Jun Jiu Ling หวนชะตารัก ภาค 3 ตอนที่ 7 ของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง
คนคนนี้ นางกลับพัวพันเขาอยู่เสมอคิดดูก็ต้องโทษช่วยไม่ได้ เรื่องมากมายนางดันยังคงต้องพัวพันกับเขาเขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ดังนั้นจึงรู้สึกอึดอัดและโมโหคุณหนูจวินมองแผ่นหลังมองเขาไกลออกไป ยิ้ม“คุณหนูจวิน” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวเดินมาจากด้านหลังคุณหนูจวินรีบคำนับนาง“วันนี้เผยหน้าหน้าพระพักตร์องค์ไทเฮาแล้ว หลังจากนี้กิจการนี่คงไม่ต้องวิตก นอกจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวคนอื่นมาทำลายกฏของเจ้าอีกต่อไป” ท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวยิ้มเอ่ยคุณหนูจวินคำนับนางอย่างเคารพอีกครั้งตอนนั้นในโถงตำหนักท่าทางของไทเฮาเริ่มไม่เกรงใจ สถานการณ์เช่นนั้นมีเพียงท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวที่กล้าออกมาพูดแทนนาง เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ทำออกมาได้ง่ายๆ จริงๆ“ขอบคุณท่านหญิงผู้เฒ่า” นางเอ่ยอย่างจริงใจเช่นเดียวกับองค์หญิงจิ่วหลี ความชื่นชอบกริ้วโกรธของพวกนางคนเหล่านี้ไม่มีทางใช้วาจาเอ่ยออกมาเด็ดขาด เรื่องมากมายต้องอาศัยเข้าใจความนัย เจ้าเข้าใจก็เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ช่างแล้วท่านหญิงผู้เฒ่าติ้งหยวนโหวหัวเราะไม่พูดจา ไม่ต่อหัวข้อสนทนานี้ จับแขนท่านหญิงติ้งหยวนโหวเดินแยกไปคุณหนูจวินมองส่งพวกนางจากไปนี่ล้วนเป็นความชอบของวิชาแพทย์ ทำให้หญิงสูงศักดิ์เหล่านี้พูดแทนนางได้ นี่ล้วนเป็นความสามารถในการตั้งตัวหาที่พึ่งที่อาจารย์มอบให้นางสินะอนาคตจะมีคนมากกว่าเดิมติดหนี้บุญคุณวิชาแพทย์นี้ หลังจากนั้นก็จะมีคนมากกว่าเดิมพูดแทนนางสินะ“คุณหนูจวิน รถม้าของท่าน” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยเบื้องหลังนี่คือรถบรรทุกที่ขันทีผู้มาส่งรางวัลพระราชทานเตรียมไว้ รถม้าของคุณหนูจวินซึ่งเดิมทีจอดอยู่ด้านนอกสุดก็ถูกจูงมาด้วย คุณหนูจวินพยักหน้าเอ่ยขอบคุณให้พวกเขาถอยออกมาหลายก้าวรถบรรทุกรางวัลพระราชทานไว้เต็มแน่น รวมถึงผู้คนที่อิจฉาและใคร่รู้จากไปตามถนนเสด็จพระราชดำเนินแล้ว เข้าไปในถนนที่โรงหมอจิ่วหลิงตั้งอยู่ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่พาคนมารอข่าวก่อนนานแล้วจุดประทัดเสียงประทัดสนั่นทั้งถนน