Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 18 ฟังพระพุทธมีเมตตากรุณา
วัดกวงหวาห่างจากเมืองหลวงเพียงแค่แปดลี้ ออกจากเมืองไม่นานก็มองเห็นบนทางหลวงตั้งด่านอยู่ ยังตั้งป้ายบอกทางแก่ผู้ป่วยฝีดาษชี้สถานที่ต้องไปไว้ชัดเจนรถม้าวิ่งไปตามทางไม่นานก็มองเห็นวัดกวงหวาที่ตั้งเด่นอยู่บนยอดเนินเขาลูกหนึ่งวัดกวงหวาพื้นที่มาก ทั้งภูมิประเทศสูง ขังผู้ป่วยเข้าไปในวัดห้ามไม่ให้พวกเขาวิ่งวุ่นขบวนรถมาถึงวัดกวงหวาในตอนบ่าย เฉินชีพาคนมารอรับแล้ว เข้าไปในวัดยิ่งมีครอบครัวผู้ป่วยยืนเรียงแถวอยู่ที่ปากประตู มองเห็นคณะของคุณหนูจวินเข้าประตูก็ฮือเข้ามาพร้อมเพรียง“ท่านหมอจวินช่วยชีวิตด้วย”มีคนร้องไห้ตะโกนเสียงดังเอ่ยเฉินชีเอ็ดคนผู้นั้นทันที“นี่ไม่ใช่มาช่วยชีวิตหรือ?” เขาถลึงตาเอ่ย“ขอบคุณท่านหมอ ขอบคุณท่านหมอทั้งหลาย” คนอื่นรีบตะโกนตามทันทีเทียบกับชาวบ้านนอกเมืองที่เพียงกังวลว่าบุตรตนเองจะติดโรคเหล่านั้น คนที่นี่บุตรล้วนติดโรคหมดแล้ว คนเหล่านี้อารมณ์ยิ่งรุนแรง คนไม่น้อยร้องไห้จนสลบไปกับพื้นภาพนี้ทำให้บรรดาท่านหมอที่เห็นเข้าทั้งตื่นเต้นทั้งหนักใจ“ถูกคาดหวังมากเช่นนี้ หากทำไม่ได้จะทำอย่างไรเล่า” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย มองดูชาวบ้านที่ถูกกล่อมให้ออกไปคำพูดนั้นทำในใจทุกคนล้วนหนักอึ้งขึ้นหลายส่วนใช่สิ ตลอดทางสนเพียงเลือดร้อนพลุ่งพล่าน ล้วนลืมไปแล้วว่าเรื่องที่พวกเขาจะทำเป็นเรื่องที่ไม่มั่นใจสักเท่าไรตอนนี้อามรณ์ร้อนแรงของชาวบ้านถูกจุดขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว ในสายตาของพวกเขาท่านหมอเหล่านี้ช่วยเหลือพวกเขาได้ ถ้าหากว่า…บรรดาท่านหมอเพิ่งยืนอยู่ในอุโบสถวัดกวงหวาเงียบไปภิกษุในกุฏิล้วนถูกนิมนต์ออกไปหมดแล้ว พระพุทธรูปทองอร่ามสูงใหญ่น่าเกรงขามยังคงนั่งขัดสมาธิเงียบสงบ ภาพวาดทวยเทพโปรดสัตว์เต็มกำแพงสองด้านวัดกวงหวานี้เคยเป็นวัดประจำราชวงค์ของรัชกาลก่อน พระพุทธรูปกรวมถึงภาพจิตรกรรมทวยเทพโปรดสัตว์ด้านในมาตรฐาน ฝีแปรง การแต้มสี ระบบและขนาด เทียบกับวัดอื่นมีสง่าราศีกว่ามากก่อนหน้านี้ที่นี่สายานุศิษย์ชายหญิงภิกษุทะลักเต็มแน่นมีเพียงเสียงเอะอะ เวลานี้ด้านในโถงเงียบสงบปรากฏความเคร่งขรึมน่าเกรงขามอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบนี้ ดึงให้ทุกคนมองไป คุณหนูจวินเดินไปถึงตรงหน้าภาพวาดที่กำแพงด้านข้าง ท่าทางใคร่รู้อยู่บ้างมองไป“นี่คือเก้าพระพุทธองค์สิบพระโพธิสัตว์สิบวิทยราชสิบหกพระอรหันต์” สายตานางกวาดรอบโถงเอ่ยออกมา “งดงามน่าเกรงขามเหมือนมีชีวิตจริงๆ”ภาพจิตรกรรมทวยเทพโปรดสัตว์ของวัดกวงหวาชื่อเสียงเลื่องลือ แต่เวลานี้ใช่เวลาจะชื่นชมสิ่งนี้หรือบรรดาท่านหมอมองดูคุณหนูจวินสีหน้าสับสนอยู่บ้างคุณหนูจวินดูเสร็จก็ละสายตากลับมาจากภาพวาดฝาผนัง ยืนอยู่ที่พระพุทธรูปตรงกลางเงยหน้าจับจ้องในโถงตกอยู่ในความเงียบอีกรั้ง แต่บรรดาท่านหมอกลับสงบใจไม่ไหวแล้วนี่ทำอะไรน่ะ? มาแล้วอย่างไรก็ต้องบอกระเบียบข้อบังคับสักอย่างสิ เด็กสาวคนนี้ชื่นชมทิวทัศน์ได้อย่างไร?