Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 9 อยู่ในความคาดคิด
เมืองหลวงเดือนหนึ่งหยาวเย็น แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางชาวบ้านให้มาออบนหัวถนนด้านหน้าโรงหมอจิ่วหลิงถนนทั้งเส้นผู้คนล้วนเบียดเสียดอยู่เต็ม แม้องครักษ์เสื้อแพรยืนอยู่ แต่บรรดาชาวบ้านไม่ได้หวาดกลัวถอยกลับ แต่สีหน้าเฝ้าคอยมองไปทางโรงหมอจิ่วหลิงนอกจากองครักษ์เสื้อแพร ยังมีขันทีหลายคนยืนอยู่ด้านนั้น“คุณหนูจวิน ลำบากท่านแล้ว” ขันทีคนหนึ่งส่งราชโองการมาคุณหนูจวินลุกขึ้นรับไป“หม่อมฉันจะพยายามสุดกำลัง” นางเอ่ย“เรื่องเกี่ยวกับฝีดาษทั้งหมดคนที่ใช้ของที่ใช้ล้วนแล้วแต่คุณหนูจวินท่านตัดสินใจ กรมทหารม้าห้าเมืองกับสำนักแพทย์หลวงล้วนระดมพลตามคำสั่ง” ขันทีเอ่ยคุณหนูจวินพยักหน้าขานรับอีกครั้ง ขันทีก็กำชับอีกหลายประโยคก็จากไป ผู้คนที่โรงหมอจิ่วหลิงรีบออกไปส่งชาวบ้านที่มุงดูอยู่เห็นคุณหนูจวินออกมาวุ่นวายทันที“คุณหนูจวินจะไปรักษาฝีดาษจริงหรือ?”“คุณหนูจวินจะรับคนเหล่านี้เข้ามาในเมืองหลวงงั้นหรือ?”เสียงประสานสับสนซัดสาดมา ขนาบด้วยเสียงร้องไห้ของบรรดาสตรีฝีดาษน่ากลัวมากเพียงใดก่อนหน้านี้เล่าลือกันไปทั่วแล้ว คิดถึงว่าตอนนี้สี่ด้านนอกเมืองถูกผู้ป่วยฝีดาษมากขนาดนั้นล้อมไว้ แม้กำแพงเมืองกั้นคนอยู่ แตไม่แน่ว่าจะกั้นหายนะของฝีได้ ลมพัดทีหนึ่ง ใครจะรู้ว่าลอยเข้ามาหรือไม่ตอนนี้บรรดาเด็กน้อยในตระกูลล้วนถูกกักตัวไว้แน่นหนา อย่าพูดถึงออกจากบ้าน กระทั่งห้องก็ไม่กล้าให้ออกมาปีใหม่นี้เกิดเรื่องจนคนใจหวาดผวาโดยแท้ขันทีปลอบฝูงชนที่ร้องประสานสับสนให้สงบ แต่คำพูดของเขาไม่มีคนสนใจ จนกระทั่งคุณหนูจวินยกมือส่งสัญญาณ ฝูงชนที่ตะโกนประสานเสียงวุ่นวายอยู่พลันเงียบลงทันที“ทุกคนไม่ต้องกลัว” คุณหนูจวินเอ่ย เสียงของนางอ่อนโยนดังเช่นก่อนหน้า ลอยออกไปท่ามกลางท้องถนนที่เงียบสงบคนทั้งหมดเงี่ยหูฟัง ราวกับได้ยินเสียงนี้ก็ขับไล่หายนะฝีดาษได้“ข้าจะไปรักษาฝีดาษ” คุณหนูจวินเอ่ย “นอกจากนี้จะให้สร้างสถานที่รักษาฝีดาษโดยเฉพาะแห่งหนึ่งด้านนอกเมือง จะไม่ให้ผู้ป่วยเข้าเมือง ไม่กระทบกับชีวิตของทุกคน”คำพูดนี้ออกมาคนที่อยู่ที่นั่นล้วนร้องดีใจคุณหนูจวินยกมือส่งสัญญาณอีกครั้ง ผู้คนก็เงียบลงอีกครั้ง“ทุกคนไม่ต้องกังวล กลับไปดูแลเด็กๆ สองวันนี้อย่าเพิ่งออกจากบ้าน อย่าไปในสถานที่ซึ่งคนรวมตัวกันมาก การจัดการอย่างละเอียดข้าจะเชิญเหล่าใต้เท้าของกรมหทารม้าห้าเมืองดำเนินการประกาศแจ้ง” นางเอ่ยชาวบ้านทั้งหลายขานรับอย่างพอใจอีกครั้ง“เอาล่ะ เอาล่ะ แยกย้ายๆ คุณหนูจวินบอกแล้วว่าอย่ารวมตัวกันมากๆ” ขันทีเอ่ยชาวบ้านทั้งหลายได้ยินก็แยกย้ายทันที พริบตาเดียวคนนับร้อยบนถนนก็จากไปหมดเกลี้ยงขันทีจิ๊ปาก