Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 26 กล้าถามใจหน้าองค์พระพุทธ
ประโยคนี้พวกเขาย่อมยังจำได้ครั้งแรกที่ได้ยินประโยคนี้ รู้สึกว่าน่าขันทั้งยังน่าโมโหแต่ต่อมาพวกเขาก็ไม่ถือสาแล้ว ไม่เพียงไม่ถือสา ตรงกันข้ามยังหวังให้นางพูดประโยคนี้ได้อยู่บ้างตัวอย่างเช่นตอนที่ถูกเชิญให้ช่วยเหลือรักษาฝีดาษ ตัวอย่างเช่นตอนที่เผชิญหน้าคำถามของครอบครัวผู้ป่วยที่อาการป่วยไม่ดีขึ้นผลสุดท้ายนางกลับไม่พูดนางอ่อนน้อมมีมารยาทจริงใจนี่ทำให้ทุกคนล้วนยอมรับแล้วว่าตอนนั้นประโยคโอหังนั่นของนางเป็นเพียงความเป็นเด็กไม่รู้ความไม่คิดว่าตอนที่ทุกคนกำลังจะลืมเลือนประโยคนี้ นางกลับพูดออกมาอีกครั้งบรรดาท่านหมอมองเด็กสาวคนนี้สีหน้ายุ่งยาก รสชาติก็แปลกแปร่งท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะเฝื่อนนิดหนึ่ง“คุณหนูจวิน ท่านพูดเช่นนี้ นี่เป็นการเถียงกันของเด็กน้อยแล้ว” เขาเอ่ย “ท่านพูดท่านทำได้ เขาพูดว่าทำไม่ได้ พูดไปพูดมา ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้”คุณหนูจวินยิ้มแล้ว“นี่จะเป็นการเถียงได้อย่างไรเล่า?” นางเอ่ย “วิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้า ข้ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ ไม่ใช่เป็นข้อพิสูจน์แล้วหรือ?”มาอีกแล้ว..บรรดาท่านหมอที่นั่นอับจนวาจาอยู่บ้างเวลาที่ไม่ได้เชิญพวกเขาให้ช่วย นิสัยโอหังนี่ก็โผล่มาอีกแล้วแต่ก่อนหน้านี้เจ้าโอหังก็ช่างเถิด ตอนนี้เวลานี้แล้วเจ้าเอาความมั่นใจที่ไหนมาโอหังเช่นนี้อีกเล่า?“วิชาแพทย์ของท่านสูงส่ง โรคที่พวกเรารักษาไม่หายท่านรักษาหาย ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่ทำไมท่านรักษาไม่หาย” ท่านหมอคนหนึ่งโมโหเอ่ยอย่างไม่เกรงใจสักนิดโบราณว่าผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งศอกข้าเคารพผู้อื่นหนึ่งจ้าง ในสายตาของท่านหมอเหล่านี้ตอนแรกคุณหนูจวินคนนี้แสดงท่าทีไม่เกรงใจก่อน พวกเขาย่อมไม่เกรงใจนางเช่นกันต่อมาเมื่อพวกเขาพบโรคที่ไม่อาจรักษาเข้าจริงๆ คุณหนูจวินไม่ได้เยาะหยันนอกจากนี้ยังชี้แนะวิชา พวกเขาย่อมขอบคุณและเคารพต่อมานางมาเชิญพวกเขาช่วยเหลืออย่างจริงใจนอบน้อม พวกเขาจึงยอมรับอย่างจริงใจตอนนี้นางวางท่าทางโอหังเช่นนี้ออกมาอีกครั้ง เช่นนี้ท่านหมอเหล่านี้ย่อมทนไม่ได้ไม่เกรงใจบ้างแล้ว“โรคบางอย่างรักษาได้ โรคบางอย่างรักษาไม่ได้ ข้าพูดว่ารักษาโรคที่พวกท่านรักษาไม่ได้ได้ ที่พูดถึงหมายถึงแค่โรคที่เดิมรักษาได้แต่พวกท่านวิชาไม่แตกฉานจึงรักษาไม่ได้เท่านั้น” คุณหนูจวินเอ่ยรักษาได้รักษาไม่ได้พรวนหนึ่งนี้ฟังแล้วบรรดาท่านหมอมึนงงอยู่บ้างแต่มีจุดหนึ่งพวกเขาฟังเข้าใจแล้ว“ถ้าอย่างนั้นจะบอกว่าท่านพูดอย่างไรท่านล้วนมีเหตุผลงั้นสิ” ท่านหมอหลายคนเอ่ยกรุ่นโกรธ“เพราะข้าพูดมีเหตุผล” คุณหนูจวินเอ่ยบรรยากาศในอุโบสถเปลี่ยนเป็นนิ่งค้าง