Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 27 เอ้า ให้เจ้าใช้ตามใจ
ด้านในอุโบสถเงียบไม่มีเสียง มีเพียงน้ำมันโคมส่งเสียงชี่ๆสายตาของบรรดาท่านหมอล้วนมองคุณหนูจวิน สีหน้าจากตื่นตะลึงฟื้นสภาพกลับมา สีหน้ากลายเป็นยุ่งเหยิงทุกคนเหมือนอยากพูดอะไรสักหน่อย แต่ก็เหมือนกับไม่รู้จะพูดอะไร บ้างก็ไม่รู้ควรหรือไม่ควรเป็นตนเองพูด สายตาของบรรดาท่านหมอเริ่มสบกันเองในที่สุดก็ยังเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยปากก่อน“เรื่องนี้จะทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถามขึ้นมาเด็ดขาดฉับไว“ก็ปลูกฝีให้คนที่ไม่ได้ป่วย” คุณหนูจวินเอ่ยนี่ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดแล้ว ท่านหมอคนหนึ่งลังเลนิดหนึ่ง“ให้ทุกคนหรือ?” เขาเอ่ยถามคุณหนูจวินส่ายศีรษะ“ตอนนี้ยังไม่ต้อง” นางเอ่ย “ที่สำคัญคือเด็ก เด็กถูกฝีดาษเล่นงานง่าย”“เรื่องนี้พวกเรารู้” ท่านหมออีกคนหนึ่งเอ่ย สีหน้าอับจนปัญญา “แต่ตอนนี้ที่สำคัญคือทำอย่างไร?”“ใช่แล้ว นี่จะอธิบายกับคนอย่างไรเล่า?”“หรือจะบอกกับคนว่ามามานี่เป็นพิษฝี เอาไปติดเจ้า หลังจากนี้เจ้าก็ไม่ต้องกลัวฝีดาษแล้ว?”“นั่นจะไม่ถูกคนตีออกมารึ”บรรดาท่านหมอในโถงพระพุทธรูปเริ่มถกเถียงกันอีกครั้ง แต่การถกเถียงครั้งนี้ไม่ใช่การตั้งคำถามว่าเรื่องจริงหรือหลอกอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นถกเถียงว่าเรื่องนี้จะทำอย่างไรราวกับคำถามพวกนั้นการโต้เถียงความโกรธเกรี้ยวก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น เหมือนตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาก็พูดถกกันว่าจะทำเรื่องนี้อย่างไร ไม่ใช่จะทำหรือไม่ทำท่านหมอเฒ่าเฝิงเผยรอยยิ้ม“พิษฝีนี่ปลอดภัยแน่นอน” คุณหนูจวินเอ่ย“คุณหนูจวิน คำพูดนี้ท่านพูดกับพวกเราไม่มีประโยชน์” ท่านหมอคนหนึ่งยิ้มเฝื่อนเอ่ย “วิชาแพทย์ของท่านสูงส่ง พวกเราเชื่อแล้ว แต่งานตอนนี้ไม่ใช่พวกเราเชื่อก็ทำได้ ต้องให้พวกชาวบ้านเชื่อ”“จะให้พวกชาวบ้านเชื่อก็ง่ายอยู่ ก็คือให้พวกเขาเห็นว่าฝี…วัวนี่ใช้ได้ นั่นก็คือต้องพิสูจน์ว่ามันได้ผล แต่จะพิสูจน์อย่างไรเล่า?” ท่านหมออีกคนหนึ่งเอ่ยใช่สิ บรรดาท่านหมอพยักหน้า เพิ่งกำลังจะขานตอบรับกัน ก็ได้ยินเสียงกระแอมทีหนึ่งดังมาจากด้านนอก“จะพิสูจน์หรือ นั่นง่ายดายยิ่ง”เสียงนี้น่าขนลุกราวกับฉับพลันทะลวงออกมาจากใต้ดิน ดึกดื่นเที่ยงคืนนี่ทำให้คนฟังแล้วอดไม่ได้ตัวสั่นผู้คนมองตามเสียงไปโดยไม่รู้ตัว ความหนาวเย็นพลันบังเกิดด้านนอกประตูอุโบสถไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ แต่ละคนคลุมผ้าสีแดงหน้าตาน่ากลัว ดาบปักวสันต์ที่เอวเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ยามผ้าคลุมโบกสะบัดส่วนเฉินชียืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา ถูกองครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งยกแขนพาดไหล่ ร่างกายเหมือนแข็งทื่อไปแล้วนิ่งไม่ขยับ เห็นทุกคนมองมาก็เค้นรอยยิ้มออกมาเทพแห่งความตายฝูงนี้มาตั้งแต่เมื่อไร?