ยิ้มให้คุณหนูจวิน“ยังเป็นคุณหนูจวินพูดถึงมีประโยชน์” เขาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้คุณหนูจวินแล้ว”พูดจบก็จากไปตามถนนท่ามกลางการอารักขาขององครักษ์เสื้อแพร คุณหนูจวินก็หมุนกลับเข้าไปในโรงหมอจิ่วหลิงท่านหมอเกิ่งที่ยืนอยู่มุมถนนรั้งสายตากลับเบะปากตอนนี้พูดแน่นอนว่ามีประโยชน์ นั่นเพราะทุกคนเชื่อว่านางรักษาฝีดาษขจัดหายนะโรคร้ายที่เผชิญอยู่ได้ เมื่อทุกคนพบว่านางรักษาไม่ได้ ดูสิถึงเวลายังมีคนฟังคำพูดของนางไหมคาดหวังมากยิ่งผิดหวังมาก ยิ่งเยินยอสูงตกลงมาก็ยิ่งอนาถ ราชวงศ์ให้หน้านางมากขนาดนี้ อนาคตเสียหน้าขึ้นมาย่อมเจ็บปวดนักลมหนาวหอบหนึ่งพัดมา ท่านหมอเกิ่งอดไม่ได้สั่นสะท้าน มองบนถนนที่ร้างไร้คนสักคนอีกครั้ง คลับคล้ายว่าได้ยินเสียงร้องไห้ลอยมาจากนอกเมือง นั่นเป็นเสียงร่ำไห้ทุกข์ตรมของผู้ป่วยที่เร่งเดินทางมาขอรักษา นี่เพิ่งวันเดียว ผู้ป่วยเหล่านั้นก็ตายไปหลายคนแล้ว เห็นได้ว่าฝีดาษรุนแรงอย่างที่สุดจริงๆกำแพงเมืองแห่งหนึ่งกั้นขวางไม่ปลอดภัยเกินไปแล้วจริงๆ ท่านหมอเกิ่งสั่นสะท้านอีกครั้ง เพิ่มความเร็วฝีเท้าจากไปมองราชโองการที่วางอยู่ด้านในโถง สีหน้าของเฉินชีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น“ถือสิ่งนี้ไว้ก็เคลื่อนย้ายคนม้าของกรมทหารม้าห้าเมืองได้รึ?” เขาเอ่ย “พริบตาเดียวตระกูลของพวกเราก็มีราชโองการที่พลิกเมืองได้สองฉบับแล้ว”ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขาทีหนึ่ง ค่อยขมวดคิ้วมองไปทางคุณหนูจวินคุณหนูจวินนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะยกพู่กันเขียนอะไรอยู่ เพียงแต่คิ้วของนางก็มุ่นอยู่เหมือนกัน“เรื่องนี้ทำไม่ง่ายใช่หรือไม่?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามตรงๆ “แม้รักษาไหวอ๋องได้ แต่อาการของฝีดาษก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่แน่ว่าจะเอาแน่เอานอนได้สินะ?”เฉินชีอดไม่ได้ดึงแขนเสื้อของฟางจิ่นซิ่ว“อย่าทำลายความน่าเกรงขามของตนเอง” เขาเอ่ยเสียงเบาคุณหนูจวินหยุดพู่กันมองไปทางฟางจิ่นซิ่ว“ข้าไม่เคยรักษาฝีดาษหายมาก่อน” นางยิ้มเอ่ยออกมา “ไหวอ๋องไม่ได้เป็นฝีดาษ”เฉินชีหวิดทำตนเองสำลักอากาศตายอะไรนะ?ดังนั้น ที่จริงนางก็รักษาฝีดาษไม่ได้ใช่ไหม?ฟางจิ่นซิ่วก็เบิกตาโตด้วยนางเดาได้ว่าคุณหนูจวินรับรักษาฝีดาษครั้งนี้ดูท่าคงเป็นปัญหาอยู่บ้าง แต่คิดไม่ถึงว่าถึงกับเป็นปัญหามากขนาดนี้…ราตรีโรยลงมา โคมไฟของโรงหมอจิ่วหลิงก็จุดสว่างเช่นกัน เหมือนดังเช่นวันวาน แต่ไม่เหมือนกับวันวาน คุณหนูจวิน ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีสามคนที่คุยธุระอยู่ในโถงด้านหน้าไม่ออกมาเสียทีเฉินชีเดินกลับไปมาในห้อง เหงื่อบนหน้าผากตั้งแต่หลังคุณหนูจวินพูดประโยคนั้นก็ไหลลงมาไม่หยุด“นี่จะทำอย่างไร? นี่จะทำอย่างไร” เขาเอ่ยซ้ำไปมา ทั้งยังด่าหมอหลวง “เจ้าพวกหน้าไม่อายพวกนี้ รักษาไหวอ๋องไม่หายก็ผลักอาการป่วยไปเป็นโรคที่ไม่รักษา”พูดแล้วก็คิดได้ว่าคุณหนูจวินไม่ใช่ก็ไม่ได้เปิดโปงแต่กลับตามน้ำบอกว่ารักษาฝีดาษหายดีเหมือนกันรึ นี่ก็หน้าไม่อายเหมือนกันนะเฉินชีตบตัวเองหนึ่งฝ่ามือ“ล้วนโทษข้าทำเป็นฉลาด ป่าวประกาศว่าฝีดาษร้ายกาจอย่างไรๆ” เขาเอ่ย “คราวนี้ทำทุกคนหวาดกลัวกันหมดแล้ว ทำเอาคนใจหวาดผวา”ตอนนี้ดีแล้ว ถูกขึงย่างไฟแล้วเขาหันหน้ามองราชโองการที่วางอยู่บนโต๊ะ สิ่งนี้ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเป็นดั่งกระบี่อาญาสิทธิ์ ตอนนี้กลับพาดอยู่บนคอพวกเขาก่อนแล้ว นาทีต่อไปก็จะทำให้ศีรษะของพวกเขาร่วงลงดินจบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว ครั้งนี้เล่นกับไฟเกินไปแล้ว“เจ้าไปยืนด้านข้างไป” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ดอย่างไม่สบอารมณ์ “จบสิ้นอะไรเล่า จะพูดว่าจบสิ้น ตระกูลฟางของพวกเราคงจบสิ้นไปนานแล้ว ไหนเลยจะต้องรอถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้ไม่จบสิ้น ตอนนี้ก็ไม่มีทางจบสิ้นเหมือนกัน”เฉินชีถูกเอ็ดหยุดยืนทันทีคุณหนูจวินก็ยิ้มแล้ว มือยังกำพู่กันด้ามนั้นเอาไว้ แม้ไม่ได้จรดพู่กันเขียนอักษรนานแล้วก็ตาม“เรื่องเช่นนี้ของวันนี้คาดไว้อยู่นานแล้ว” นางเอ่ย “อย่างไรก็เป็นฝีดาษ ข้ารักษาไหวอ๋องหายดี ต้องจุดเรื่องฮือฮาแน่ เป็นที่ชื่นชมคนมาขอรักษาย่อมยากเลี่ยง”ถ้าอย่างนั้นตอนแรกเจ้าปล่อยให้ตกกระไดพลอยโจนบอกว่าไหวอ๋องเป็นฝีดาษด้วยได้อย่างไรเล่า? เฉินชีมองนาง ยังคงอดไม่ได้พึมพำกับตนเอง ไม่เพียงในใจบ่นแต่พูดออกมาด้วยคุณหนูจวินยิ้ม“นั่นย่อมเพราะข้าวางแผนรอโอกาสนี้อยู่”นางเอ่ยโอกาสครั้งนี้? โอกาสที่รักษาฝีดาษครั้งนี้หรือ?“พูดเช่นนี้เจ้ารักษาได้รึ” เฉินชีเอ่ย ยื่นมือตบหน้าอก คนทั้งร่างแทบอ่อนยวบล้มลงไปกับพื้น “คุณหนูจวินของข้า นายหญิงน้อยของข้า ท่านมีคำพูดก็พูดทีเดียวจบดีหรือไม่ ท่านเว้นวรรคนานขนาดนี้ทำคนตกใจตายหมด”“เจ้าหุบปาก” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ดอีกครั้ง มองไปทางคุณหนูจวิน คิ้วยังขมวดแน่นเหมือนเดิม “ไม่มั่นใจมากนักใช่หรือไม่?”คุณหนูจวินมองไปทางหีบยาที่วางอยู่ด้านข้าง“ที่จริง เดิมทีข้าก็ไม่ใช่หมอคนหนึ่ง” นางเอ่ยนางเองก็ไม่เคยคิดจะไปรักษาโรคช่วยผู้คน นางเพียงแต่อยากรักษาพระบิดาของตนเองเท่านั้นแต่อาจารย์ท่านเป็นหมอนะฝีดาษนี่ท่านบอกว่ารักษาได้ทำไมไม่รักษา?ผู้ชายคนนั้นจิ๊ปากทีหนึ่ง“ใครบอกว่าข้าเป็นหมอ เดิมทีข้าก็ไม่ใช่หมอ” เขาเอ่ย พลางยัดผลไม้อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าไปในห่อสัมภาระ ในแขนเสื้อของนาง พลางฟังเสียงร้องไห้ด้านนอก “โรคนี้รักษาขึ้นมาลำบากเกินไป ยังไงอย่าลำบากตนเองดีกว่า”……………………………………….
คอมเม้นต์