Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 19 เจ็บปวดจากโรคยังทำอันใดได้
วัดกวงหวายามเช้าตรู่หมอกบางปกคลุม ไม่มีคนไหว้พระแห่แหนมาและไม่มีบรรดาภิกษุเคาะระฆังทำวัตรเช้า มองไปจับต้องไม่ได้ดุจแดนเซียนคนที่ยืนอยู่ข้างในชั่วเวลาหนึ่งรู้สึกไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด ทั้งยังรู้สึกดั่งหลุดพ้นโลกีย์กลายเป็นเซียนอีกด้วยเสียงร้องไห้เจ็บปวดเสียงหนึ่งทำลายความเงียบสงบนี้ เสียงร้องไห้นี้กรีดแหลมประหนึ่งกำลังได้รับโทษทัณฑ์ ทำให้คนฟังร่างอดไม่ได้ขนลุกความรู้สึกฝึกตนเป็นเซียนเมื่อครู่ของเฉินชีพริบตาหายไปแล้ว“เริ่มต้นอีกแล้ว” เขาพึมพำกับตนเอง “แดนเซียนเปลี่ยนเป็นนรก”หลังเสียงร้องไห้นี้เริ่มต้น เสียงร้องไห้ก็ดังขึ้นตามมาติดๆ เสียงร้องไห้โอดโอยของเด็กโต เสียงกรีดร้องของเด็กเล็กพริบตาปกคลุมทั้งวัดกวงหวา ต่อให้เป็นเฉินชีที่ฟังมาแล้วหลายวันก็ทนไม่ได้รีบร้อนใช้ผ้ายัดอุดหูเสียงฝั่งนี้ที่โบสถ์ด้านหลังยิ่งดังระงม ไม่เพียงเสียงร้องไห้ของเด็กๆ บรรดาผู้ใหญ่ก็กำลังหลั่งน้ำตาในห้องวางเตียงไว้สามตัวเด็กน้อยสามคนที่อายุไม่เท่ากันนอนอยู่ แม้มีเด็กเพียงสามคน แต่ในห้องกลับมีคนยืนอยู่สิบกว่าคน แลดูเบียดเสียดยัดเยียดหน้าเตียงแต่ละหลังคนสี่ห้าคนยืนอยู่ สามคนกดเด็กไว้ ท่านหมอสองคนยุ่งกับงานในห้องกลิ่นยาและกลิ่นสุราเข้มข้นอบอวลคุณหนูจวินก็อยู่ข้างในด้วย ปิดปากจมูก ตั้งใจจดจ่อใช้ผ้าฝ้ายผืนหนึ่งเช็ดบนปากแผลบนร่างเด็กคนนี้ อีกด้านหนึ่งยังมีท่านหมออีกคนหนึ่งกำลังทำเช่นนี้อยู่เช่นกัน ข้างตัวพวกเขาวางชามยาไว้ใบหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยน้ำยาสีดำสนิท น้ำยานี้ยังส่งกลิ่นสุราเข้มข้นออกมาด้วยทุกครั้งที่ผ้าฝ้ายจุ่มน้ำยาแตะลงบนบาดแผล เสียงร้องไห้ของเด็กที่ถูกกดไว้ก็จะดังขึ้น ร่างกายบิดดิ้นอย่างรุนแรง ท่านหมอสามคนแทบจะกดไว้ไม่อยู่ เห็นได้ว่าเจ็บปวดมากเพียงไร“ไม่รักษาแล้ว ไม่รักษาแล้ว”ในที่สุดในห้องก็มีเสียงร้องไห้ตะโกนใจสลายของหญิงคนหนึ่งดังขึ้น คลุ้มคลั่งผลักหมอที่ล้อมเตียงอยู่ออก โผเข้าไปกอดเด็กน้อยไว้แน่นร้องไห้เสียงดัง“พวกเราไม่รักษาแล้ว ทุกข์ทรมานปานนี้ ยังไม่สู้ตายไปเลยให้จบ”คุณหนูจวินถูกผลักไปด้านข้าง ท่านหมออีกคนก็ยืนอยู่ด้านข้าง ทุกคนไม่เอ่ยวาจาเพียงมองผู้หญิงคนนี้สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดครั้งแรกเสียงร้องไห้ใจสลายฝั่งนี้ไม่ได้ส่งผลไปถึงอีกสองเตียง ครอบครัวด้านนั้นแม้น้ำตานองหน้ามานานแล้ว แต่กัดฟันแน่นกดลูกของตนไว้ หมอสองคนนั้นยังคงใช้ผ้าฝ้ายชุบน้ำยาเช็ดบนบาดแผลของคนป่วยอย่างมั่นคงไร้หัวใจ เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีกท่ามกลางเสียงร้องไห้นี้ ผู้หญิงหน้าเตียงด้านนี้ค่อยๆ หมดสิ้นเรี่ยวแรง นางมองเด็กน้อยที่อ้าปากหายใจกระชั้นในอ้อมกอด มองบาดแผลบวมแตกหนองไหลซึ่งกระจายไปทั่วร่างของเขา บนหน้าเด็กน้อยแดงดำกระด่าง มองหน้าตาดั้งเดิมไม่ออกแล้วนางยื่นมืลูบหน้าของเด็กน้อยแม้โรคฝีดาษส่วนมากเกิดกับเด็กๆ แต่ผู้ใหญ่ก็ติดได้เหมือนกัน เพียงแต่จะไม่อันตรายเช่นนั้น ผนวกกับฝีดาษนี้สภาพยามเป็นโรคน่าหวาดกลัว นอกจากบิดามารดาของตน คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูบคลำหน้าแนบหน้าเช่นนี้เด็กน้อยเป็นฝีดาษ กระทั่งครอบครัวก็หวาดกลัวถอยหนี ไม่มีท่านหมอรับรักษา ได้แต่ถูกขังอยู่ในห้องรอความตายตอนนี้มีคนรักษาให้เขาแล้ว มีคนยินดีทดลองสักครั้งแล้วนางยกมือเช็ดน้ำตา นั่งตัวตรงจับหัวไหล่ของเด็กน้อยไว้“ก็ได้ ท่านหมอ เชิญเถอะ” นางเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่าผู้ชายสองคนที่ยืนห่างออกไปก้าวเข้ามากดเด็กน้อยไว้ใหม่อีกครั้ง เด็กคนนั้นรู้จักการเคลื่อนไหวนี้ดี ร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาทันทีเด็กน้อยก็คือเด็กน้อย ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของชีวิต ไม่รู้จักความเศร้าโศกของความตายคุณหนูจวินกับท่านหมอก็ไม่ได้เอ่ยวาจา ทำเช่นก่อนหน้าต่ออีกครั้งเทียบกับเสียงร้องไห้โหยหวนดุจดั่งชดใช้บาปในนรกฝั่งนี้ ในห้องอีกแถบหนึ่งเงียบกว่าบ้าง แต่ก็ไม่ผ่อนคลายเช่นกัน“ซานหนิว รีบดื่มนะ ดื่มต่อนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพยุงเด็กโตที่หลับตาราวกับไม่รู้สึกตัวคนหนึ่งอยู่ ร้องไห้เอ่ยกระตุ้น ส่งถ้วยยาในมือไปยังริมฝีปากของเขาเด็กคนนั้นแน่นิ่งไม่ขยับ“มารดามัน กรอกลงไป” ผู้ชายด้านข้างเอ่ยผู้หญิงพยุงเด็กน้อยขึ้นมานิดหนึ่ง จับถ้วยยากรอกลงไป เด็กน้อยคนนั้นยังคงมีสติกลืนอยู่ แต่อย่างไรก็เรี่ยวแรงไม่พอ สำลักติดๆ กันจนชักดิ้นผู้หญิงมองดูร้องไห้หนักกว่าเดิมท่านหมอเดินเข้ามา มองถ้วยยาที่วางอยู่“ห่างหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ให้ดื่มยาอีก” เขากำชับพลางหยิบถ้วยออกมาใบหนึ่ง แตกต่างจากเสียงร้องไห้ครวญครางด้านนั้น ที่นี่ไม่มีกลิ่นสุราเข้มข้น ตรงกันข้ามกลับมีกลิ่นหอมหวานบางๆในถ้วยยานี้เต็มไปด้วยน้ำผึ้งท่านหมอใช้ผ้าฝ้ายจุ่มน้ำผึ้งทาบนบาดแผลของผู้ป่วยคนนั้น นี่ไม่ได้ชักนำเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้ป่วย เพราะน้ำผึ้งนี่แสบน้อยมาก หรือบางทีอาจเพราะผู้ป่วยที่นี่ชีวิตวิกฤติจนไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว…“หมอหลวงเจียง ท่านได้ยินมาไหมว่าวัดกวงหวาด้านนั้นประหนึ่งคุกของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ โหดร้ายจนไม่อาจมองดู” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเวทนา“คนที่ตีนเขากลัวหนีไปหมดแล้ว ได้ยินเข้าทำให้ฝันร้าย” อีกคนหนึ่งก็เอ่ยตามด้วย“รักษาฝีดาษต้องน่าหวาดกลัวปานนี้หรือ?” เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้วเอ่ย “นางรักษาอย่างไร?”บรรดาหมอหลวงสบตากันทีหนึ่ง“ยังจะรักษาอย่างไรได้ก็น้ำผึ้งเซิงหม๋า[1]น่ะสิ นางเอาน้ำผึ้งกับเซิงหม๋าไปมากมายขนาดนั้น ต้องใช้เช่นนี้แน่” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย“ยังเอาสุรามากมายไปด้วย” หมอหลวงอีกคนหนึ่งเอ่ยเสริม“สุราใช้ขับไล่ความชั่วร้ายกระมัง” หมอหลวงอีกคนหนึ่งเอ่ยสุราแรงปูนขาวอะไรพวกนี้มักใช้กับเรื่องนี้ ฝังผู้ป่วยที่ตายป้องกันโรคความชั่วร้ายแพร่ต่อ นี่ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาทำกันปกติทุกคนพยักหน้า“คนตายมากหรือ?” เจียงโหย่วซู่สังเกตุจุดนี้ได้“น่าจะไม่น้อย” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยเจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้ว“อะไรเรียกน่าจะ?” เขาเอ่ยถาม แล้วคิดได้ว่าก่อนหน้านี้หมอหลวงคนนี้พูดประโยคนั้นว่าได้ยินมาว่าในวัดกวงหวาเป็นอย่างไรๆ “พวกเจ้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตนเองรึ?”