ค่ำคืนไม่รู้เวลาใดแล้ว ไฟเทียนในโถงยิ่งแลดูสว่างบาดตาขึ้นทุกที“คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” เสียงของท่านหมอเฒ่าเฝิงพลันดังขึ้นตั้งแต่การตั้งคำถามแรกสุดชักนำให้บรรดาหมอเอ่ยปากวุ่นวายตามหลัง เขากลับไม่ได้เอ่ยวาจาอีก เงียบอยู่จนกระทั่งตอนนี้ได้ยินเขาเอ่ยปาก หมอคนอื่นล้วนมองไป“คุณหนูจวิน บางเรื่องท่านอาจไม่รู้” ท่านหมอคนหนึ่งพลันเอ่ยแทรก“ที่พวกเรามา หนึ่งคือได้รับคำเชิญของท่าน สองยังเพราะท่านหมอเฒ่าเฝิงไปเชิญ”ท่านหมอเฒ่าเฝิงรีบร้องเฮ้ยขัด“ไม่มีสักหน่อย พูดเรื่องนี้ทำไม” เขาเอ่ยแต่บรรดาท่านหมอคนอื่นพากันเอ่ยปากด้วยแล้ว“ใช่แล้ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงเที่ยงคืนมาถึงบ้านตามหาข้า”“ท่านหมอเฒ่าเฝิงพูดกับข้าตั้งนาน”คุณหนูจวินมองพวกเขาในดวงตาความประหลาดใจเบาบางแล่นผ่าน บรรดาท่านหมอเหล่านี้ไม่รู้ ที่นางเชิญพวกเขาดูไปแล้วเป็นการเชิญพวกเขามาช่วยเหลือ ที่จริงนอกจากช่วยเหลือที่สำคัญยิ่งกว่าคือให้โอกาสใหญ่หลวงครั้งหนึ่งกับพวกเขาดังนั้นความเชื่อถือฮึกเหิมสละตนของทุกคน นางขอบคุณนักและย่อมต้องตอบแทนกลับคืน แต่ไม่ได้ไปถามพวกเขาว่าทำไมตัดสินใจที่แท้ก็ยังมีเหตุผลนี้คุณหนูจวินมองท่านหมอเฒ่าเฝิงย่อเขาต่ำคำนับ“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงโบกมือ “ข้า นี่เป็นการตัดสินใจของตัวข้าเอง ไม่ใช่เพื่อท่าน เป็นตัวข้าตาแก่เกิดฮึกเหิมเป็นหนุ่มครั้งหนึ่ง คิดว่าหากรักษาฝีดาษได้ ชีวิตนี้ได้ทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ นับว่าคุ้มแล้ว”พูดถึงตรงนี้เขาก็หน้าแดงอีกครั้ง“ใช่แล้ว ที่จริงในใจพวกเขาก็เพราะเรื่องนี้ ช่วยโลกช่วยเพื่อมนุษย์อะไรล้วนลวงหลอกอยู่บ้าง”บรรดาท่านหมออดไม่ได้หัวเราะ“นี่มีอะไรลวงหลอก ข้าก็คิดเช่นนี้”“ใช่แล้ว ช่วยโลกช่วยชีวิตเป็นหน้าที่ ข้าอยากทิ้งชื่อไว้ก็เป็นปกติของมนุษย์ ไม่ขัดแย้ง”ทุกคนพากันเอ่ยบางทีเพราะพูดถึงตอนแรก อารมณ์ของทุกคนจึงอ่อนลงไป จิตใจสงบนิ่งลงไปบ้าง“คุณหนูจวิน” ท่านหมอที่เอ่ยแทรกคนนั้นเอ่ยปากอีกครั้ง “เจตนาที่ข้าพูดถึงเรื่องนี้ไม่ใช่จะเผยความดีความชอบให้ท่านหอมเฒ่าเฝิง ข้าแค่จะบอกท่านว่า พวกเราทำตามการตัดสินใจของท่านหมอเฒ่าเฝิง”คำพูดนี้ออกมาปุบ หมอคนอื่นก็ได้สติกลับมา คิดถึงคำพูดที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามหลังเงียบไปพักหนึ่งคุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องนี้หรือ?