แน่นอน พวกเขารู้ พร้อมกับที่พวกเขาเข้ามาในวัด องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ก็ดุจเงาตามตัวแต่หลายวันนี้พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวด้านในวัด ทั้งอุโบสถด้านหน้าฝั่งนี้เป็นสถานที่หารืออาการป่วยเก็บบันทึกการรักษา ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้เอาเถอะ องครักษ์เสื้อแพรก็ไม่ใช่คนไม่เกี่ยวข้อง แม้พวกเขาไม่ได้ปรากฏตัวที่วัดตลอดเวลา แต่พวกเขาย่อมไม่มีที่ใดไม่อยู่ และในสายตาองครักษ์เสื้อแพรมีความลับอะไรที่ไหนบรรดาท่านหมอสบตากัน ดูท่าคำพูดก่อนหน้านี้องครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ล้วนรู้แล้ว“พวกท่านมีธุระอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม มองคนที่เห็นชัดว่าเป็นหัวหน้าซึ่งยืนอยู่ข้างกายเฉินชีหัวหน้ากองร้อยเจียงหัวเราะ“พวกเราไม่มีธุระหรอก นี่ไม่ใช่ได้ยินว่าคุณหนูจวินพวกท่านมีธุระจึงมาช่วยเหลือหรือ” เขาเอ่ยองครักษ์เสื้อแพรคนเหล่านี้ขยับปุบไม่ทำลายตระกูลก็ถล่มสำนัก เวลาใดเคยช่วยงานผู้อื่นบรรดาท่านหมอในโถงสีหน้าค่อยๆ กลายเป็นสีขาวพวกเขาต้องรู้เรื่องที่พวกเขาพูดก่อนหน้านี้แน่พิษฝีใช้พิษฝีรักษาโรคเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้ องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่เชื่อ ไม่แน่ว่าอาจฉวยโอกาสนี้กำจัดพวกเขาด้วยทหารล้อมวัดไว้แล้ว อนุญาติให้เข้าเท่านั้นไม่อนุญาตให้ออก เห็นชัดยิ่งว่าคนด้านในวัดกวงหวาแห่งนี้กลายเป็นแกะรอเชือดแล้ว หากสถานการณ์ของโรคด้านในควบคุมไม่อยู่ปุบ พวกเขาก็จะถูกทอดทิ้งไปด้วยกันคนที่มารักษาฝีดาษ ไหนเลยจะไม่รู้เหตุการณ์สลดพิษฝีดาษที่หลิ่งหนานครั้งนั้นเล่า ไม่ว่าติดโรคหรือไม่ติดโรค คนที่สัมผัสกับคนที่ติดโรคล้วนถูกสังหารหมู่ทั้งอย่างนั้นครั้งนั้นเป็นผู้บัญชาการคนนั้นรับชื่อเสียงเลวร้ายไว้ ชื่อเสียงเลวร้ายครั้งนี้ไม่ต้องให้ทางการราชสำนักแบกรับแล้ว เพราะมีพวกเขาบรรดาท่านหมอที่ขอเสนอตัวเองเหล่านี้พวกเขาบอกแล้วว่ารักษาได้ แต่ท้ายที่สุดรักษาไม่ได้ นั่นไม่ใช่พวกเขามีความผิดหรือ?นอกจากนี้ตอนนี้ยังมีพิษฝีนี่อีกจินตนาการดูสิว่าเมื่อครู่พวกเขารวมตัวพูดถึงเรื่องอะไรกันฝีดาษนี่ไม่อาจรักษา รักษาไม่หายนี่เป็นพิษฝี เอามาจากตัววัวให้คนที่ไม่ป่วยติดพิษฝีคำพูดนี้พวกเขาฟังยังใกล้ตกใจตาย หากแพร่ไปถึงหูชาวบ้าน นั่นใยไม่ใช่กลัวจนเสียสติไปแล้วไม่ต้องรอจนตัดสินโทษพวกเขาที่รักษาโรคไม่สำเร็จ สิ่งนี้ก็เพียงพอให้พวกเขาถูกประหารเก้าชั่วโคตร ยังถูกชาวบ้านทั้งหลายร้องประสานเสียงกันว่าดีก็ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้เหมือนกัน