Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 16 ดังนั้นไปด้วยกัน
บุรุษอึ้งไป“ตาเฒ่าเฝิง พวกเราตอนนี้กำลังพูดถึงวิชาแพทย์ ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ เจ้าอย่าพูดถึงความน่าเชื่อถืออะไร อุดมการณ์อะไร เลือดร้อนอะไรสิ” เขาส่ายศีรษะเอ่ยอีกครั้ง “นี่ล้วนไม่เกี่ยวกัน”ท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“ตาเฒ่าหลิว เจ้าพูดถูก” เขาเก็บรอยยิ้ม วางถ้วยชาลง สีหน้าเป็นการเป็นงาน “ที่ข้าพูดก็คือความเป็นไปได้ ข้าเชื่อว่าหากเกิดเรื่องนางจะปกป้องพวกเรา”ท่านหมอหลิวขมวดคิ้ว“นั่นอยู่ที่ว่านางจะปกป้องได้หรือไม่” เขาเอ่ย“ในเมื่อนางออกปากเชิญพวกเราช่วยเหลือ ข้าคิดว่านางต้องปกป้องได้แน่” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ไม่อย่างนั้นนางไม่มีทางพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ ไม่ปิดบังเจ้า ข้ายังสอนนางว่าหลอกพวกเจ้าอย่างไรด้วยซ้ำ แต่นางไม่ยอม”พูดจบก็เล่าบทสนทนาเมื่อตอนนั้นใหม่รอบหนึ่ง สีหน้าท่านหมอหลิวอึ้งทั้งยังจนปัญญา“เจ้านะเจ้า” เขายื่นมือชี้ท่านหมอเฒ่าเฝิง ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร“อีกอย่าง ข้าเชื่อในวิชาแพทย์ของนาง” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย บนหน้าเขาเปล่งประกายอยู่บ้าง “ตาเฒ่าหลิว นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ เจ้าไม่อยากเอาชนะฝีดาษ อนาคตทิ้งชื่อไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์หรือ?”ท่านหมอหลิวหลุดหัวเราะ“ตาเฒ่าเฝิง ใครไม่อยากเล่า” เขาเอ่ย “แต่ที่สำคัญก็คือเรื่องนี้อยากแล้วทำได้หรือ?”“ข้าเชื่อว่านางทำได้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยทันที สีหน้าจริงจังทั้งยังตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าเชื่อว่านางพูดได้ทำได้”ไม่รอท่านหมอหลิวเอ่ยอะไร เขาก็เอ่ยปากต่ออีก“มาเมืองหลวงนานขนาดนี้ เจ้าลองคิดดู นางไม่ใช่พูดได้ทำได้หรือ? นางบอกว่านางรักษาโรคที่พวกเรารักษาไม่ได้ นางเคยมีสักครั้งทำไม่ได้ไหม? นางบอกว่านางจะให้ร้อยแพทย์ช่วยหมื่นประชา นางถ่ายทอดวิชาฝีมือให้พวกเรามีปิดบังซ่อนเร้นสักนิดไหม? แต่ละครั้งที่นางถ่ายทอดวิชาล้วนถูกต้องแม่นยำถึงแก่นไม่อาจโต้แย้งได้ไม่ใช่หรือ”เขายื่นมือกำมือท่านหมอหลิว“ตาเฒ่าหลิว วันนี้นางกล้าพูดว่ารักษาฝีดาษได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำได้แน่ เจ้าเชื่อนางหรือไม่?”