ความหมายนี้บ่งบอกว่าเป็นการเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้ายแล้ว หากกล่อมไม่ไหว เขาก็จะถอยแล้วแม้เวลานี้ทอดทิ้งเดินจากไปไร้น้ำใจยิ่ง แต่ยังมีวิธีใดอีกเล่า เด็กสาวคนนี้เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่สุ่มสี่สุ่มห้า พวกเขาผิดหวังแล้วจริงๆบรรดาท่านหมอแม้ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ก็ล้วนพยักหน้า แสดงว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้คุณหนูจวินมองไปทางท่านหมอเฒ่าเฝิงท่านหมอเฒ่าเฝิงก็มองนาง“คุณหนูจวิน ท่านยืนยันจะทำเรื่องนี้หรือ?” เขาหน้าขรึมเอ่ยถามอีกครั้งคุณหนูจวินยิ้มแล้ว“แน่นอน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อทำเรื่องนี้” นางเอ่ย“ท่านเชื่อมั่นเพียงนี้เชียวว่าท่านทำได้?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ท่านบอกเองว่าท่านไม่เคยพิสูจน์มาก่อน”คุณหนูจวินมองหลอดทองแดงบนโต๊ะทีหนึ่งใช่แล้ว ไม่เคยพิสูจน์มาก่อนทำไมถึงเชื่อมั่นว่าจะทำได้ ปลอดภัยไม่มีเรื่อง?“ข้าน่ะ ข้าเป็นใครกัน ข้าร้ายกาจปานนี้ พูดอะไรย่อมเป็นอย่างนั้น”ผู้ชายคนนั้นเลิกคิ้วเอ่ยคุณหนูจวินยิ้มแล้ว“แน่นอนเชื่อมั่น” นางเอ่ย มองท่านหมอเฒ่าเฝิง“เพราะอะไร?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามท่านหมอเฒ่าเฝิงถามประโยคนี้ออกมา บรรดาท่านหมอคนอื่นในใจแทบจะมีคำตอบผุดขึ้นมาโดยแทบไม่ต้องคิดเพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหายความคิดของพวกเขาแล่นผ่านไป หูก็มีเสียงอ่อนโยนใสกังวานของเด็กสาวดังขึ้น“เพราะว่าวิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง เพราะโรงหมอจิ่วหลิงมุ่งรักษาโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย”ดูสิ รู้อยู่ในใจบรรดาท่านหมอหัวเราะขมขื่นทำอันใดไม่ได้อยู่บ้างแต่มีคนหัวเราะออกมาจริงๆ แล้ว พร้อมกันนั้นเสียงปรบมีอก็ดังขึ้น“ดี”ดี?ดีจริงหรือดีปลอม?บรรดาท่านหมอตะลึงมองข้ามไป มองเห็นคนที่หัวเราะปรบมือถึงกับเป็นท่านหมอเฒ่าเฝิงนี่ประชดรึ?สีหน้าของท่านหมอเฒ่าเฝิงกวาดความเคร่งขรึมก่อนหน้าไปสิ้น ที่มาแทนที่คือความฮึกเหิม“คุณหนูจวิน ในที่สุดก็รอจนท่านพูดประโยคนี้ออกมาแล้ว” เขาเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านต้องพูดประโยคนี้ออกมา ข้ารู้อยู่แล้วเรื่องครั้งนี้ไม่มีทางจบเช่นนี้”หมายความว่าอะไร?บรรดาท่านหมอตะลึง คุณหนูจวินกลับเข้าใจความหมายของท่านหมอเฒ่าเฝิง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้าง“ใช่แล้ว เรื่องครั้งนี้ไม่เพียงยังไม่จบ แต่เพิ่งเริ่มต้น” นางเอ่ยบรรดาท่านหมอนับว่าฟังเข้าใจแล้ว ไม่มองคุณหนูจวินแล้ว ฟังนางเสียสติทั้งคืนจนชาหนึบแล้ว เพียงแต่ทำไมท่านหมอเฒ่าเฝิงก็เสียสติตามไปด้วยเล่า?“ตาเฒ่าเฝิง เรื่องนี้ เจ้าเชื่อหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย“ข้าย่อมเชื่อ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้าตื่นเต้นเอ่ย “ทำไมข้าจะไม่เชื่อ? คำพูดที่คุณหนูจวินพูดครั้งไหนเชื่อไม่ได้?”