“คุณหนูจวิน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงคุ้นเคยกับนางมากที่สุด เป็นฝ่ายเอ่ยปากเพิ่งเอ่ยปากพูด คุณหนูจวินก็หันหน้ามาหาพวกเขาส่งเสียงชู่ทีหนึ่ง“พวกท่านฟัง” นางเอ่ยฟัง?ฟังอะไร?พวกท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ยังคงเงียบเงี่ยหูฟัง ทุกคนล้วนอดไม่ได้กลั้นลมหายใจกลั้นเสียงจดจ่อในโถงใหญ่ยิ่งเงียบแล้ว ราวกับทุกสิ่งล้วนไม่มีอยู่ไม่รู้ว่าเหตุเพราะกลั้นลมหายใจกลั้นเสียงหรือความน่าเกรงขามของพระพุทธรูปกับรอบด้าน ทุกคนรู้สึกเพียงใจค่อยๆ สงบลงแล้วแต่…“ฟังอะไรหรือ?” ท่านหมอคนหนึ่งยังคงอดไม่ได้เอ่ยถาม“พวกท่านไม่ได้ยินพระพุทธองค์กำลังเอ่ยวจนะหรือ?” คุณหนูจวินพูดขึ้นพระพุทธ์องค์กำลังเอ่ยวจนะ?บรรดาท่านหมอสีหน้าประหลาดใจ เล่นอะไรเนี่ย? พวกเขาล้วนเป็นหมอ แม้ไม่ใช่พวกบัณฑิตนับถือวิถีแห่งปราชญ์ แต่คนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดแก่เจ็บตาย ย่อมไม่พูดถึงพลังลี้ลับเทพงมงายพระพุทธองค์เอ่ยวจนะอันใดคุณหนูจวินมองพวกเขายิ้ม“พวกท่านไม่ได้ยินสินะ” นางเอ่ยพวกเราได้ยินสิถึงแปลกบรรดาท่านหมอมองนาง มีหลายคนอดไม่ได้หงุดหงิดคิ้วขมวดแล้วคุณหนูจวินประนมมือหลุบตาลงนิดหนึ่ง“ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกพวกท่าน” นางเอ่ย “ข้าได้ยินพระพุทธองค์ตรัสว่า เพียงทำความดีอย่าถามถึงอนาคต”พระพุทธ์องค์ตรัสว่าเพียงทำความดีอย่าถามถึงอนาคตบรรดาท่านหมอในโถงใหญ่อึ้งไปนิดหนึ่ง ในใจเอ่ยทวนประโยคนี้เงียบๆ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปมาพวกเขาฟังความหมายของคุณหนูจวินเข้าใจแล้ว“ใช่สินะ เพียงทำความดีอย่าถามถึงอนาคต” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย ท่าทางปลง “พวกเรารู้ว่าพวกเราตอนนี้กำลังทำอะไร ต้องทำอะไรก็พอแล้ว ส่วนทำได้หรือไม่ ทำเต็มที่แล้วปล่อยฟ้ากำหนด มีเพียงทำเต็มกำลัง พวกเราจึงไม่ละอายแก่ใจ ไม่เสียใจและรู้สึกผิด”ท่านหมออีกคนหนึ่งก็พยักหน้าด้วย“ใช่แล้ว ปราชญ์ในอดีตก็กล่าวไว้จงอย่าหลบเลี่ยงเส้นทางเขาชันอันตราย เช้าค่ำหนาวร้อน หิวโหยเหนื่อยล้า มุ่งมั่นไปช่วยเหลือ อย่าทำงานแต่เพียงเอาหน้า เช่นนี้จึงเป็นหมอผู้ช่วยสรรพชีวิตได้” เขาประสานหมัดเอ่ย “พวกเราในเมื่อรับรักษาผู้ป่วยมากขนาดนี้แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ตั้งใจไปรักษาเท่านั้นก็พอ”บรรดาท่านหมอล้วนพากันพยักหน้า