บรรดาพนักงานเต๋อเซิ่งชางที่ยืนยุบยับอยู่สองแถวตะโกนขอบพระทัยน้ำพระกรุณาดังกลบเสียงประทัด ข่าวโรงหมอจิ่วหลิงได้พระราชทานรางวัลจากไทเฮาแพร่ไปทั่วทั้งเมืองแล้วคุณหนูจวินนั่งอยู่ในรถม้า เหมือนไม่ได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกที่ดังจนหูแทบดับ นางเพียงมองกล่องที่วางอยู่ตรงหัวเข่านี่คือขนมกุ้ยฮวาที่องค์หญิงเฟิงผิงพระราชทานเป็นรางวัลให้นางคุณหนูจวินเปิดกล่องออก หยิบชิ้นหนึ่งวางในปากเคี้ยวช้าๆขนมกุ้ยฮวานี่ทำไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนครัวในวังเปลี่ยนแล้วสินะ เปลี่ยนเป็นรสชาติที่เหมาะสมกับนายคนใหม่เลือดของคนเก่าถูกพวกเจ้าล้างเกลี้ยงแล้ว แต่คนเก่าไม่แน่ว่าจะถูกลืมเลือนคุณหนูจวินกลืนขนมกุ้ยฮวาลงไปช้าๆความครึกครื้นด้านนี้คนที่นั่งอยู่ในสำนักแพทย์หลวงแทบจะได้ยิน ท่านหมอเกิ่งโมโหอยู่บ้างหยิบก้อนผ้าที่ยัดอยู่ในหูโยนทิ้ง“หนวกหูจะตายแล้ว” เขาตะโกนไปข้างนอก “รบกวนชาวบ้านเช่นนี้กรมทหารม้าห้าเมืองไม่สนหรือไง?”“ไม่พูดถึงโรงหมอจิ่วหลิงมีราชโองการอดีตฮ่องเต้อยู่ ครั้งนี้รักษาไหวอ๋องหายของรางวัลพระราชทานที่ไทเฮาฮองเฮาพระราชทานต่อหน้าธารกำนัลก็วางอยู่ในโรงหมอด้วยแล้ว ต่อให้นางทำเมืองหลวงอลหม่าน กรมทหารม้าห้าเมืองก็ไปยุ่งไม่ได้แล้ว” เจียงโหย่วซู่เอ่ยก็เพราะเขารู้เรื่องนี้ถึงโมโห ท่านหมอเกิ่งงุ่นง่านนั่งลง“กรมทหารม้าห้าเมืองไม่กล้ายุ่ง องครักษ์เสื้อแพรทำไมก็เป็นใบ้ไปด้วยแล้ว” เขาเอ่ย “ลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่มีความแค้นกับนางหรือ? หรือเพราะรักษาน้องเขยของเขาหายดีเขาเลยสมานฉันท์กันแล้ว?”เจียงโหย่วซู่ได้ยินทนไม่ได้จิ๊ปากสองที“พูดอะไรเล่า หัวหน้ากองพันลู่เป็นคนเช่นนี้หรือ?” เขาเอ่ยหัวหน้ากองพันลู่ย่อมไม่ใช่คนเช่นนี้ นอกจากนี้ที่แท้ไหวอ๋องรอดสำคัญกับเขาหรือตายสำคัญกับเขาก็ยังไม่แน่นะ“ความโหดร้ายก่อนหน้านี้ล้วนเป็นคำคุยโม้งั้นหรือ?” ท่านหมอเกิ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น แต่พูดประโยคนี้จบเขาก็อดไม่ได้หนาวสันหลัง หดหัวมองรอบด้านโดยไม่รู้ตัว ในใจเสียใจอยู่บ้างคำพูดนี้ไม่อาจให้แพร่ไปถึงหูองครักษ์เสื้อแพรได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงต้องทำให้ตนเองได้เห็นว่าความโหดร้ายไม่ใช่คำคุยโม้“ข้าจะพูดว่าพวกเขาครั้งนี้เกรงใจโรงหมอจิ่วหลิงเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยเสริมประโยคหนึ่งอีกแม้ไม่มีคนเห็นคนได้ยิน