บรรดาท่านหมอตะลึงไป มองท่านหมอเฒ่าเฝิง“นางบอกว่านางวิชาแพทย์สูงส่ง รักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ได้ ไม่ใช่เคยพิสูจน์มาแล้วหรือ? เป็นจริงหรือว่าลวง?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามครึ่งปีนี้พิสูจน์มาแล้วจริงๆแต่..“แต่เป็นฝีดาษสินะ ก่อนหน้าจะมาคุณหนูจวินก็ไม่ได้บอกว่านางรักษาโรคนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่พิสูจน์แล้วเหมือนกันหรือว่านางไม่ได้พูดโกหกน่ะ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงผายมือเอ่ยก็จริงอยู่บรรดาท่านหมอคนอื่นถูกหยอกเล่นแล้วพวกเรายังคิดว่าผู้อื่นถ่อมตัว ตอนนี้ดูท่าผู้อื่นเตรียมถมหลุมทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว ไม่ว่าพูดอย่างไรนางล้วนมีเหตุผล“นี่ไม่ได้นะ”“นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”“นี่ไม่เคยมีมาก่อน…”ในโถงพระพุทธรูปทยอยถกเถียงท่านหมอเฒ่าเฝิงจะเอ่ยวาจา แต่คุณหนูจวินกดแขนของเขาไว้ ท่านหมอเฒ่าเฝิงหันกลับ มองคุณหนูจวินส่ายศีรษะให้เขาข้าเอง…สีหน้าของนางบอกท่านหมอเฒ่าเฝิงยิ้มไม่เอ่ยอีก ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองมือของคุณหนูจวินเคาะโต๊ะอีกครั้ง“ใช่น่าเหลือเชื่อ ใช่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน แต่นั่นแล้วอย่างไร” คุณหนูจวินเอ่ย “เรื่องใดๆ ล้วนจากไม่มีกลายเป็นมี ไม่ว่าคนแรกที่คิดเอาสารหนูผสมเข้าไปในยาคิดอย่างไรและคนรอบด้านมองเขาอย่างไร”บรรดาท่านหมอค่อยๆ หยุดถกเถียง“คุณหนูจวิน ฝีดาษนี่ไม่เหมือนกับสารหนูนะ สารหนูคนป่วยใช้ ฝีดาษนี่ของท่านจะใช้กับตัวคนที่ไม่ป่วยนะ” ท่านหมอคนหนึ่งถอนหายใจ “ท่านทำไมกล้ามั่นใจเช่นนี้ล่ะ?คุณหนูจวินไล้มุมโต๊ะเดินเชื่องช้าหลายก้าว มายืนตรงหน้าพระพุทธรูป“เพราะข้าถามใจไม่ละอาย” นางเอ่ย มือยกขึ้นช้าๆ “ทุกสิ่งที่ข้าทำแม้ไม่มีการพิสูจน์ แต่ข้ากล้าสาบานต่อหน้าฟ้าดินเทพยาดาองค์พระพุทธ ข้าจวินจิ่วหลิงเพียงทำดีไม่ถามถึงอนาคต ข้าจวินจิ่วหลิงช่วยคนหรือสังหารคน ต่อให้คนไม่รู้ ย่อมมีฟ้ารู้ดินรู้เทพยาดาพระพุทธองค์รู้”แสงโคมด้านในโถงพระพุทธรูปสว่างไสว เด็กสาวคนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปพอดี เบื้องหลังพระพุทธองค์ผู้เมตตากรุณาหลุบตาอมยิ้ม ภาพวาดทวยเทพโปรดสัตว์สองข้างสีสันยังคงอยู่ดั่งมีชีวิตบรรดาท่านหมอมองฉากนี้รู้สึกเพียงชาไปทั้งร่างเฉินชีที่ยืนอยู่ด้านนอกเกือบวิญญาณหลุดออกจากร่างเหมือนกันมิน่าคุณหนูจวินจะต้องให้หารืออาการป่วยในโถงพระพุทธรูปนี่ ที่แท้ก็เพื่อนาทีนี้นี่เอง……………………………………….
คอมเม้นต์