บรรดาหมอหลวงสบตากันทีหนึ่ง สีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง“ใต้เท้าท่านยังไม่รู้” พวกเขาเอ่ยตั้งแต่วันนั้นที่คุณหนูจวินยุองครักษ์เสื้อแพรให้มาก่อเรื่องที่สำนักแพทย์หลวง เจียงโหย่วซู่แม้ไม่ให้ทุกคนไปฟ้อง แต่กลับให้ลาป่วยกลับบ้านพักสองวันเช่นนี้ในอนาคตพูดขึ้นมาก็เป็นหลักฐานได้ นอกจากนี้ยังแสดงว่าอดกลั้นถอยให้แล้ว“หัวหน้ากองพันลู่ก็อยู่ที่วัดกวงหวา ห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าออก”หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย “กระทั่งรถส่งยาของพวกเราไปก็ยังไม่ให้คนเข้า พวกเขาด้านในมีคนออกมารับรถ”ดังนั้นในวัดที่แท้สภาพเป็นอย่างไร พวกเขาก็ได้แต่อาศัยฟังมาคาดเดาลู่อวิ๋นฉีถึงกับพาคนไปด้านนั้นแล้ว? เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้ว เขาว่างขนาดนี้รึ?เขาย่อมไม่ว่างขนาดนี้ ปิดกั้นด้านนั้นแน่นหนา ด้านนอกไม่รู้สภาพแท้จริงด้านใน อนาคตถึงเวลากล่าวโทษก็ใส่สีได้ตามใจ นี่เป็นรูปแบบการกระทำประจำขององครักษ์เสื้อแพรเจียงโหย่วซู่พยักหน้า ต้องเป็นเช่นนี้แน่…“คุณหนู คุณหนูท่านรีบนั่งลง น้ำจะต้มเสร็จแล้ว ท่านทานอะไรสักหน่อยก่อน”หลิ่วเอ๋อร์ล้อมหน้าล้อมหลังคุณหนูจวินรีบร้อนเอ่ยบอกคุณหนูจวินก็เหนื่อยจริงๆ นั่งลงบนเสื่อกลมตรงทางเดินสักที่หลิ่วเอ๋อร์ไปยกน้ำแกงโสมถ้วยหนึ่งมาอีก“นี่เป็นของที่บ้านเราหรือว่า…” คุณหนูจวินเอ่ยถามหลิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิก“ย่อมเป็นของสำนักแพทย์หลวง” นางเอ่ย “ฮ่องเต้ตรัสว่าสมุนไพรใช้ได้ตามใจไหมเล่า เฉินชีจึงขอโสม เขากวางอะไรพวกนี้ติดมาหน่อยด้วย ให้คุณหนูกับพวกท่านหมอบำรุงร่างกาย เฉินชีบอกว่านี่ก็เป็นการรักษาโรค”คุณหนูจวินหัวเราะแล้ว ฉับพลันรอยยิ้มก็ชะงักค้างมองไปทางหนึ่ง หลิ่วเอ๋อร์มองไปบ้างสีหน้าบึ้งตึงทันทีลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ใต้ประตูทางเชื่อมบานน้อย เขากำลังเอามือไพล่หลังมองคุณหนูจวิน“คนผู้นี้น่าชังจริงๆ มาอีกทำไม?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย“เขาไม่ใช่บอกว่ารับคำสั่งฮ่องเต้ปิดวัดกวงหวารึ” คุณหนูจวินพูด หลุบตาดื่มน้ำแกงโสมช้าๆ คิ้วยังขมวดอยู่คนผู้นี้หลอกหลอนไม่เลิกจริงๆหนึ่งการกระทำหนึ่งประโยควันนั้นของตนถึงกับมีผลมากปานนี้ทำให้คนใจว้าวุ่นนักบางครั้งนางก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่นิดๆ อยากตะโกนเสียงดังโหดเหี้ยมใส่เขา อย่าใช้สายตาเช่นนั้นมองข้าสายตาที่จับอยู่ด้านหลังร่างพลันเคลื่อนออกไป พร้อมกันนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น คุณหนูจวินเงยหน้ามองไป เห็นลู่อวิ๋นฉีราวกับถูกคนชนออกไปหลายก้าวไปยืนด้านในลาน ใต้ประตูทางเชื่อมมีคนใหม่มายืนจูจั้นเขาทำไมมาด้วยเล่า?คุณหนูจวินมองเขาอดไม่ได้ยิ้มนิดๆ……………………………………….[1] เซิงหม๋า (升麻) สมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน———————————————-
คอมเม้นต์