แต่ยังคงรู้สึกว่าเอ่ยเสริมออกมานิดหนึ่งสบายใจ“พวกเขาย่อมไม่ได้เกรงใจโรงหมอจิ่วหลิง แต่เป็นฮ่องเต้กับไทเฮา” เจียงโหย่วซู่เอย “ตอนนี้โรงหมอจิ่วหลิงชื่อเสียงกำลังรุ่งเรือง กระทั่งฮ่องเต้กับไทเฮาก็ชื่นชม องครักษ์เสื้อแพรจะไปแหกหน้าฮ่องเต้กับไทเฮาหรือ? หัวหน้ากองพันลู่ร้าย ไม่ใช่โง่”“ยังไม่ใช่อาจารย์ท่านเอ่ยชมนางต่อหน้าฮ่องเต้กับไทเฮา ฮ่องเต้กับไทเฮาถึงให้หน้านางใหญ่โตเช่นนี้” ท่านหมอเกิ่งพึมพำประโยคหนึ่ง“ตัวโง่เง่า” เจียงโหย่วซู่เอ่ยนางรักษาไหวอ๋องหายดี ฮ่องเต้กับไทเฮาไม่ให้หน้านางได้หรือ?ท่านหมอเกิ่งอับอาย“ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร?” เขาเอ่ย เสียงประทัดด้านนอกหยุดลงแล้ว แต่เขาเหมือนยังได้ยินเสียงเอะอะมาจากโรงหมอจิ่วหลิงด้านนั้นเหมือนเดิม รวมถึงคนสูงศักดิ์เต็มเมืองที่รอคอยเขียนเทียบเชิญนางด้วยพวกผู้สูงศักดิ์เหล่านี้หลังจากนี้คงไม่สะดวกรับใช้แล้ว รักษาหายพวกเขาว่าสมควร รักษาไม่หายต้องถูกเยาะหยันเสียดสีแน่เจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว ลุกขึ้นยืน“คุณหนูจวินมีความสามารถจริงๆ” เขาเอ่ย “รักษาไหวอ๋องหายดีก็แก้วิกฤติของพวกเราได้ด้วย ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องส่งของขวัญชิ้นหนึ่งให้นางด้วยสิ”ท่านหมอเกิ่งตะลึงไป“อาจารย์ พวกเราต้องไปคำนับอวยพรนางด้วยตนเองหรือ?” จากนั้นเขาก็ร้องออกมาเจียงโหย่วซู่ยิ้มแล้ว“เอ่ยแสดงความยินดีเช่นนั้นธรรมดาเกินไป” เขาเอ่ย “พวกเราจะส่งก็ต้องส่งบุญกุศลใหญ่”“อาจารย์ บุญกุศลใหญ่อะไร”เจียงโหย่วซู่กลับไม่ได้เอ่ยอีก เพียงแค่ลูบเครายิ้มน้อยๆ เท่านั้นเดือนหนึ่งผ่านไปวันที่ห้าแล้ว บรรยากาศเทศกาลยังไม่จางกลับยิ่งเข้มข้นขึ้น ขุนนางที่เข้าเมืองหลวงออกเมืองหลวงตามต่อกันไม่ขาด ผู้คนที่ว่างเว้นในเหมันต์ฤดูก็ขวักไขว่บนถนใหญ่ใหม่อีกครั้ง หอสุราโรงน้ำชาหัวถนนท้ายตรอกทุกหนทุกแห่งครึกครื้นประตูเมืองในเดือนหนึ่งการตรวจตราผ่อนปรนกว่าวันวานมากนัก บรรดายามประตูเมืองกอดแขนคุยเล่นพลางมองดูผู้คนเข้าเมืองบ้างไม่มองบ้างไปพลางแต่ต่อให้ผ่อนปรนอีกเท่าใด ก็มีคนสองคนยังคงดึงความสนใจของยามประตูเมืองแล้วนี่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งจูงเด็กน้อยคนหนึ่งมาเสื้อนวมที่ผู้หญิงสวมปะชุนไว้ ในมือหิ้วตะกร้าใบหนึ่ง เหมือนกับเข้าเมืองมาหาญาติหรือหญิงชาวไร่ที่ขายของคนหนึ่ง แต่เด็กน้อยที่นางจูงอยู่กลับสวมเสื้อผ้าหนาเตอะ ใบหน้ายังพันไว้ผู้หญิงเดินพลางดวงตาวิบวับมองซ้ายขวาพลาง เหมือนกับหลบใครอยู่บรรดายามเฝ้าประตูเมืองสบตากัน ยามเฝ้าที่เป็นหัวหน้าพยักเพยิดคางให้นายทหารสองคนนายทหารสองคนเข้าใจเดินไปทางผู้หญิงคนนั้น“เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้” พวกเขาเอ่ย ขวางนางไว้ผู้หญิงคนนั้นตกใจถอยหลังสองก้าว กอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน หวั่นกลัวทั้งร่างสั่นระริกตกใจจนเป็นเช่นนี้ ต้องมีปัญหาแน่ ยามเฝ้าสองคนไม่เกรงใจอีกต่อไป“เจ้าทำอะไร? คนที่ไหน?” พวกเขาตวาดถาม“ไม่ ไม่ ข้าเยี่ยมญาติ” ผู้หญิงเอยติดๆ ขัดๆ กอดเด็กน้อยในอ้อมแขนแน่นหลอกผีเถอะยามเฝ้าสองคนคิ้วขมวด คนหนึ่งใช้ด้ามดาบจ่อหัวไหล่ผู้หญิง“เข้ามา เข้ามาด้านนี้” เขาเอ่ยส่วนอีกคนหนึ่งใช้ด้ามดาบเลิกผ้าที่พันศีรษะและใบหน้าของเด็กคนนั้นอย่างแรง“ขอทานขโมยเด็กหรือเปล่า?” เขาเอ่ยพร้อมกับที่ผ้าถูกเลิกเปิด ผู้หญิงก็ร้องเสียงหลง ลนลานไปยื้อผ้าพยายามพันเด็กน้อยไว้ แต่สายไปก้าวหนึ่ง ยามเฝ้าคนนั้นมองเห็นสภาพของเด็กน้อยคนนี้แล้วดวงตาของเขาเบิกกว้างทันที“เป็น เป็นฝีดาษ!” เขาร้องตะโกน ดาบในมือจ่อตรงผู้หญิงคนนี้กับเด็กน้อย “เป็นฝีดาษ”ฝีดาษ?โรคฝีดาษติดต่อได้ ดังนั้นแต่ละที่ที่มีคนเป็นฝีดาษก็จะกักกันไว้ไม่ให้เดินทางส่งเดชผู้หญิงคนนี้ถึงกับพาเด็กที่เป็นฝีดาษเดินทางอาดๆ ผ่านเมือง ยังฝ่าเข้ามาเมืองหลวง หน้าประตูเมืองเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นฝูงชนที่เข้าออกก็เป็นฝูงสัตว์กระเจิง“กล้านัก ถึงกับกล้าออกจากที่พักตามใจ” บรรดายามเฝ้าประตูเมืองล้อมผู้หญิงกับเด็กคนนี้ไว้อย่างพร้อมเพรียงผู้หญิงคนนั้นหวาดกลัวตัวสั่นคุกเข่าดังตึงกับพื้น“นายท่าน! ขอร้องหมอเทวดาช่วยชีวิตด้วย! ขอร้องหมอเทวดาช่วยชีวิตด้วยเถอะ!” นางร้องไห้ตะโกนเสียงเครือ ศีรษะโขกไปที่พื้นอย่างแรงและในเวลานี้เองประตูเมืองทั้งสี่ของเมืองหลวงล้วนมีคนพาเด็กน้อยที่เป็นฝีดาษมาปรากฏตัว ส่วนสถานที่ไกลออกไปอีกก็เห็นชาวบ้านมากมายบ้างจูงบ้างแบกบ้างอุ้มเด็กน้อยโซเซมากนายประตูที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไปรู้สึกเพียงขนหัวลุก“เร็ว เร็ว ปิดประตูเมือง” เขายกมือร้อง……………………………………….
คอมเม้นต์