Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 21 ข้าผิดหวังนัก
ตอนที่เจียงโหย่วซู่เดินเข้ามาในวังไทเฮา พระสนมหลายคนพาองค์ชายองค์หญิงมาเล่นอยู่ที่นี่เห็นเจียงโหย่วซู่เดินเข้ามา พระสนมคนหนึ่งก็ตกใจสะดุ้งโหยง รีบยื่นมือกอดบุตรไว้“หมอหลวงเจียง พักนี้ท่านไปที่วัดกวงหวาหรือเปล่า?” นางเอ่ยถาม สีหน้าระแวงเจียงโหย่วซู่ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าประตูคำนับ“พระสนมวางพระทัย ข้าไม่ได้ไปวัดกวงหวา” เขาเอ่ย “พวกข้าวิชาฝีมือไม่ชำนาญ คุณหนูจวินไม่ต้องการ”พระสนมคนนั้นตอนนี้ถึงวางใจส่งสัญญาณให้เขาเข้ามาไทเฮาที่เอนพิงหมอนอิงอยู่ขมวดคิ้ว“หมอหลวง นางรังเกียจว่าฝีมือไม่ถึง ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่นางรักษาเป็นอย่างไร?” นางตรัสถามเจียงโหย่วซู่คำนับนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าไทเฮา หยิบหมอรองจับชีพจรมาตรวจชีพจรให้ไทเฮา“เรื่องนี้กระหม่อมไม่ทราบ” เขาเอ่ยตอบพระสนมด้านข้างหัวเราะ“หมอหลวงไม่รู้ได้อย่างไรเล่า?” นางตรัสขึ้นเจียงโหย่วซู่หลุบตา“วัดกวงหวาระวังเคร่งครัด หัวหน้ากองพันลู่องครักษ์เสื้อแพรเฝ้าด้วยตนเอง สภาพด้านในไม่เปิดเผยกับข้างนอก” เขาเอ่ย “พวกเราส่งเครื่องยาตามที่นางสั่งทุกวันก็ไม่อาจเข้าไปในวัดได้”ไทเฮาทรงพระสรวลแล้ว“บุญกุศลใหญ่เช่นนี้ ทำไมซ่อนเล่า” นางตรัส ขันทีข้างกายโบกมือ “ไป ถามฝ่าบาทดู บอกว่าข้าอยากรู้ ผู้ป่วยฝีดาษนี่คุณหนูจวินรักษาหายดีเท่าไรแล้ว?”ขันทีรับคำสั่งออกไป ส่วนเจียงโหย่วซู่เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาบอกกับไทเฮาเรื่องที่ต้องระวังในประจำวัน แล้วดึงองค์หญิงน้อยองค์ชายน้อยมาฟังดูถามจับชีพจรด้วย“ดีอยู่ ดีอยู่ ดีกันหมด” เจียงโหย่วซู่ท้ายที่สุดยิ้มเอ่ยบรรดาไทเฮาพระสนมดีใจมาก“ตั้งแต่กินยาของหมอหลวง องค์หญิงน้อยก็ไม่โวยวายร้องไห้ตอนกลางคืนแล้ว” พระสนมคนหนึ่งเอ่ย“วิชาแพทย์ของหมอหลวงเจียงนั่นวางใจได้อย่างแท้จริง” ไทเฮาสรวลตรัสขึ้นเจียงโหย่วซู่รีบยิ้มเอ่ยไม่กล้ากำลังยิ้มอยู่ขันทีคนนี้ก็กลับมา สีหน้าวิตกอยู่บ้าง อยากพูดก็หยุด“เป็นอย่างไร?” ไทเฮาขมวดพระขนงตรัสถาม“ตอบพระนาง ฝ่าบาทตรัสว่าตั้งแต่วัดกวงหวารับรักษามาถึงตอนนี้ รักษาหายแล้ว…” ขันทีค้อมกายเอ่ย เสียงยิ่งเบาลงๆ“เท่าไร?” ไทเฮาเร่งสุรเสียงดังขึ้นขันทีตัวสั่นนิดหนึ่ง“เจ็ดคน” เขาก็เอ่ยตอบเสียงดังด้วยในตำหนักเงียบกริบ คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าอึ้งเจ็ดคน?