้น” นางเอ่ย แล้วคิดครู่หนึ่ง “ท่านตัวร้อนสองวันก็รุนแรงมากแล้ว แต่ได้บุญคุณจากท่าน คนต่อไปที่ใช้พิษฝีซึ่งเอามาจากร่างของท่านจะไม่นานขนาดนี้แล้ว”“เก็บพิษฝีจากร่างของข้าไปแล้วหรือ?” ท่านหมอชวี่ยิ้มเอ่ยถาม “ข้าไม่รู้เลยนะ”ท่านหมอคนอื่นล้อมเข้ามาอีกครั้ง“เอาไปแล้ว พวกเราเห็นกับตา” ทุกคนยิ้มเอ่ยต่อมาประดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิเดือนสองนี้พัดความเย็นที่วนเวียนอยู่เนิ่นนานสลาย วัดกวงหวาอบอุ่นหล่อเลี้ยงชีวิต ท่านหมอห้าคนที่เป็นฝีหายดีตามต่อกัน กระทั่งท่านหมอเฒ่าเฝิงที่อายุมากที่สุดก็ไม่เว้นท่านหมอทั้งหลายรวมตัวกันในโถงพระพุทธรูปใหม่อีกครั้ง โคมไฟสว่างตลอดอีกหน“พิษฝีนี้ไม่ทำให้คนถึงตายจริงๆ”“ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่ามันใช่พิษฝีหรือไม่”“จะไม่ใช่ได้อย่างไรล่า? พวกเราเห็นมากับตาเชียวนะ”บรรดาท่านหมอยิ้มแย้มดีใจพูดคุยเรื่องตอนที่ท่านหมอห้าคนเป็นฝีท่านหมอเฒ่าเฝิงปรบมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง“คุณหนูจวินตอนนี้พิสูจน์เล้วว่าพิษฝีพวกนี้ปลอดภัย” เขาเอ่ย ยั้งความตื่นเต้นชี้หลอดทองแดงเรียวที่วางอยู่ด้านในหีบ “แต่ยังมีปัญหาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง”คุณหนูจวินมองเขา“ก็คือพิสูจน์ว่าทำเช่นนี้จะไม่มีทางเป็นฝีดาษอีก” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยอย่างตื่นเต้นบรรดาท่านหมอคนอื่นพากันพยักหน้าด้วย นี่ถึงเป็นปัญหาสำคัญที่สุดคุณหนูจวินยิ้ม“นี่ง่ายมาก ปลูกให้เด็กๆ ที่ยังไม่ป่วย หลังจากนั้นให้พวกเขามาที่นี่อยู่ด้วยกันกับเด็กที่ป่วยก็พิสูจน์ได้แล้ว” นางเอ่ยท่านหมอเฒ่าเฝิงอึ้งไป“รอเดี๋ยว” เขาเอ่ย มองคุณหนูจวิน “ท่านบอกว่าเด็กๆ? จะใช้เด็กๆ มาพิสูจน์”“แน่นอนสิ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “เดิมทีก็ต้องการให้เด็กๆ ใช้ ผู้ใหญ่เดิมทีก็ไม่เป็นฝีดาษง่ายๆ อยู่แล้ว ฝีดาษเล่นงานเด็กๆ เป็นหลัก”ในโถงเงียบไปหมด บรรดาท่านหมอทั้งหมดล้วนมองคุณหนูจวินความรู้สึกเช่นนั้นมาอีกแล้ว เหมือนฟังเข้าใจแต่ก็เหมือนฟังไม่เข้าใจ“พูดเช่นนี้ พวกเราทดลองพิษฝีที่จริงก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะพวกเราเดิมทีก็ไม่ถูกพิษฝีเล่นงานง่ายๆ อยู่แล้ว ที่จริงหากพิสูจน์ น่าจะหาเด็กๆ มาพิสูจน์” ท่านหมอคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้นสิ้นเสียงของเขา สีหน้าของบรรดาท่านหมอที่นั่นก็แข็งทื่อ พลันประหนึ่งถูกฟ้าผ่า กระโดดโถมเข้ามาหาท่านหมอคนนั้นทันที“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”“รีบหุบปากนะ คำพูดนี้พูดออกมาไม่ได้”ทุกคนพากันกดเสียงร้องขึ้นมา ไปปิดปากท่านหมอคนนั้นวุ่นวายครั้งก่อนก็เพราะทุกคนบอกว่าต้องการหาคนมาลองยา ดังนั้นพวกองครักษ์เสื้อแพรถึงจับครอบครัวที่มารักษาที่นี่มาตอนนี้ท่านหมอคนนี้พูดว่าต้องการเด็กมาพิสูจน์ ถ้าอย่างนั้นพวกองครักษ์เสื้อแพรเสียสติอีกครั้งออกไปจับเด็กๆที่ยังไม่ป่วยมาจะทำอย่างไร?พวกเขาล้วนเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีเหตุผลเป็นฝ่ายเสนอตัวลองยาเองแล้วในโถงพระพุทธรูปเงียบไป คนทั้งหมดท่าทางหวาดกลัวมองไปด้านนอกโถงโคมไฟด้านในอาคารแกว่งไว แสงสว่างเงามืดเกี่ยวกระหวัดกันแม้องครักษ์เสื้อแพรมีอยู่ทุกที่ แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็ไม่ได้โผล่มาตรงหน้าใจทุกคนค่อยๆ ผ่อนคลาย ปล่อยท่านหมอที่ถูกจับไว้“เจ้านี่…” มีคนเอ่ยปากจะตำหนิเขา แต่ด้านนอกพลันมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นมีคนมาแล้วเสียงของคนผู้นั้นหยุดลง ทุกคนมองไปด้านนอกโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง ท่ามกลางความมืดมีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา“เฮ้ หมอเล่า?”มีคนร้องตะโกนเสียดัง“เอาของที่ทำให้คนไม่กลัวฝีดาษได้อะไรนั่นของพวกเจ้ามาให้คนลองสิ”จูจั้น?คุณหนูจวินเดินเข้ามาหลายก้าวจากด้านใน มองผู้ชายที่ยืนนิ่งอยู่ข้างหน้าโถง เขาก็คือจูจั้นที่ไม่เห็นเสียหลายวันนางยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็เห็นจูจั้นชี้ด้านหลังร่าง บรรดาทหารด้านหลังเขากระจายตัวออก เผยเงาคนกลุ่มหนึ่งออกมาเงาคนนี่เตี้ยม่อต้อตัวเล็กผอมอ่อนแอ ดูแวบเดียวขนาดเหมือนกับถุงผ้าเงาคนส่ายเอนก้าวมาข้างหน้า ยืนอยู่ในแสงโคม ทำให้ทุกคนมองหน้าตาชัด“เด็ก!”บรรดาท่านหมอในโถงพริบตาขนลุก……………………………………….[1] ท่าบริหารร่างกายห้าสรรพสัตว์(五禽戏) ท่าออกกำลังกายรักษาสุขภาพของจีนโบราณ ทำท่าทางเลียนแบบสัตว์ห้าชนิดได้แก่เสือ กวาง หมี ลิง นก
คอมเม้นต์