สีหน้าไม่ได้ตื่นเต้นแล้วก็ไม่ได้ร้อนรนไม่สงบแล้ว พวกเขาเงยหน้ามองอุโบสถแห่งนี้ทีหนึ่ง เช่นเดียวกับที่คุณหนูจวินทำเมื่อครู่ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความงดงามน่าเกรงความนี่จริงหรือไม่ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าจิตใจสงบนิ่งลง แต่ละคนคลายความอึดอัดโดยไม่รู้ตัวความอึดอัดนี้ตั้งแต่เมื่อวานที่คุณหนูจวินมาเชิญให้พวกเขาช่วยเหลือถึงประตู รวมถึงกลางคืนที่ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยโน้มน้าวพวกเขาจนตกลง ไปจนถึงตลอดทางจากในเมืองมาถึงวัดกวงหวาสั่งสมต่อกันมาความอึดอัดนี้มีความตกตะลึงมีความตื่นเต้นมีความหวาดกลัวมีความยินดีหน่อยๆ เป็นต้นหลากรสผสมปนเป ทั้งหมดสั่งสมอยู่ในใจก่อกวนหัวใจจนวุ่นวายพาให้สมองพองขยายไปด้วยตอนนี้ความอึดอัดนี้ปล่อยออกไปแล้ว คนทั้งร่างประหนึ่งผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก“คุณหนูจวิน พวกเราจะทำสิ่งใดก่อน?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองไปทางคุณหนูจวินเอ่ยถาม“พวกเราไปดูผู้ป่วยเหล่านี้ก่อน” คุณหนูจวินเอ่ย “หลังจากนั้นรวมตัวกันหารือวิธีการรักษา”บรรดาท่านหมอพยักหน้าขานรับ ตามคุณหนูจวินก้าวออกจากอุโบสถเฉินชีพาคนมารออยู่ด้านนอก“ที่พักของทุกคนจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย พลางยื่นมือชี้บอกทางด้วยตนเอง “พวกผู้ป่วยล้วนจัดให้อยู่ในโบสถ์ด้านหลัง”คุณหนูจวินพาหมอทั้งหลายไปทางโบสถ์ด้านหลังตามการนำทางของเขา“ผู้ดูแลใหญ่ชี หมอเหล่านี้ดูแล้วสีหน้าไม่ถูกต้องนักนะ” พนักงานคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายเฉินชีเอ่ยเสียงเบา“ไม่ถูกต้องอย่างไร?” เฉินชีเอ่ย ถลึงตามองพนักงานคนนั้นทีหนึ่ง “เรียกข้าว่าผู้ดูแลใหญ่เฉิน”พนักางานหัวเราะหึหึ มองดูคนฝั่งนี้เดินเข้าไปใกล้โบสถ์ด้านหลัง ครอบครัวของผู้ป่วยตื่นเต้นนำทางเข้าไปในอาคาร“ดูแล้วอารมณ์ไม่ดีหน้าบึ้ง” เขาเอยเสียงเบาเฉินชีสบถ“เจ้าเข้าใจอะไรเล่า” เขาเอ่ย “นั่นเป็นความสุขุมชัดๆ เจ้าเคยเห็นหมอคนไหนตรวจคนไข้หน้าตายิ้มแย้มดีใจไหมเล่า? รู้สึกดั่งเกิดกับตน เมตตากรุณาในอก ไม่หยิ่งยโสไม่รีบร้อน โศกเศร้ายินดีไม่เผย นี่ถึงทำให้ผู้ป่วยคลายกังวล นี่ถึงเป็นการตรวจรักษา”พนักงานน้อยหัวเราะหึหึแล้ว“ผู้ดูแลใหญ่ชีท่านรู้มากจริงๆ” เขาเอ่ยเฉินชีคร้านจะสนใจเขา ลูบปลายคางมองบรรดาหมอเหล่านั้นเดินออกห้องหนึ่งเข้าอีกห้องหนึ่งก็แปลกจริงๆ สีหน้าของหมอเหล่านี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว นี่ถึงเหมือนหมอที่มาตรวจโรค ไม่เหมือนก่อนหน้านี้สีหน้าท่าทางเหมือนไล่เป็ดขึ้นคอน[1]อย่างนั้น