เสียงป้าบดังกังวาน ไทเฮาปัดถ้วยน้ำชาด้านหน้าตกลงพื้น“เหลวไหล!” นางคิ้วตั้งตวาดเอ่ย ยกมือพลิกโต๊ะอีกคนในตำหนักคุกเข่าลงพรึบ ก้มตัวกับพื้นสั่นสะท้าน“ไทเฮาโปรดระงับโทสะ” พวกเขาเอ่ยเสียงสั่นเจียงโหย่วซู่ก็คุกเข่าลงด้านข้างด้วย บนใบหน้าที่ก้มต่ำรอยยิ้มบางแล่นผ่านโทสะนี่ระงับไม่อยู่แล้ว“ข้าผิดหวังเหลือเกินจริงๆ!” ไทเฮาคิ้วตั้งตวาดเอ่ย…“วัดกวงหวาถึงวันนี้รับรักษาหนึ่งร้อยสามสิบคน”“ถึงตอนนี้ผ่านไปแล้วสิบวัน คนตายมากถึงสามสิบคน รายงานยืนยันว่ารักษาหายเจ็ดคน”“นี่เรียกรักษาได้อะไรกัน? นี่เรียกรักษาได้รึ?”“ด้านในวัดกวงหวาเสียงร้องไห้โหยหวน เรือนด้านหลังเผาศพคนตายแทบจะไม่ขาดดุจดั่งนรกบนดิน”“ได้ยินว่ามีผู้ใหญ่ที่ดูแลคนป่วยติดโรคแล้ว”ฝีดาษโดยทั่วไปเป็นเด็กๆ ป่วยเสียมาก ผู้ใหญ่ติดก็มีอยู่ แต่เทียบกับเด็กดีกว่าอยู่บ้าง หากไม่แบ่งแยกผู้ใหญ่เด็กล้วนติดโรคหมด ถ้าอย่างนั้นฝีดาษนี่ก็ร้ายกาจนักจริงๆ แล้วนี่เป็นไปได้อย่างที่สุดว่าจะกลายเป็นโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ไม่ได้คุกคามแค่เด็กๆหลังการตั้งคำถามของไทเฮา ข่าวก็แพร่ไปทั่วในราชสำนัก จุดคลื่นความสับสนลูกใหญ่ขึ้นทันที“คนเหล่านี้ พวกเขาที่แท้ทำอะไรอยู่ข้างใน?”“เอานางมาถาม”ลู่อวิ๋นฉีที่ได้ยินประโยคนี้มองไปทางคนเอ่ยวาจา“หลังจากนั้นเล่า?” เขาเอ่ยขึ้นหลังจากนั้นที่ควรตัดสินโทษก็ตัดสินโทษ ควรปลอบประโลมประชาชนก็ปลอบประโลมประชาชนสิ ขุนนางใหญ่ขมวดคิ้ว“เวลานี้วัดกวงหวายังมีผู้คนอีกหลายสิบและคนที่เร่งเดินทางมาจากที่อื่นนับไม่ถ้วน” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “หากจับนางไป ตัดสินโทษท่านหมอเหล่านี้ ชาวบ้านเหล่านี้จะจัดการอย่างไร?”จะให้คนรับรักษาอีกย่อมไม่ได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านี้อลหม่านขึ้นมา วิ่งไปทุกหนทุกแห่งคงจะ…ในท้องพระโรงเงียบลง“พิษฝีดาษรวดเร็วรุนแรง เมื่อควบคุมไม่อยู่ปุบก็ประหนึ่งน้ำไหลบ่าสัตว์ร้าย ใต้พระบาทโอรสสวรรค์ไม่อาจให้ผิดพลาด” ขุนนางคนหนึ่งสีหน้าเคร่งขึมเอ่ย “เรื่องนี้จำต้องเก็บเป็นความลับดีกว่า”เก็บเป็นความลับ?“หลังจากนั้นบอกทางการทุกที่ ตรวจสอบผู้ป่วยฝีดาษที่ควรกักตัว” ขุนนางคนนั้นเอ่ยต่อ “ชาวบ้านที่อยู่ระหว่างเดินทางจัดการให้ไปถึงวัดกวงหวาให้ราบรื่น”หลังจากนั้นเล่า?“หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยจะไม่มีอะไรแล้วได้อย่างไร? ขุนนางในที่นั้นตะลึง แต่จากนั้นก็ล้วนคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้บนหนังสือประวัติศาสตร์บันทึกการระบาดของฝีดาษครั้งหนึ่งที่หลิ่งหนานไว้ ฝีดาษครั้งนั้นไม่เพียงเด็กน้อยตายมากมาย ผู้ใหญ่ก็ติดไปด้วย จู่โจมร้ายกาจจนเจ้าผู้ปกครองไร้หนทาง ตอนนั้นผู้บังคับบัญชาทหารประจำการจึงออกคำสั่งให้รวมผู้ป่วยทั้งหมดสังหารหมู่ หลังเหตุการณ์ผู้บัญชาการทหารถูกราชสำนักกำหนดโทษ แต่วิธีของผู้บัญชาการทหารก็เป็นการกระทำที่ต้องทำไร้ทางเลือกเช่นกันถ้าอย่างนั้นลู่อวิ๋นฉีคงจะไม่ทำเช่นนี้ด้วยหรอกกระมังไม่เสียทีที่เป็นเจ้าวายร้ายจริงๆ เลือดเย็นไร้หัวใจ นั่นเป็นถึงชาวบ้านร้อยกว่าคนเชียวนะบรรดาขุนนางสีหน้าหวาดกลัวขุนนางที่ก่อนหน้านี้เสนอความเห็น ลูบเคราไม่พูดจา ประหนึ่งตนเองไม่ได้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น แล้วก็ฟังไม่เข้าใจว่าลู่อวิ๋นฉีพูดอะไร“โรงหมอจิ่วหลิงบอกว่ารักษาฝีดาษได้ ชาวบ้านเชื่อถือ” ขุนนางคนหนึ่งกระแอมเอ่ย “ตอนนี้ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่บอกว่ารักษาไม่ได้ พวกเราตอนนี้บอกว่านางรักษาไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์”ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพวกเขา เรื่องนี้ล้วนเป็นผู้หญิงคนนั้นก่อขึ้น ผลที่ตามมาย่อมต้องให้นางแบกรับเช่นกันบรรดาขุนนางส่ายศีรษะถอนหายใจ ไม่เอ่ยเร่งให้เอาตัวคุณหนูจวินมาตัดสินโทษอีก ตอนที่กำลังถกกันเสียงเบา ขันทีก็ประกาศว่าฮ่องเต้เสด็จ บรรดาขุนนางรีบจัดอาภรณ์เก็บวาจา วางสีหน้าเข้าไปในท้องพระโรงลู่อวิ๋นฉีกลับตรงกันข้าม มองขุนนางทั้งหลายเหล่านี้เดินเรียงแถวเข้าไปก็หมุนตัวจากไปสายลมใบไม้ผลิเดือนสองดุจดาบฟันตัด พัดจนบนหน้าคนเจ็บแปลบหนิงอวิ๋นเจาดึงหน้าต่างปิด คิ้วขมวดแน่น“คุณชาย ยังห่างจากการสอบเหลืออีกหนึ่งเดือน ท่านอย่าเคร่งเครียด” เสี่ยวติงอยู่ข้างหลังตื่นเต้นเอ่ยขึ้นหนิงอวิ๋นเขามองเขาทีหนึ่งยิ้ม“ในใจมีแผนการมีอะไรให้เคร่งเครียด” เขาเอ่ยเสี่ยวติงหัวเราะหึหึ“อีกอย่าง ปีนี้ไม่สำเร็จ สามปีให้หลังค่อยมา ก็ไม่ใช่ว่าไร้ทางถอย มีอะไรให้เคร่งเครียด” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยเสี่ยวติงร้องอั้ยโยะ“คุณชาย พวกเราพูดจาท้อถอยเช่นนี้ไม่ได้” เขาเอ่ยหนิงอวิ๋นเจายิ้มนี่เป็นถ้อยคำท้อถอยอะไร นี่กลับเป็นคำพูดให้กำลังใจ นอกจากชีวิตและความตายไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องใหญ่ มีอะไรให้เคร่งเครียด เทียบกับเด็กสาวที่เผชิญหน้ากับความเป็นความตายเรื่องใหญ่คนนั้นไม่คู่ควรพูดถึงขอพรให้นางผ่านการทดสอบครั้งใหญ่ครั้งนี้อย่างราบรื่นก็ได้แต่ขอพรแล้ว อย่างอื่นเขาล้วนช่วยไม่ได้…“คุณหนูจวิน”ด้านในโถงพระประธานเฉินชีสีหน้าวิตกเข้ามา มองเห็นท่านหมอหลายคนอยู่ก็หยุดพูดไปอีกครั้งท่านหมอมองเห็นเขาแล้ว แล้วก็มองออกว่าเขาอยากพูดก็หยุดไป“มีอะไรก็พูดเถอะ ทุกคนตอนนี้เป็นมดบนเชือกเส้นเดียวกันแล้ว” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยเวลานี้ยังมีกะจิตกะใจพูดเล่นอีกเฉินชีหัวเราะฝืดๆ ทีหนึ่งเอาล่ะ จิ่นซิ่วบอกแล้ว ทุกอย่างทำตามที่นางว่า“นอกจากพวกองครักษ์เสื้อแพร ทหารจำนวนมากก็มาด้วย ตอนนี้ไม่ให้ออกไปข้างนอกแล้ว” เขาเอ่ย “ก่อนหน้านี้พวกพนักงานยังออกไปผลัดเวรพักผ่อนได้ ตอนนี้ล้วนถูกไล่ให้กลับมา”ไม่ให้ออกไปแล้ว?ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าที่นี่ปิดตายแล้วที่นี่ก่อนหน้านี้ก็ปิดอยู่แล้ว แต่การปิดเวลานั้นแค่เฉพาะกับผู้ป่วยฝีดาษ ตอนนี้เห็นชัดว่ากับพวกเขาด้วยแล้วบนหน้าท่านหมอทั้งหลายสีหน้าสับสน“นี่ก็ไม่มีอะไร วันนี้รักษาไม่ได้ดังใจคน คนตายยิ่งมากขึ้นทุกที คนข้างนอกคงเริ่มตั้งคำถามแล้ว” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “คงเริ่มกลัวแล้วด้วย”“ไม่อย่างนั้น พวกเราบอกว่ารักษาไม่ได้เถอะ” เฉินชีอดไม่ได้เอ่ย “เป็นฝ่ายยอมรับ ให้ราชสำนักคิดหาวิธีเถอะ”“ถ้าพวกเขาคิดวิธีได้แต่แรก ยังต้องให้พวกเรามาอยู่ที่นี่หรือ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยเฉินชีไร้คำพูดแล้ว“ที่คุณหนูจวินบอกกับพวกเราตอนเริ่มแรกก็คือขอความช่วยเหลือให้มาด้วยกัน นางก็ไม่ได้บอกว่ามั่นใจแน่นอน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “สถานการณ์วันนี้เวลานี้ ทุกคนก็คงคิดไว้แล้ว”บรรดาท่านหมอยิ้ม“ตาเฒ่าเฝิงเจ้าไม่ต้องปลอบหรอก” ท่านหมอคนหนึ่งยิ้มเอ่ย มองไปด้านนอก ได้ยินเสียงร้องไห้ที่ไม่เคยหยุดลงในหู “มาถึงวันนี้พวกเราเองก็ไม่คิดจากไป”“ใช่แล้ว พวกเราไปก็ไม่มีใครดูแลพวกเขาจริงๆ แล้ว” ท่านหมออีกคนเอ่ยเฉินชีมองบรรดาท่านหมอเหล่านี้ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ยิ่งนักตอนแรกคุณหนูชื่อเสียงโด่งดังเชิญพวกเขามายังต้องเปลืองวาจา วันนี้เวลาที่ยากลำบากที่สุดท่านหมอเหล่านี้ถึงกับไม่ต้องเอ่ยกล่อม……………………………………….
คอมเม้นต์