ท่านหมอหลิวมองเขา รู้สึกว่ามือที่ถูกกำอยู่สั่นน้อยๆ ไม่รู้ว่าตาเฒ่าเฝิงคนนี้ตื่นเต้นหรือว่าตนเอง“ข้าเชื่อ” เขาเอ่ยปากบอกท่านหมอเฒ่าเฝิงยกมือตบแขนของเขานิดหนึ่ง หัวเราะฮ่าๆ ยืนขึ้น“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเฒ่าทารกอย่างเจ้าเป็นคนห้าวหาญคนหนึ่ง” เขาเอ่ย “พวกเราพบกันพรุ่งนี้”พูดจบหมุนตัวก็จากไปท่านหมอหลิวรีบลุกขึ้นยืน“ข้าไปส่งเจ้า” เขาเอ่ย ท่านหมอเฒ่าเฝิงถือโคมเดินออกไปข้างนอกแล้วสายลมราตรีเย็นเยือก พัดสองคนที่เดินออกมาจากในห้องจนต้องหดคอท่านหมอหลิวมองไปทางท่านหมอเฒ่าเฝิงผู้เดินไปอีกด้านหนึ่งของถนน“เฮ้ ตาเฒ่าเฝิง บ้านเจ้าไม่ได้อยู่ด้านนั้น” เขารีบตะโกนบอก ตาเฒ่าคนนี้คงไม่ใช่ตื่นเต้นจนสมองมึนงงไปแล้วกระมัง?ท่านหมอเฒ่าเฝิงถือโคมหันกลับมายิ้ม“ข้าจะไปแวะอีกสักหลายที่” เขาเอ่ยแวะอีกสักหลายที่?ท่านหมอหลิวอึ้ง มองดูท่านหมอเฒ่าเฝิงที่เดินไปบนถนนยามดึกดื่นสีท้องฟ้าค่ำคืนเข้มเย็นดุจธารา บนถนนเส้นยาวคนเดินเท้าถูกราตรีมืดมิดกลืนกิน มีเพียงโคมดวงหนึ่งแกว่งไกวเคลื่อนไปข้างหน้าเห็นเพียงโคมไม่เห็นคน ในราตรีนี้ประหลาดนักท่านหมอหลิวยืนอยู่ที่ปากทางเข้าประตูรู้สึกเพียงเดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อน พลันเขาก็กระทืบเท้าทีหนึ่ง“ตาเฒ่าเฝิง เจ้ารอข้าด้วย” เขาร้องตะโกน หมุนตัวหยิบโคมไล่ตามไปทางถนนใหญ่อันมืดมิดบนถนนท่ามกลางราตรีมืดโคมสองดวงลอยลิ่วเคลื่อนไปไม่รู้นานเท่าใด โคมไฟสองดวงบนถนนก็กลายเป็นสามดวง สี่ดวง ค่อยๆ ส่องสว่างค่ำคืนดึกสงัดของเมืองหลวงฟ้าสว่างแล้วคุณหนูจวินตื่นขึ้นตรงเวลา ต่อยหลักไม้รอบหนึ่งเหมือนเช่นวันวาน ตอนนี้ถึงทานอาหารเดินออกไปข้างนอกกับหลิ่วเอ๋อร์ที่สะพายหีบยาฟางจิ่นซิ่วรออยู่ที่โถงด้านหน้า“มีเรื่องอะไรก็แค่บอก” นางว่า “ผู้ช่วยอะไรพวกเราก็จัดหาได้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเตรียมพร้อมไว้แล้ว”คุณหนูจวินมองนาง“เจ้าจำไว้ให้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วส่งคนไปตามหาของที่ข้าต้องการ” นางเอ่ยนี่เป็นเรื่องที่เมื่อคืนวานคุณหนูจวินสั่งว่านางจำเป็นต้องทำ เขียนไว้บนกระดาษแล้วฟางจิ่นซิ่วพยักหน้า เปิดประตูแทนนาง“บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ ไม่ใช่แค่หมอไม่กี่คนรึ” นางหยุดนิดหนึ่งก็เอ่ยขึ้นคุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว“ไม่ผิด” นางเอ่ย ก้าวออกจากประตู แต่นาทีต่อมานางก็ชะงักเท้าหลิ่วเอ๋อร์ที่สะพายหีบยาอยู่ถูกขวางไว้ไม่เข้าใจอยู่บ้าง“คุณหนู?” นางเอ่ยถามเกิดอะไรขึ้น?ฟางจิ่นซิ่วก็ขมวดคิ้วมองออกไปข้ามไหล่คุณหนูจวิน หลังจากนั้นนางก็อึ้งไปด้วยแล้วนอกประตูไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรคนสิบกว่าคนยืนอยู่ มีชรามีอายุน้อย หน้าตาไม่เหมือนกันสวมอาภรณ์ไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันเพียงอย่างเดียวก็คือที่ตัวสะพายหีบยาใบหนึ่งอยู่ มองเห็นประตูเปิดออกรวมถึงคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ตรงปากประตู คนสิบกว่าคนนี้ล้วนยิ้มก้าวมาข้างหน้า“คุณหนูจวิน ไปได้แล้วสินะ?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงที่เป็นคนนำเอ่ยขึ้นฟางจิ่นซิ่วรู้สึกเพียงดวงตาร้อนูบ พริบตาน้ำตาทำสายตาพร่ามัวพวกเขาถึงกับมาแล้วคุณหนูจวินก้าวออกไป ไม่ได้เอ่ยวาจา แต่ย่อเข่าคำนับท่านหมอเหล่านี้บรรดาท่านหมอก็รีบคำนับคืนไม่มีคำพูดจาไม่มีคำอธิบายยิ่งไม่มีการกระทำฟุ่มเฟือยอันใด คำนับครั้งหนึ่งและคำนับคืนครั้งหนึ่งเรียบง่ายเช่นนี้ ทำให้ด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบความเงียบสงบนี้ท่ามกลางเหมันต์หนาวเหน็บปลายเดือนหนึ่งแลดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ“ดี พวกเราไปกันเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย แล้วมองไปทางรถที่จอดอยู่ด้านข้างทีหนึ่งเดิมทีคิดไม่ถึงว่าท่านหมอเหล่านี้จะมา ดังนั้นจึงเตรียมรถไว้เพียงหนึ่งคันคงไม่อาจให้นางนั่งรถ หมอคนอื่นเดินเท้าตามได้หรอกกระมังความลังเลของนางปรากฏอยู่ในสายตาของท่านหมอทั้งหลาย“คุณหนูจวินท่านขึ้นรถเถอะ” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ย “ท่านเด็กสาวคนเดียวเดิมทีก็ควรนั่งรถอยู่แล้ว”ท่านหมอคนอื่นล้วนยิ้มพากันพยักหน้าเร่งตอนที่กำลังพูดคุยอยู่นั่นเองเสียงรถม้าเอะอะพักหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงพูดของผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว“มาแล้ว มาแล้ว” เขาเอ่ยเสียงดัง “รถม้าเตรียมพร้อมหมดแล้ว”มองดูรถม้าสิบกว่าคันที่มา บรรดาท่านหมอทั้งประหลาดใจทั้งแย้มยิ้ม“ดูท่าคุณหนูจวินรู้ก่อนแล้วว่าพวกเราจะมา” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ย “รถยังเตรียมไว้พร้อม ถ้าพวกเรามาช้ากว่านี้หน่อย คาดว่าคงไปรับที่บ้านแล้ว”“ถ้าอย่างนั้นยังไม่สู้มาสายสักหน่อย ข้าจะได้อยู่ที่บ้านกินข้าวร้อนควันฉุยสักชาม” ท่านหมอคนหนึ่งเอ่ยล้อคนที่อยู่ที่นั่นหัวเราะขึ้นมา“มี มีข้าวอยู่ ที่วัดกวงหวาด้านนั้นผู้ดูแลใหญ่เฉินพาคนของกรมทหารม้าห้าเมืองไปจัดการเรียบร้อยแล้ว ที่อยู่ที่กินล้วนมีพร้อม” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยเสียงดัง “พวกท่านไปด้วยกัน มีสุรามีเนื้อ อยากได้สิ่งใดมีสิ่งนั้น”ขอเพียงพวกเจ้าไปด้วยกัน พวกเจ้าต้องการอะไรก็จะให้สิ่งนั้นคำพูดนี้โอหัง ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้พูดเช่นนี้มานานแล้ว เพราะนางไม่ใช่คุณหนูสามตระกูลฟางมานานแล้วแต่ตอนนี้ นาทีนี้ นางฟางจิ่นซิ่วอยากพูดเช่นนี้และกล้าพูดเช่นนี้……………………………………….
คอมเม้นต์