ดูท่าบรรดาหมอก่อนหน้าตรวจโรคไหว้พระก่อนก็มีประโยชน์เอาการ ไม่แปลกที่คุณหนูจวินเข้ามาปุบไม่ไปดูผู้ป่วย แต่นำพวกเขาตรงมาที่โถงพระพุทธรูปก่อน…เมื่อดูผู้ป่วยฝีดาษด้านในสิบกว่าห้องเสร็จ ท่านหมอทั้งหลายก็มารวมตัวกันที่ในโถงพระพุทธรูปอีกครั้ง“เรื่องจะใช้ยารักษาอย่างไร พวกเราหลังจากนี้หารือกันที่นี่” คุณหนูจวินเอ่ยอุโบสถนี่ใหญ่เกินไปแล้วกระมัง? ทำไมต้องที่นี่? โบสถ์ด้านหลังยังมีห้องว่างอีกหลายห้องบรรดาท่านหมอกวาดตามองโดยไม่รู้ตัว มองเห็นด้านในอุโบสถจัดโต๊ะเก้าอี้ไว้ วางไว้ตรงหน้าพระพุทธรูปนั่นเอง ดูไปแปลกประหลาดอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีอะไรแปลกที่นี่ก็ไม่ใช่โรงหมอ ทำอะไรก็ล้วนแปลก อย่าได้จู้จี้กับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย ยังคงถกการรักษาเรื่องใหญ่ที่สุดตรงนี้นี่เถอะ“เกี่ยวกับฝีดาษนี้ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนป่วยมากกว่าสามวันแล้ว วิกฤติมากจริงๆ”“ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านี้ใช้ยาย่อมต้องไม่เหมือนกัน”“ถ้าอย่างนั้นก็ใช้น้ำผึ้งหมาหวง[2]เถอะ”พวกท่านหมอพากันปรึกษาหารือ คุณหนูจวินฟังแล้วก็ยกพู่กัน“นอกจากน้ำผึ้งหมาหวง ข้ายังมีอีกวิธีหนึ่ง” นางเอ่ยนางมีวิธีรับมือจริงๆบรรดาท่านหมอในใจโล่งใจ มองไปทางนาง กลับไม่ได้จรดพู่กัน กลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง“แต่วิธีนี้จะทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดมาก” นางเอ่ยบรรดาท่านหมอถอนหายใจ“คุณหนูจวินเวลานี้อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้เลย”“รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว ยังเจ็บปวดได้มากกว่าตายหรือ?”คุณหนูจวินยิ้ม“นั่นสิ” นางเอ่ย “แต่เอาอย่างนี้เถอะ วิธีนี้ใช้กับผู้ป่วยที่ป่วยน้อยกว่าสามวัน เรี่ยวแรงของพวกเขายังทนไหวอยู่ อาการหนักมากกว่าสามวันให้ใช้น้ำผึ้งหมาหวงแล้วกัน ใช้ยาจนพวกเขามีเรี่ยวแรงดีขึ้นบ้าง หลังจากนั้นค่อยใช้วิธีนี้ของข้า”บรรดาท่านหมอพากันพยักหน้าคุณหนูจวินยกพู่กันเขียนเทียบยา ท่านหมอทั้งหลายมาดูร่ำเรียนด้วย“สูตรนี้ไม่เคยเห็นจริงๆ” ทุกคนเอ่ย สีหน้าตื่นเต้นมาก ไม่เคยเห็นต้องมีฤทธิ์มหัศจรรย์แน่ ตอนนั้นจึงพากันเดินออกไปข้างนอก “พวกเราจะไปจัดยาจ่ายยาตามสูตรนี้เดี๋ยวนี้”คุณหนูจวินมองพวกเขาก้าวเท้าไวๆ ออกไป หันกลับมามองพระพุทธรูปสูงใหญ่ครั้งหนึ่ง หลุบตาเดินออกไป……………………………………….[1] ไล่เป็ดขึ้นคอน (赶鸭子上架) สำนวนหมายถึงบังคับให้ทำในสิ่งที่ทำไม่ได้[2] น้ำผึ้งหมาหวง (蜜麻) น้ำผึงผสมกับสมุนไพรหมาหวง (麻黄)———————————————–จบ หวนชะตารัก 1
คอมเม้นต์