เพียงแต่ทิ้งชื่อเสียงฉาวโฉ่ให้คนประณามไว้บรรดาท่านหมอมององครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้ ในใจลอบสำนึกเสียใจอยู่บ้าง คำพูดเมื่อครู่น่าสะพรึงเกินไป ไม่ควรพูดออกมาเช่นนี้จริงๆ พวกเขาตะโกนเอะอะอยู่ในอุโบสถ ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์เสื้อแพรที่แอบซ่อนอยู่ คนทั้งวัดล้วนดึงดูดมาแล้วคราวนี้จบสิ้นแล้ว“ช่วยงานอะไร?” คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบเอ่ยถามหัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้มกลับไม่พูด เบี่ยงกายโบกมือ พวกองครักษ์เสื้อแพรหน้าประตูยืนแบ่งออกเป็นสองด้านอย่างพร้อมเพรียง ทิวทัศน์ค่ำคืนเผยเบื้องหน้าบรรดาท่านหมอท่ามกลางทิวทัศน์ค่ำคืนนี้คนสิบกว่าคนคุกเข่าอยู่ล้มคว่ำอยู่ มีผู้ชายมีผู้หญิงนี่ทำอะไรกัน?บรรดาท่านหมอก้าวไปข้างหน้า อาศัยแสงสว่างที่ส่องลอดมาจากในอุโบสถมองไปทางคนเหล่านี้“เฮ้ นี่ไม่ใช่ครอบครัวของคนป่วยรึ?” ทุกคนจำได้แล้ว เอ่ยขึ้นประหลาดใจได้ยินเสียงนี้ ผู้ชายผู้หญิงสิบกว่าคนนั้นที่ถูกมัดมือเท้าอุดปาก ได้ยินคำถามของพวกท่านหมอพวกเขาก็เงยหน้าดิ้นรนน้ำตาไหลนองหน้าสีหน้าหวาดกลัวขอร้องในลำคอ“พวกเจ้าทำอะไร?” คุณหนูจวินขมวดคิ้วเอ่ยถาม“พิสูจน์ไง” เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังมาจากในความมืดทุกคนตอนนี้ถึงมองเห็นเขาเดินออกมาจากห้วงราตรีที่แสงและความมืดสอดผสมกันอยู่ลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามาใกล้ยืนอยู่ด้านหน้าประตูอุโบสถ มองคุณหนูจวิน“คนเหล่านี้ พอใช้ไหม?” เขาเอ่ยบรรดาท่านหมอในที่สุดก็ได้สติกลับมา สีหน้าตะลึงงันไม่อยากเชื่อมองลู่อวิ๋นฉีเขา…หมายความว่า…พวกเขามองไปทางชายหญิงสิบกว่าคนที่ถูกมัดไว้บนพื้นอีกครั้งจะเอาคนเหล่านี้มาทดลองใช้พิษฝีของคุณหนูจวินนี่ นี่ คนเป็นๆ“ไร้สาระ” หัวหน้ากองร้อยเจียงเอ่ย “คนตายพิสูจน์อะไรได้อีก? ไม่ใช่บอกว่าต้องการดูว่าอะไรนะ..วัวอะไรนี่มีไม่มี คนตายไม่ตายรึ”เขาพูดพลางยื่นมือชี้ชายหญิงสิบกว่าคนที่อยู่บนพื้น“มา ลองดูสิ”หลังเขาชี้ องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งก็หิ้วผู้หญิงคนหนึ่งก้าวมาข้างหน้าผู้หญิงคนนั้งร่างสั่นสะท้านกลัวจนแทบเป็นลมทรุดฮวบ“พวกเจ้าทำอะไร!” ท่านหมอเฒ่าเฝิงอดไม่ได้ตวาดตำหนิ “ทำเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า?”เขาเอ่ยปากท่านหมอคนอื่นก็อดไม่ได้เอ่ยบ้าง“ใช่แล้ว นี่ ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร”“พวกเขาเป็นครอบครัวของคนป่วยที่มาขอรักษานะ”“พวกท่านจับพวกเขามาทำอะไร?”สายตาของหัวหน้ากองร้อยเจียงกวาดผ่านหมอเหล่านี้ สีหน้าเย็นชา ทำให้เสียงตั้งคำถามของบรรดาหมอชะงักไปลู่อวิ๋นฉีตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่ได้สนใจท่านหมอเหล่านี้ มองเพียงคุณหนูจวิน“ไม่พอ ยังมี” เขาเอ่ย……………………………………….
คอมเม้นต์